The Great House of God ที่พำนักแห่งทวยเทพที่ไม่ได้อยู่บนสรวงสวรรค์ หากแต่ได้รับการเนรมิตด้วยฝีมือมนุษย์ ณ ใจกลางเมืองมิลาน ประเทศอิตาลี

Share This Post

- Advertisement -

Photographer: Napat Gunkham

Author: Mintira Thammapalert

“โบสถ์แห่งมิลานนี้มีความเป็นฝรั่งเศสและเยอรมัน แต่ไม่ใช่อิตาลี” เซซาเร แบรนดิ (Cesare Brandi) นักวิจารณ์ศิลปะและนักประวัติศาสตร์ชาวอิตาเลียนลงความเห็น “แค่ตั้งอยู่ที่เมืองมิลาน และประดับด้วยประติมากรรมอิตาเลียนเท่านั้นแหละ”

“มหัศจรรย์ที่สุด! ยิ่งใหญ่มาก สง่างามมาก อลังการมาก! ขณะเดียวกันก็สุดแสนจะประณีต บอบบาง โปร่งโล่ง และอ่อนช้อยงดงาม” มาร์ก ทเวน (Mark Twain) นักเขียนชื่อดังชาวอเมริกัน บรรยายถึงอาสนวิหารมิลาน (Duomo di Milano) หรือที่นักท่องเที่ยวชอบเรียกกันติดปากว่า ดูโอโม่ (Duomo) อย่างออกรสออกชาติในฤดูร้อนปี ค.ศ. 1867 ก่อนจะอุทิศหนึ่งบทเต็มๆ ใน Innocents Abroad หนังสือของเขา บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ หากจะหาหลักฐานรูปธรรมที่หลอมรวมเอาความศักดิ์สิทธิ์เข้ากับสุดยอดศิลปกรรมทุกแขนงบนโลก อาสนวิหารมิลานน่าจะเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่เห็นชัดแบบโต้แย้งไม่ได้ นับเฉพาะเวลาก่อสร้างอย่างเดียวก็กินเวลาไปแล้วเกือบ 6 ศตวรรษ! โดยเริ่มสร้างตั้งแต่ปี ค.ศ. 1386 จนเสร็จสิ้นรายละเอียดสุดท้ายในปี ค.ศ. 1965 ระยะเวลาก่อสร้างอันยาวนานนี้เองที่ทำให้ดูโอโม่มีการผสมผสานศิลปกรรมและจิตรกรรมต่างๆ ในหลากหลายยุคเข้าด้วยกัน ซึ่งถ้าจะให้บอกว่าเป็นยุคไหนดี จอห์น รัสกิ้น (John Ruskin) นักเขียนและนักวิจารณ์ศิลปะชาวอังกฤษที่อยู่ในสมัยวิคตอเรียน แอบแสดงความเห็นแบบจิกกัดเล็กน้อยว่า “เอาทุกสไตล์บนโลก (ที่มีในช่วงนั้น) มายำรวมกัน” ถ้าจะนิยามลงไปชัดๆ ก็ต้องบอกว่าโกธิคเป็นศิลปะสไตล์หลัก เพราะเริ่มต้นก่อสร้างในยุคที่สถาปัตยกรรมโกธิคกำลังเฟื่องฟู แม้หลายฝ่ายจะบอกว่าดูโอโม่เป็นสถาปัตยกรรมโกธิคที่สำคัญที่สุดในอิตาลีก็จริง แต่ก็ไม่ใช่โกธิคในรูปแบบของอิตาเลียนดั้งเดิม บางเสียงเสริมว่าความเป็นโกธิคในแบบที่ดูเป็นอิตาเลียนที่สุดของดูโอโม่คือส่วนของเอปส์ (apse) หรือส่วนของอาคารที่เป็นมุขยื่นออกไปเป็นทางเชื่อมต่อส่วนต่างๆ ของโบสถ์ แม้จะมีเสายอดแหลมมากมายชี้ขึ้นสู่ท้องฟ้า อันเป็นการรำลึกถึงพระเจ้าบนสรวงสวรรค์ ตรงตามขนบนิยมของสถาปัตยกรรมสไตล์โกธิค แต่กลับเป็นโกธิคที่มีกลิ่นอายของประเทศอื่นเข้ามาแทรกแซงอยู่เสียมาก “โบสถ์แห่งมิลานนี้มีความเป็นฝรั่งเศสและเยอรมัน แต่ไม่ใช่อิตาลี” เซซาเร แบรนดิ (Cesare Brandi) นักวิจารณ์ศิลปะและนักประวัติศาสตร์ชาวอิตาเลียนลงความเห็น “แค่ตั้งอยู่ที่เมืองมิลาน และประดับด้วยประติมากรรมอิตาเลียนเท่านั้นแหละ”

ก็แหม… ดูโอโม่จะมีความเป็นอิตาเลียนร้อยเปอร์เซ็นต์ได้อย่างไร ในเมื่อหลังจากเริ่มต้นก่อสร้างไปได้เพียงสามปี หัวหน้างานชาวอิตาเลียนคนแรกที่ต้องการสร้างดูโอโม่ด้วยอิฐอย่างเดียวตามขนบโกธิค ก็ถูกสับเปลี่ยนไปเป็นนิโกลา เดอ โบนาวองตูร์ (Nicolas de Bonaventure) วิศวกรชาวฝรั่งเศส ตามมติของกาเลซโซ่ วิสคอนติ (Galeazzo Visconti) ผู้ทรงอิทธิพลในมิลาน ณ ขณะนั้น (ภายหลังกาเลซโซ่ วิสคอนติกลายมาเป็นดยุคแห่งมิลานคนแรกในปี ค.ศ. 1395) กาเลซโซ่มีความต้องการแรงกล้าที่จะตามเทรนด์สถาปัตยกรรมใหม่ล่าสุดของฝั่งยุโรป โดยออกคำสั่งให้นำหินอ่อนมาใช้ในโครงสร้างร่วมกับอิฐ ก่อนจะย้ำความเป็นสถาปัตยกรรมฝรั่งเศสเข้าไปอีกด้วยการเชิญฌอง มิโยต์ (Jean Mignot) สถาปนิกชาวฝรั่งเศสอีกคน ส่งตรงจากปารีสเข้ามาปรับโครงสร้างเพิ่มเติม รวมทั้งมีการปรับเปลี่ยนหัวหน้าสถาปนิกและวิศวกรไปมาอีกเกือบๆ 80 คน ก็กว่าจะเสร็จ กินเวลาตั้งเกือบ 600 ปีนี่นะ

ไม่ว่าดูโอโม่จะได้รับอิทธิพลจากประเทศไหนก็ตาม ผลสำเร็จสุดท้ายที่ประจักษ์แก่สายตามนุษย์โลกก็คงไม่พ้นคำว่า ‘สุดยอด’ อยู่ดี ความสูงตระหง่านดึงดูดสายตาให้ all eyes on me ด้วยความสูงถึง 108 เมตร จุคนได้ถึง 40,000 คน ถือเป็นโบสถ์โรมันคาทอลิกที่ใหญ่ที่สุดในอิตาลี ใหญ่เป็นอันดับสามของทวีปยุโรป และอันดับห้าของโลก สอดคล้องกับความเชื่อในยุคนั้นที่ว่ามหาวิหารต้องจัดเต็มเพื่อแสดงให้มนุษย์เห็นถึงพลังอำนาจและความยิ่งใหญ่ของศาสนจักร อันที่จริงชื่อเต็มของดูโอโม่ คือ Metropolitan Cathedral-Basilica of the Nativity of Saint Mary (Basilica cattedrale metropolitana di Santa Maria Nascente – ภาษาอิตาเลียน) หรือแปลเป็นไทยว่า อาสนมหาวิหารมหานครแม่พระบังเกิด สร้างอุทิศแด่การบังเกิดของพระนางมารีย์ (และเพื่อให้เป็นวิหารประจำตำแหน่งอัครมุขนายกแห่งมิลานด้วย) ดังนั้นชิ้นงานมาสเตอร์พีซของมหาวิหารแห่งนี้จะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกเสียจากประติมากรรมรูปหล่อทองแดงปิดทองรูปพระนางมารีย์พรหมจารี หรือที่คนอิตาลีและนักท่องเที่ยวเรียกกันว่า มาดอนนิน่า (Madonnina) ประดิษฐานอยู่บนยอดเสายอดหนึ่งของมหาวิหาร รูปหล่อพระแม่มารีย์มาดอนนิน่ามีความสูงถึง 4 เมตร และเป็นรูปหล่อเดียวที่เฉิดฉายโดดเด่นเป็นสง่าท่ามกลางเสาที่ประดับยอดด้วยรูปสลักนักบุญสำคัญท่านอื่นๆ อีกกว่า 135 ยอด เพราะเป็นรูปหล่อเดียวที่มีการเคลือบผิวนอกด้วยทองคำอร่าม

ความน่าสนใจของดูโอโม่อีกอย่างคือไม่มีทางที่เราจะมองเห็นรูปสลักมาสเตอร์พีซที่ประดับอยู่บนยอดเสามากมายเหล่านี้ได้ชัดเจนด้วยการแหงนมองจากพื้นดินด้านล่าง ถึงขนาดที่ออสการ์ ไวลด์ (Oscar Wilde) นักเขียนคนดัง ถึงกับบ่นอุบในปี ค.ศ. 1875 ว่าชิ้นงานศิลปะทั้งหลายตั้งอยู่สูงเกินกว่าจะมองเห็นได้จากเฉลียง ถ้าจะให้เห็นต้องขึ้นไปยืนบนหลังคาอย่างเดียว แล้วดูโอโม่เปิดให้ขึ้นไปดูบนหลังคาได้อย่างนั้นเหรอ คำตอบคือ ได้! เชิญเดินขึ้นบนชั้นดาดฟ้าของดูโอโม่ได้เลย ณ ที่แห่งนี้เราจะได้เห็นวิวทิวทัศน์ราคาหลักล้านของเมืองมิลาน และมีโอกาสได้พินิจรูปปั้นนักบุญกว่า 2,300 ชิ้น การ์กอยล์ 96 ตน ยอดแหลม 135 ยอด และเสาค้ำยันที่สลักเสลาอย่างประณีตงดงามเหนือคำบรรยาย เพื่อไม่ให้พลาดส่วนสำคัญนี้ เราขอแนะให้ซื้อตั๋วแบบออนไลน์ดีกว่ามาต่อคิวซื้อที่บูธขายตั๋วทางฝั่งทิศใต้ของโบสถ์ โดยจะเลือกเดินขึ้นบันได 250 ขั้น หรือจะจ่ายเพิ่มอีกนิดหน่อยเพื่อขึ้นลิฟต์ก็ได้ (แต่คิวขึ้น-ลงลิฟท์คือรอนานพอสมควร) สามารถซื้อตั๋วแยกสำหรับขึ้นชมดาดฟ้าอย่างเดียว หรือจะซื้อตั๋วรวม combination Duomo pass ซึ่งรวมการเข้าชมภายในโบสถ์ที่มีงานศิลปะกระจกสี ภาพจิตรกรรม และรูปปั้นสมบัติแห่งชาติอีกเป็นพันชิ้น แถมยังสามารถใช้เข้าชมส่วนที่เป็นพิพิธภัณฑ์ของดูโอโม่ต่อได้ด้วย

- Advertisement -