Photographer: Ponpisut Pejaroen
Fashion Editor: Chanond Mingmit
Author: Neeraj Kim


ฝรั่งมีสำนวนว่า ‘the 30s are the new 20s’ หมายถึงอายุ 30 ต่างหากที่เป็นจุดเริ่มต้นของการใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย เพราะหนุ่มสาวในวัย 20-30 อาจต้องเผชิญกับ quarter-life crisis หรือวิกฤติของความรู้สึกไม่มั่นคงและสับสนในชีวิตจากทุกความสัมพันธ์ จะจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่เชื่อเหลือเกินว่า มาย – ภาคภูมิ ร่มไทรทอง เห็นด้วยกับแนวคิดนี้อย่างแน่นอน เขาเป็นนักแสดงและนักร้องที่ทะยานขึ้นจุดสูงสุดหลังจากวัยล่วงเลยเลข 3 มาแล้ว ซึ่งมีให้เห็นไม่บ่อยนักในวงการบันเทิงไทยที่เดี๋ยวนี้ต่างเดบิวต์ตัวเองกันเร็วขึ้นเรื่อยๆ มายเป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็วจากบท ‘อนาคินน์’ ในซีรีส์เรื่อง KinnPorsche The Series La Forte (2565) และเพิ่งรับบท ‘ฉัตร’ ในภาพยนตร์เรื่องแมนสรวง (2566) ซึ่งได้เห็นพัฒนาการทางการแสดงของเขาอย่างก้าวกระโดด ผลลัพธ์ทั้งหมดเกิดจากการลงทุนในชีวิตและการบ่มเพาะทางความคิดตลอด 30 กว่าปีที่ผ่านมา ลอฟฟีเซียล ออมส์ มีโอกาสคุยกับเขาในโอกาสที่ได้ร่วมงานกับ Bulgari มาย – ภาคภูมิ ในเครื่องประดับชิ้นงาม พร้อมตอบทุกคำถามอย่างไม่ลังเลใจแล้ว


ผมว่าการเข้าเลข 3 เป็นช่วงเวลาที่ไม่ได้ช้าไป ถือว่าพอดีด้วยซ้ำ เพราะการเป็นนักแสดงต้องแลกมากับพื้นที่ส่วนตัวและเวลาซึ่งจะหายไปเยอะ ผมได้ใช้ช่วงเวลาวัยรุ่นอย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นวัตถุดิบอย่างดีเอาไว้ใช้ในการแสดง เพราะเราได้ทำอะไรมาเยอะมาก ผมไม่สามารถเลือกได้ว่าช่วงไหนจะมีคนชอบเราเยอะ แต่เราเตรียมตัวมาตลอด ไม่ได้หมายความว่าเราอยากมีชื่อเสียง แต่มันเป็นการเตรียมร่างกาย วิธีคิด ทักษะต่างๆ ในแบบที่เราชอบ เลยน่าจะเป็นความโชคดีที่พอแตะเลข 3 สิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้มันไม่ห่างจากเราเลย
รู้สึกว่าตัวเองประสบความสำเร็จช้ากว่าคนอื่นไหม
ผมว่าการเข้าเลข 3 เป็นช่วงเวลาที่ไม่ได้ช้าไป ถือว่าพอดีด้วยซ้ำ เพราะการเป็นนักแสดงต้องแลกมากับพื้นที่ส่วนตัวและเวลาซึ่งจะหายไปเยอะ ผมได้ใช้ช่วงเวลาวัยรุ่นอย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นวัตถุดิบอย่างดีเอาไว้ใช้ในการแสดง เพราะเราได้ทำอะไรมาเยอะมาก ผมไม่สามารถเลือกได้ว่าช่วงไหนจะมีคนชอบเราเยอะ แต่เราเตรียมตัวมาตลอด ไม่ได้หมายความว่าเราอยากมีชื่อเสียง แต่มันเป็นการเตรียมร่างกาย วิธีคิด ทักษะต่างๆ ในแบบที่เราชอบ เลยน่าจะเป็นความโชคดีที่พอแตะเลข 3 สิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้มันไม่ห่างจากเราเลย
แต่ก็ทะเยอทะยานมาตั้งแต่เด็ก และแสวงหาโอกาสเพื่ออยู่ในวงการนี้
(นิ่งคิด) ผมกล้าพูดได้เต็มปากว่าไม่เคยอยากดัง เราทะเยอทะยานในสิ่งที่รู้สึกสนุกและอยากทำ เป็นคนชอบทดลอง และอยากรู้ว่าถ้าได้เป็นอย่างนั้นจะรู้สึกยังไง จริงๆ มีซีรีส์วายมาติดต่อให้ไปเล่นตั้งนานแล้ว เราบอกเขาไปก่อนแล้วว่าไม่เล่นนะ แต่อยากไปลองแคสต์ว่าซีรีส์วายที่ตอนนั้นเป็นเรื่องใหม่มาก เป็นยังไง พอแคสต์เสร็จเขาก็อยากให้เราเล่นเป็นตัวเอก แต่ก็ปฏิเสธไป แต่ทำให้คนในวงการเริ่มรู้จักไปโดยปริยาย ก็เริ่มมีคนติดต่อมาเรื่อยๆ แต่ตอนนั้นยังไม่อยากทำเพราะไม่ชอบความยุ่งเหยิง แต่พอมันผ่านกาลเวลา เห็นน้องคนหนึ่งได้เล่นซีรีส์วายในแนวทางของเขา เราก็แค่ตั้งคำถามว่าถ้าเป็นอย่างนั้นจะรู้สึกยังไง แค่นั้นเลย สุดท้ายก็เปิดใจกับเรื่อง KinnPorsche ตั้งแต่นั้นมา บวกกับเป็นจังหวะที่ดีที่ตัวเลือกมันมีศักยภาพ คือถ้าเป็นการลงทุนก็ต้องมองว่ามี best case หรือ worst case อะไรบ้าง ไม่ใช่ทำแล้วหยุด เพราะเสียเวลาทั้งตัวเองและคนอื่น
คิดว่าอะไรเป็นหัวใจหลักของการประสบความสำเร็จในวงการบันเทิง
ความต่อเนื่อง และความไม่เหลิง เป็นสองสิ่งสำคัญที่สอดคล้องกัน ต้องต่อเนื่องทั้งเรื่องการฝึกฝน หรือการเข้าใจตัวเองว่ากำลังทำอะไรอยู่ ถ้าวันหนึ่งเราถอยจากที่เคยฝึก ถอยในสิ่งที่เคยขัดเกลา คุณภาพก็จะตก เหมือนนักกีฬาที่ถ้าเลิกฝึกก็ตกรอบ ส่วนความไม่เหลิงมันทำให้เราเจอในสิ่งที่ควรจะเจอจริงๆ วันหนึ่งถ้าแสงหายไปก็ไม่เป็นไร เพราะเราเป็นตัวของตัวเองอยู่แล้ว

มายเคยให้สัมภาษณ์ว่าชีวิตช่วง 24-25 ได้เรียนรู้เยอะมาก อะไรเป็นบทเรียนที่จำมาถึงตอนนี้
ต้องไม่เบียดเบียนคนอื่นไม่ว่าในแง่ไหนก็ตาม อยากทำอะไรก็ทำไปโดยที่เราไม่ทำร้ายคนอื่น ทำทุกอย่างที่รู้สึกอยากจะทำตอนนั้น ช่วง 20-25 เป็นเหมือนการรูปวาดสะเปะสะปะ มีพู่กันอันหนึ่งที่วาดไปเรื่อยแบบงานแอ็บสแตร็กต์ แล้วพอเลย 25 มา เส้นมันเริ่มมีมิติ มีความลึก หนา บาง ดูแล้วสบายตา สบายใจ ซึ่งความแอ็บสแตร็กต์ก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดี เพราะถ้าเรามองกลับไปก็จะเห็นอารมณ์ในตอนนั้นตามช่วงวัย ซึ่งผมชอบนะ สิ่งเดียวที่ไม่ชอบเลยคืออาจจะไม่ได้เรียนในสิ่งที่อยากเรียน จริงๆ ผมไม่เชื่อเรื่องเบญจเพส แต่พอเรา 25 เองก็เจอเรื่องราวที่รุนแรงมาก แค่กำลังจะบอกว่ามันไม่ได้มีเฉพาะเรื่องแย่ๆ แต่จะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงมากที่หมายถึงคือ ถ้าดีก็ดีเลย แย่ก็แย่เลย ผมก็เลยต้องระวัง ต้องรู้ตัวเองว่าทำอะไรอยู่ พอเราขึ้นมาอยู่จุดสูง ถ้าหลงลืมตัวเอง ความตั้งใจหรือความพยายามจะหายไป เราจะติดลมและชิวเกินไม่ได้
ต้องจัดการตัวเองสูงมาก รวมถึงเวลาส่วนตัวที่หายไปด้วย
ยิ่งมีอุปสงค์เยอะ อุปทานก็ต้องหายไป เวลาเราสร้างใหม่ไม่ได้ บางครั้งคนเห็นเราก็ไม่เข้าใจ ว่ายังต้องการความเป็นส่วนตัวอยู่ แต่ตอนนี้ว่าบาลานซ์ได้ดีขึ้น ผมเป็นคนที่ชอบใช้เวลาคนเดียวเยอะ จะใช้คำว่าอินโทรเวิร์ทก็ได้ รู้สึกว่าอยู่คนเดียวแล้วมีพลังขึ้น เหมือนได้ชาร์จแบตและมีไอเดีย แต่ไม่ต้องการเยอะเท่าเมื่อก่อน จะมีคีย์เวิร์ดหนึ่งที่ชอบมากคือ thought & action = success หมายถึง thought คือการอยู่คนเดียว ส่วน action คือการออกไปทำอะไร ถ้าอยากจะ success ก็ต้องเอาสองอย่างนี้มารวมกัน เป็นมายด์เซ็ทไปแล้ว
แล้วตอนนี้สร้างสมดุลให้ชีวิตยังไง
ต้องวางแผนล่วงหน้าและคุยกับทีมงาน การต่อรองไม่ใช่เรื่องผิด ควรทำด้วยซ้ำ เพราะเรากับทีมคิดเหมือนกันว่าอยากได้ดีที่สุดอยู่แล้ว ผมต้องต่อรองเพื่อเอาเวลามาพัฒนาตัวเอง มาบาลานซ์ให้ตัวเองยังมีสุขภาพกายและใจที่ดีพอ ถ้าทำงานอย่างเดียวก็อาจจะกลายเป็นหุ่นยนต์ ทำทุกอย่างเป็นแพทเทิร์น ผมเคยเป็นแบบนี้อยู่ช่วงหนึ่งและไม่ชอบ ไม่ใช่ว่าทำออกมาไม่ดีนะ แต่เห็นตัวเองแล้วรู้สึกว่ามันน่าจะได้ดีกว่านี้ บางครั้งการทำสิ่งซ้ำเดิมอาจจะดีกว่าสิ่งที่ทดลองใหม่ แต่โอกาสที่จะทำแล้วออกมาดีมากๆ ไม่ค่อยมี เราต้องทดลองทำอะไรใหม่ๆ

เป็นพวกคาดหวังความเป็นเลิศ
ต้องคาดหวังครับ ถ้าเลือกจะทำแล้วก็ต้องทำให้สุด เป็นมาตั้งแต่เด็กแล้ว เมื่อก่อนชอบสอบแข่งวิชาคณิตศาสตร์ ก็จะฝึกทำโจทย์ทั้งวันทั้งคืน ทำสุดจนถึงยอดของมัน แล้วก็ถอยออกมา นิสัยเป็นอย่างนี้ ได้สำรวจตัวเองให้สุด ต้องไม่ไหลไปตามเทรนด์ ข้อเสียที่เป็นข้อดีในเวลาเดียวกันของผมคือ จะไม่ดูถูกหรือสรรเสริญเทรนด์
เกินไป ถ้ารู้ว่าชอบแบบไหน ก็จะทำที่เราชอบ
เป็นสัจธรรมที่ได้มาจากการเติบโตในต่างจังหวัด
สังคมในต่างจังหวัดมันเป็นอย่างนั้น ที่บ้านผมทำห้างกาฬสินธุ์พลาซ่า และเคยมีคนส่งยามาให้ตอนวันเกิดพ่อ แต่พ่อเอาไปบริจาคให้โรงเรียน แล้วเราเห็นแววตาของเด็กๆ ที่ได้รับ มันต่างกันมากทั้งที่เราอยู่กาฬสินธุ์เหมือนกัน คนที่ไม่มีเขาไม่มีจริงๆ อย่างนี้ก็ไม่ควรประมาทในชีวิต พอมาอยู่ในกรุงเทพฯ ได้ไปเที่ยวเมืองนอกบ้าง ผมยังเคยคุยกับตัวเองสมัยอายุ 15-16 เลยว่าโลกนี้ยังมีอะไรอีกเยอะมากกว่าที่เราคิด ถ้ามองกลับไปก็คิดอะไรแปลกๆ ได้เร็ว
ทักษะของการมองเห็น จดจำ และสำรวจตัวเองอยู่เสมอ ส่งผลต่อการแสดงไหม
มากครับ แต่ก็ต้องฝึก พวกนี้มันไม่ได้มาเอง คือการเข้าใจตัวเองทั้งร่างกายและจิตใจ ที่ยากจะเป็นเรื่องร่างกาย คลาสเรียนการแสดงก็ช่วย เขาจะมีวิธีหนึ่งที่เรียกว่า relaxation คือทำให้ร่างกายสบาย กว่าที่เราจะอนุญาตให้ร่างกายตัวเองรีแล็กซ์ไปทั้งตัว ก็ต้องสำรวจว่าเราเกร็งตรงไหน พอได้สำรวจตัวเองจะรู้ว่าเครื่องมือมีอะไรบ้าง สำรวจให้เต็มที่แล้วค่อยมาเติม ซึ่งถ้าไม่ฝึกเลย บางครั้งจะเจออุปสรรคทางการแสดงว่าอยากทำในสิ่งที่คิด แต่ทำออกมาผิดที่ ฉะนั้นการสำรวจตัวเองนี่ล่ะจะพาเรากลับไปในเรื่องพื้นฐาน เก่งแค่ไหนก็ต้องไม่ลืมนึกถึงเรื่องสามัญที่สำคัญแบบนี้ และหมั่นฝึกฝนอยู่เสมอ