Interview by: Pacharee Klinchoo
Photography: Courtesy of TUMI
คุยกับ Victor Sanz ครีเอทีฟไดเรกเตอร์คนสำคัญของ TUMI ที่อยู่กับแบรนด์มากว่าสองทศวรรษ ในโอกาสเปิดตัวร้านสาขาโอโมเตะซันโดโฉมใหม่ ซึ่งถือเป็น flagship store สำคัญของแบรนด์โซนเอเชีย-แปซิฟิก ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
คำถามแรกเป็นเรื่องของการออกแบบ ซึ่งต้องมีทั้งองค์ประกอบของความสวยงามและประโยชน์ใช้สอย ในฐานะนักออกแบบ คุณหาจุดร่วมระหว่างสององค์ประกอบนี้ได้อย่างไร
ผมคิดว่าวงการนี้เป็นสเปซที่ออกจะไม่เหมือนใครนะ ในฐานะแบรนด์ performance luxury lifestyle ผลิตภัณฑ์ของเราจะแค่ดูดีอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องมีสมรรถภาพสูงอีกด้วย เพราะฉะนั้น เวลาเราเริ่มกระบวนการออกแบบจะต้องคำนึงถึงปัจจัยเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา และพิจารณาทุกรายละเอียดไม่ว่าจะยิบย่อยหรือธรรมดาเพียงใด ตัวอย่างเช่น กระเป๋าคลัตช์ตัวใหม่ของเราตัวนี้ ด้านหนึ่งออกแบบมาให้เรียบ สะอาดตา แต่เวลาจะเอาสายมาคล้อง ก็ง่ายมากที่จะกลับด้านมาเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง ถ้าคุณจะไม่ใช้สายคล้องแล้ว ก็สามารถปรับกลับมาให้เป็นสไตล์เรียบสะอาดตาเหมือนเดิมได้ครับ
รายละเอียดแบบนี้เป็นอะไรที่เราผนวกเข้าไปในกระบวนการออกแบบอยู่ตลอด ไม่ใช่แค่การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ดูดีที่สุด แต่ต้องเป็นของที่ใช้งานได้ดีมากๆ ด้วย ซึ่งแปลว่าต้องใช้ได้ง่าย ไม่ต้องทำความเข้าใจมาก สำหรับผมแล้ว ตรงนี้แหละที่เป็นจุดต่างระหว่างเรากับแบรนด์อื่นๆ ครับ เพราะเราคิดต่อยอดไปนอกเหนือจากความสวยงาม โดยคิดถึงการใช้งานด้วย
ถ้าสมมติว่า TUMI เป็นคน คิดว่าเขาจะเป็นคนแบบไหน
(หัวเราะ) เป็นคำถามที่ดีครับ ผมว่าถ้า TUMI เป็นคนคนหนึ่ง เขาก็น่าจะเป็นคนที่มองไปข้างหน้าตลอดเวลา ผลักดันและพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ขวนขวายทำในสิ่งที่ใจรัก แล้วก็มีความพยายามเป็นที่หนึ่งในสิ่งที่ทำ ผมว่าคนประเภทนี้แหละ คนที่ใคร่รู้ มีจิตวิญญาณของการขับเคลื่อนสิ่งใหม่ๆ และมีไฟที่จะทำสิ่งที่ตนรักด้วยความเป็นเลิศอยู่เสมอ
แล้วคุณมีแพลนอะไรบ้างสำหรับปี 2024
ปี 2024 นี่เป็นปีที่สำคัญมากสำหรับเรา แน่นอนว่าเราเพิ่งเปิด flagship store แห่งแรกของเราในกรุงโตเกียว ย่านโอโมเตะซันโด ซึ่งโตเกียวก็ถือเป็นเมืองหลวงแห่งนวัตกรรมเมืองหนึ่งของโลก มีการผลักดันส่งเสริมให้พัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ทั้งในวงการเทคโนโลยี ดนตรี อาหาร และอะไรอีกมากมาย ทำให้เราก็พลอยมีแรงบันดาลใจจะคิดสร้างสรรค์ขึ้นด้วย ดังนั้น เราถือว่านี่เป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นมาก ที่ได้มาเปิด flagship store นี้ที่โตเกียวครับ
นอกจากนี้ เรากำลังจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์อีกหลายชิ้นที่น่าตื่นเต้นมากๆ และได้เพิ่มประเภทกระเป๋าใหม่ๆ ให้ 19 Degree คอลเลกชั่น Halo ของเรา ไม่ว่าจะเป็นตัว Minaudiere ที่ผมเพิ่งให้ดูเมื่อสักครู่ แต่เมื่อคืน ผมคิดว่าคุณน่าจะได้ลองกระเป๋าเป้ด้วยใช่ไหมครับ พวกคุณใจดีมากๆ ที่ถ่ายรูปกระเป๋าเป้ใบนั้นเข้าไปใน photoshoot ด้วย (หัวเราะ)ตอนที่เราคิดจะทำ 19 Degree เราอยากให้มันเป็นมากกว่าคอลเลกชั่นกระเป๋าเดินทาง แต่มีความคล่องตัวสำหรับใช้ในชีวิตประจำวันได้มากขึ้น เลยดีไซน์ Minaudiere กับเป้ใบนี้ขึ้นมา พร้อมทั้งเพิ่มสมรรถภาพในการใช้งานให้เอาไปใช้ได้ง่าย พูดอีกอย่างคือ ความตั้งใจเบื้องหลังการออกแบบของเราอยู่ที่ประสิทธิภาพ ความเรียบง่าย ไม่ยุ่งยากนี่แหละครับ ซึ่งเรากำลังพยายามพัฒนาสินค้าประเภท lifestyle แบบนี้เพิ่มขึ้นอีก หรือว่าอย่างกระเป๋า carry-on ไซส์กะทัดรัดใบนี้ก็ได้ครับ พอเหมาะกับเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับ
ส่วนในฝั่งสินค้าสุภาพสตรี เราก็กำลังพยายามพัฒนาเต็มที่ ตัวสินค้าใหม่มีจุดประสงค์คือเรียบง่าย ทน สามารถส่งต่อกันข้ามรุ่นได้ แต่ผิวสัมผัสก็จะต้องเป็นหนังนุ่ม ต้องใช้งานได้สะดวก หนังจะต้องมีชั้น patina ขึ้นมาสวยงามหลังจากเรานำไปใช้
ถ้าได้ยินชื่อ TUMI อาจจะไม่นึกถึงของหน้าตาแบบนี้ แต่เรารู้ว่าลูกค้าของเราต้องการกระเป๋าแบบนี้ เราเลยกำลังออกแบบชิ้นงานใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มในคอลเลกชั่นนี้ครับ เป็นกระเป๋าง่ายๆ ใบเล็ก ดูมีสไตล์ แต่สมรรถภาพการใช้งานยังเต็มที่
สำหรับเรา เราพัฒนาสินค้าตามความต้องการของลูกค้า เพราะเวลาลูกค้ามาถามหากระเป๋าแบบใดแบบหนึ่ง ว่าอยากได้ อยากให้มี ก็หมายความว่าเราควรจะต้องมีกระเป๋าประเภทนั้นให้เขาได้เลือก เราควรจะนำมาเป็นไอเดียสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่เรากำลังพยายามนำเสนอครับ ว่า TUMI ก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้งอยู่ตลอด ไม่ว่าจะผ่านดีไซน์ที่เรียบ ประณีต หรือชิ้นที่ดูนำแฟชั่นมากขึ้นอีกนิดหนึ่ง รวมถึงสินค้าในหมวดหมู่ lifestyle เช่น น้ำหอมของเรา นอกนั้น เรายังมีคอลเลกชั่นเกี่ยวกับกอล์ฟด้วย เพราะกีฬาเป็นอะไรที่สำคัญมากในชีวิตของลูกค้าเราหลายๆท่าน เราเลยกำลังพยายามขยายตัวเลือกให้ครอบคลุมทุกคน แผนการในปี 2024 ของเรา ก็ประมาณนี้แหละครับ ต่อยอดแบรนด์ให้ไปไกลกว่ากระเป๋าเดินทางและกระเป๋าเป้
พูดถึงเรื่องการออกแบบ จะมีคนบางคนที่เชื่อว่าความสวยงามและประโยชน์ใช้สอยนั้นไปด้วยกันไม่ได้ ในฐานะดีไซเนอร์ คุณมีวิธีหาจุดสมดุลระหว่างสององค์ประกอบนี้อย่างไรบ้าง
สำหรับเราที่ TUMI เมื่อก่อนนี้ เรายึดประโยชน์ใช้สอยและความทนทานเป็นหัวใจหลักมาเสมอ แต่พอแบรนด์เริ่มเติบโต เราก็ได้เล็งเห็นว่ากระเป๋า TUMI ต้องเป็นให้ได้ ‘มากกว่านั้น’ และค้นพบว่า รูปร่าง ดีไซน์ มีน้ำหนักความสำคัญพอๆ กับประโยชน์ใช้สอยเลยทีเดียว แล้วส่วนตัวผมก็มองว่า ถ้าคุณสวมใส่หรือใช้ไอเท็มที่ทำให้คุณรู้สึกดี รู้สึกมั่นใจ คุณก็จะทำอะไรต่ออะไรได้ดีขึ้น ใช่ไหมครับ คุณน่าจะทราบดี เวลาใส่ชุดที่เราใส่แล้วสบายตัว ดูดี เรารู้สึกได้เลยว่าเรา ‘เก่ง’ ขึ้น เทียบกับบางทีที่เราใส่อะไรแล้วไม่เข้าที่เข้าทาง ทำอะไรก็ติดขัดไปหมด ผมเลยมองว่าความสวยงามก็เป็นส่วนหนึ่งของประโยชน์ใช้สอยนี่เอง เพราะเรากำลังช่วยให้ลูกค้ามีความคล่องตัว มั่นใจ และมี performance ที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นไอเท็มอย่างกระเป๋าใส่โทรศัพท์มือถือ กระเป๋าใส่แล็ปท็อป ก็ต้องออกแบบมาให้สวยงาม เพราะเวลาคุณถือมันไปไหนมาไหน ก็จะใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจมากขึ้น
หากพูดถึงเรื่องการหาจุดสมดุล เวลาเราเริ่มขั้นตอนการออกแบบ เราจะนึกถึงปัจจัยเหล่านี้อยู่ตลอด ดีไซน์นี้ดูสวยไหม นำไปใช้ได้ง่ายไหม ลูกค้าจะเอาไอเท็มนี้ไปใช้อย่างไร เวลาลูกค้าจะเอาสายสะพายมาคล้องบนกระเป๋าใบนี้ ทำได้สะดวกไหม
ถ้า TUMI ร่วมออกคอลเลกชั่นกับตัวละครตัวไหนก็ได้ คุณจะร่วมงานกับใคร และเพราะอะไร
คำถามยากมากเลยครับ ไม่รู้เหมือนกันแฮะ ผมไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้ เพิ่งเคยเจอคำถามนี้ครั้งแรกนะเนี่ย Iron Man มั้งครับ (หัวเราะ) ผมว่าเขาน่าจะมีไอเดียแปลกๆ บ้าๆ แต่ยังสามารถทำได้จริง คงได้อะไรที่น่าสนใจออกมา ยิ่งเขาบินออกไปอวกาศบ่อยๆ ด้วยเป็นคำถามที่ดีมากครับ (หัวเราะ)
ขั้นตอนไหนของกระบวนการออกแบบชิ้นงานให้แบรนด์ที่คุณคิดว่าท้าทายมากที่สุด และขั้นตอนไหนที่คุณคิดว่ายากที่สุด
ผมว่าขั้นตอนที่ท้าทายที่สุดคือการพยายามเข้าใจลูกค้า และชีวิตของลูกค้าอยู่ตลอดเวลา ให้มั่นใจได้ว่าเรา ‘ตามทัน’ การใช้ชีวิตของลูกค้าอยู่ทุกเมื่อ จะได้ออกแบบสิ่งที่ดีที่สุดให้เขา เพราะว่าโลกเราเปลี่ยนไปไวมาก ดีไซเนอร์อย่างเราจึงต้องทำงานค่อนข้างเร็วเพื่อตามความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ให้ทัน ส่วนที่ยากที่สุดก็คือการหา ‘ที่’ ให้ชิ้นงานไปอยู่ได้หมดครับ เพราะว่าเรามีไอเดียเยอะมาก เราอยากรังสรรค์ประสบการณ์ lifestyle แบบของเราเอง ทั้งพวกน้ำหอม แว่นตา เครื่องประดับต่างๆ เราเลยต้องมาคิดว่าจะนำสินค้าเหล่านี้มาลงตลาดด้วยยุทธศาสตร์แบบใด และทำอย่างไรให้สินค้าทุกอย่างไม่หลุดไปจากตัวตนและคุณค่าหลักของ TUMI ครับ
คุณตัดสินใจอย่างไรว่าดีไซน์ไหน ‘สมบูรณ์’ แล้ว
การออกแบบเป็นอะไรที่ประหลาดมาก เพราะมันไม่มีวันเสร็จครับ ที่ TUMI งานเราไม่เคยเสร็จ เพราะเมื่อเราทำสินค้าออกมา เราฟังฟีดแบคจากลูกค้า ว่าตรงนี้ยังอยากเสริมอะไรอีก ตัวดีไซน์เองจึงมีการพัฒนาตลอดเวลาและไม่มีวันเสร็จสมบูรณ์สักที แต่มันก็จะถึงจุดจุดหนึ่งที่เรารู้สึกว่าดีไซน์นี้แน่นพอที่จะเผยสู่สายตาโลกแล้ว จนได้เปิดตัวสินค้า แล้วเราก็เรียนรู้จากการขายสินค้าดังกล่าว เพื่อนำความรู้มาปรับปรุง พัฒนา ต่อยอดอยู่เสมอ นี่คือวิธีการทำงานของ TUMI คือพัฒนาตลอด
สุดท้าย คุณมีอะไรจะฝากไปถึงลูกค้าของ TUMI ไหม
TUMI กำลังพัฒนาตัวเองอยู่เสมอครับ ดีเอ็นเอของเราคือการเปลี่ยนแปลง ปรับปรุง และเติบโตทุกเมื่อเพื่อลูกค้าของเรา การเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตลูกค้าคือปณิธานและตัวตนขององค์กรเรา เพราะฉะนั้น ลูกค้าจะได้เห็นสินค้าและ experience ใหม่ๆ จากทางแบรนด์ที่ไปในทิศทางนี้ครับ
1.Victor Sanz ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์คนสำคัญของ TUMI
2.บรรยากาศภายใน flagship store สาขาโอโมเตะซันโดะ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ของ TUMI
3. Extended Trip Packaging Case รุ่น 19 Degree Aluminium จาก TUMI