Photographer: Ponpisut Pejareon
Fashion Editor: Chanond Mingmit
Author: Pacharee Klinchoo
“ดีใจและเป็นเกียรติมากๆ เลยครับที่ได้รับเลือกมาร่วมงานกับนิตยสารลอฟฟีเซียล ออมส์ ไทยแลนด์ และนาฬิกา Citizen ในวันนี้ ได้ยินว่าเขาเลือกร่วมงานกับคนรุ่นใหม่ใช่ไหมครับ ดีใจจริงๆ นะครับที่เขาเลือกให้ผมเป็นหนึ่งในคนที่จะนำเสนอแบรนด์เขา”
Korapat Kirdpan
“ดีใจและเป็นเกียรติมากๆ เลยครับที่ได้รับเลือกมาร่วมงานกับนิตยสารลอฟฟีเซียล ออมส์ ไทยแลนด์ และนาฬิกา Citizen ในวันนี้” นนน – กรภัทร์ เกิดพันธุ์ ขยี้ตาที่เริ่มอ่อนล้าจากการถ่ายแบบท่ามกลางอากาศอันร้อนระอุปลายฤดูหนาวปลอมๆ ของกรุงเทพฯ แต่ยังตอบคำถามด้วยน้ำเสียงและใบหน้าราบเรียบไม่เปลี่ยนตลอดการถ่ายทำ “ได้ยินว่าเขาเลือกร่วมงานกับคนรุ่นใหม่ใช่ไหมครับ ดีใจจริงๆ นะครับที่เขาเลือกให้ผมเป็นหนึ่งในคนที่จะนำเสนอแบรนด์เขา” แล้วรู้ไหมว่า ทำไมเขาถึงจิ้มนนนมา เราหยั่งเชิง ซึ่งเขาก็ตอบทันที “น่าจะเป็นพาร์ทการทำงานน่ะครับ เพราะผมเป็นคนทำงานน่ะครับ” เขาลากเสียงกลั้วหัวเราะ
คนทำงานที่ชื่อนนนชอบอะไรในวงการบันเทิงกันนะ เดบิวต์มาตั้งแต่อายุได้สามเดือน จนปีนี้ 23 ปีแล้ว ถ้าไม่ชอบจริง ไม่น่าจะยืนระยะมาได้นานขนาดนี้ไหม เราตั้งข้อสังเกต “ก็ชอบการทำงานน่ะครับ” เขาย้ำคำเดิม “งานที่ผมชอบส่วนใหญ่ มันก็โดนพ่วงเข้าไปในวงการบันเทิงทุกอย่างเลย ผมชอบการแสดง ชอบการทำเพลง ชอบงานโปรดักชั่น ทุกอย่างที่ผมชอบมันเชื่อมโยงกันไปหมด ส่วนที่ไม่ชอบก็มีนะครับ” เขาอึ้งไปสักพัก ราวกับพยายามหาคำพูดเหมาะๆ มาอธิบายสิ่งที่อยู่ในใจ “มันก็มีอะไรหลายๆ อย่างที่ผมไม่ถนัดเท่าไหร่ อย่างการเล่นกับกระแส มันมีอะไรบางอย่างที่เมื่อก่อนไม่ถนัดกว่านี้อีกครับ แต่ผมก็สนใจอะไรบางอย่างมากขึ้น อย่างเรื่องการแต่งตัว หรือการถ่ายรูป ก็พยายามมากขึ้น”
นนนมองอายุงานในวงการบันเทิงของตัวเองไว้นานขนาดไหน “อยากทำไปเรื่อยๆ เลยครับ” เขาตอบทันที “เพราะผมรู้ตัวว่าทั้งชีวิตผมถนัดแค่เรื่องนี้ ผมถนัดการเล่าเรื่อง สมัยเด็กๆ ก็รู้จักแค่การเล่าเรื่องผ่านการแสดง พอโตขึ้นมา ได้ไปอยู่ในหลายๆ วงสังคม ได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง ได้ทำเบื้องหลัง ได้เริ่มกำกับ เริ่มทำเพลง ได้ทำงานศิลปะหลายๆ แขนง ก็ยิ่งรู้เลยว่า ผมชอบเล่าเรื่องจริงๆ ครับ
“ถ้าเอาง่ายๆ อย่างเรื่องการเป็นนักแสดง” นนนตั้งท่าอธิบายอย่างจริงจังเมื่อเราถามว่า ‘เรื่อง’ ที่เขาต้องการจะเล่าคืออะไร “ผมอาจจะแตะเรื่องที่มันอ่อนไหวมากขึ้น ลงรายละเอียดยากๆ ในการเล่ามากขึ้น ส่วนในเรื่องของการทำเพลง ผมอาจจะแตะเรื่องใกล้ตัวก่อน อย่างเรื่องความสัมพันธ์ที่คนใกล้ตัวผม หรือตัวผมเคยเจอมา เพื่อที่จะเข้าใจกระบวนการทำงานทุกอย่างก่อน และค่อยไต่ไปเล่าเรื่องที่มันยากกว่านั้นครับ”
พูดถึงคอนเสิร์ต ‘Nanon Born to เบียว Concert’ ที่จะจัดขึ้นในเดือนนี้พอดีหน่อยสิ “มันเริ่มต้นจากทางค่ายโยนโจทย์มาว่าให้ทำคอนเสิร์ตเดี่ยวครั้งแรกหลังทำอัลบั้มเสร็จนี่ล่ะครับ” เขาเล่า “ผมเลยคิดไอเดียว่า สิ่งที่มันจะเล่าความเป็นตัวผมได้ดีที่สุดคือการที่ผมเกิดในวงการบันเทิงได้เพราะ ‘ภาพจำ’ ที่คนอื่นมีให้ผมนี่ล่ะครับ” เป็นแบบนั้นเหรอ เราสงสัย “ผมเกิดจากซีรีส์เรื่อง ‘The Gifted นักเรียนพลังกิฟต์’ กับ ‘แค่เพื่อนครับเพื่อน’ คนก็จะจำภาพปราณกับแปง แบบเห็นหน้าผมก็จะรู้สึกว่าผมเป็นคนเบียวๆ เพราะมักจะได้รับแต่บทเบียวๆ ผมเลยเอามาล้อกับคำว่า ‘born to be’ และคอนเซ็ปต์จะเป็นการเล่าเรื่องราวภาพจำหลายๆ อย่างที่ทุกคนมีต่อผมล่ะครับ”
คอนเซ็ปต์น่าสนใจทีเดียว แล้วภาพที่ทุกคนจำ กับตัวตนที่เป็นนี่เหมือนหรือต่างกันขนาดไหน “ผมว่ามันก็มีส่วนที่เหมือน กับส่วนที่บางทีเราก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นตลอดเวลาอยู่นะ” เขาเริ่มขยี้ตาอีกครั้ง “ผมเป็นคนเฮฮา กวนไปเรื่อย พลังเหลือเยอะก็จริง แต่ผมก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นตลอดเวลา ในพาร์ทการทำงาน ผมก็ทำงานจริงจังนะ” เขาเน้นเสียง “ผมว่าคนเรามันไม่ได้มีมุมเดียวนะ ทุกคนมีหลายโหมดที่ปรับใช้ได้ในหลายสถานการณ์ เป็นแบบนี้มากกว่าครับ”
แล้วโหมดนนนอยู่บ้าน กับนนนกลางแสงไฟนี่ปรับจูนเยอะไหม เราสงสัยไม่หยุด “ไม่เยอะครับ เพราะผมไม่ได้ปรับอะไรเลย” เขายักไหล่ “ไม่ว่าผมจะอยู่ตรงไหน ถ้าตอนนั้นผมอยากจะเป็นอย่างไร ผมก็จะเป็นเลยครับ ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องของกาลเทศะมากกว่า เวลาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เราทำตัวแบบไหนได้บ้าง ผมก็แค่ปรับตัวตามสถานการณ์หน้างานนั้นๆ มากกว่าครับ คือผมแค่เป็นตัวเองที่อยู่ในกาลเทศะ เท่านั้นล่ะครับ”
นนนกดดันตัวเองมากน้อยขนาดไหน ดูจากบรรยากาศการทำงานนี่ก็ไม่น่าจะน้อยนะ เราคิด “ผมผ่านจุดนั้นมาแล้วครับ” ผ่านมาได้ยังไง “โดยการช่างมันครับ” เขาตอบเสียงกลั้วหัวเราะ “ช่างเป้าหมาย ช่างทุกอย่างที่เคยอยากได้ ทุกอย่างที่ผมเคยตั้งเป้าไว้ ถ้าผมยังทำไม่ได้ ก็ช่างมัน ค่อยทำใหม่ก็ได้ เรียกว่าผมไม่กดดันตัวเอง อยู่กับปัจจุบันให้เป็น เมื่อก่อน ผมรู้สึกว่าผมต้องประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุเท่านั้น ต้องได้รางวัลเมื่ออายุเท่านี้ ต้องทำนั่นทำนี่ให้ได้ แต่พอผ่านช่วงดีเพรสระหว่างโควิดมาแล้ว ผมก็เลยบอกกับตัวเองว่า ผมยังมีเป้าหมายเหมือนเดิม ผมแค่เลื่อนเดดไลน์ออกไป นี่คือชีวิตผม ผมกำหนดเดดไลน์เองได้ คือพ่อเคยบอกผมว่า ‘นนนไม่เคยรู้ตัวหรอกว่านนนใจร้อน และอยากจะประสบความสำเร็จเร็วๆ’ ซึ่งตอนนั้นผมก็ไม่รู้ตัวจริงๆ นะ แต่พอโตมาถึงตอนนี้แล้ว ผมรู้ตัวแล้วว่าผมก็แค่เลื่อนเดดไลน์ออกไป ถ้าผมทำไม่สำเร็จปีนี้ ผมก็แค่ไปทำใหม่ในปีหน้าเอา ก็แค่นั้นล่ะครับ”
Make Up: Chinnakrit Tanasontirach
Hair: Kongkiat Krissakree
Assistant Photographers: Wiroon Wuttiphongdecha / Supasit Sooksawat
Assistant Stylist: Napat Roongruang
Videographer: Panlit Voravutvityaruk
Assistant Videographer: Suradit La-orsittipirom