Simply Being Myself กะเทาะเปลือกเพื่อรู้จักตัวตนของแบงค์ – ปรีติ บารมีอนันต์ ในวันที่อะไรก็ไม่สำคัญเท่าความสุขในการใช้ชีวิต และรอยยิ้มอย่างจริงใจระหว่างการทำงานของเขา

Share This Post

- Advertisement -

Photographer: Napat Gunkham

Author: Pacharee Klinchoo

ผมกลับมาใช้ชื่อ ‘แบงค์ ปรีติ’ ที่บางทีผมก็ลืมไปว่า ชื่อที่แม่ผมตั้งให้ผม ก็คือตัวผมนี่นา ผมก็ขายความเป็นผมที่เป็นปรีติสิ ผมไม่ใช่นักร้องที่ร้องเพลงได้แนวเดียวเสียหน่อย

ก่อนที่เราจะลงนั่งคุยกับแบงค์ – ปรีติ บารมีอนันต์ เราเพิ่งจะดูภาพยนตร์เรื่อง ‘เพียงความทรงจำ (Last Light in Kumamoto)’ ที่เขานำแสดงจบลง ภาพยนตร์เรื่องนี้ออกมาภายใต้โปรเจ็กต์ The Secret of Love ที่นำเสนอภาพยนตร์หนึ่งเรื่อง และเพลงประกอบ 3 เพลงซึ่งทั้งสามเพลงนั้น (ฟื้นได้ด้วยใจเธอ / ขอเป็นคนของเธอ / ฉันลา เธอไป) ถูกขับร้องโดยแบงค์เอง เรียกได้ว่ากวาดหมดทั้งโปรเจ็กต์ต้อนรับการเป็นศิลปินเดี่ยวของตัวเองก็ไม่ผิดนัก “ผมไม่สับสนนะ” แบงค์ตอบทันทีเมื่อเราถามว่าเขาสับสนไหมกับการรับบทเป็น ‘แบงค์ วง Clash’ ในภาพยนตร์เรื่องนี้ “ในเรื่องมันก็คือผม คือปรีตินั่นแหละ เวลาที่ผมจะทำตัวให้สุดเหวี่ยง หรือเวลาช้ำรัก เจ็บปวด ผมก็ต้องไปต่างประเทศ เพราะผมทำตัวแบบนั้นในเมืองไทยไม่ได้ ต้องหาทางไประบายอารมณ์นอกประเทศ เรื่องราวในหนังมันก็เป็นเรื่องจริงอยู่ 70% ส่วนอีก 30% ก็คือเติมบทลงไปให้เป็นหนังโดยสมบูรณ์น่ะครับ

“ไม่มีอะไรซับซ้อนเลยครับ” อีกครั้งที่แบงค์ตอบโดยไม่คิดเมื่อเราถามว่าเหตุใดเขาถึงเลือกถ่ายทำที่เมืองคุมาโมโตะ ประเทศญี่ปุ่น “เพราะเมืองคุมาโมโตะเป็นสปอนเซอร์ในการถ่ายทำ ประสบการณ์จริงของผมเกิดขึ้นที่กรุงโตเกียว แต่การถ่ายทำในกรุงโตเกียวเป็นเรื่องยากมาก ต้องใช้เงินกับบุคลากรในการจัดการเยอะมาก พอคุมาโมโตะขอให้ไปถ่ายทำเพื่อโปรโมทเมืองเขา ผมก็เลยตอบรับทันทีครับ” แอบกระซิบนิดหนึ่งว่า นอกจากโลเคชั่นจะปรากฏในภาพยนตร์แล้วยังปรากฏในมิวสิควิดีโอของเขาอีกด้วยนะ โปรโมทกันฉ่ำมากจริงๆ

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่แบงค์ปรากฏตัวในฐานะศิลปินเดี่ยว ราวๆ 5 ปีที่แล้ว เขาออกอัลบั้ม Blue Magic โดยใช้ชื่อว่า BANKK CA$H มาแล้ว และในการคัมแบ็คครั้งนี้ เขาหวนคืนสู่ความเรียบง่าย โดยใช้ชื่อเพียง ‘แบงค์ ปรีติ’ เท่านั้น “ผมคาดหวังให้คนรู้จักผมมากขึ้นนะ” เขาตอบเมื่อเราถามถึงความคาดหวังกับการเป็นศิลปินเดี่ยวครั้งนี้ “ตอนที่ผมใช้ชื่อ BANKK CA$H ผมพยายามเอากำปั้นทุบดินเลยนะว่าผมเป็น R&B จ๋าๆ เลยนะ คุณได้ยินผมไหมว่าผมเป็น R&B นะ ฟังเนื้อแท้ผมสิ แต่พอเวลาผ่านมาจนถึงวันนี้ ผมกลับมาใช้ชื่อ ‘แบงค์ ปรีติ’ ที่บางทีผมก็ลืมไปว่า ชื่อที่แม่ผมตั้งให้ผม ก็คือตัวผมนี่นา ผมก็ขายความเป็นผมที่เป็นปรีติสิ ผมไม่ใช่นักร้องที่ร้องเพลงได้แนวเดียวเสียหน่อย ผมร้องร็อคได้ แรปได้ บัลลาดได้ R&B ยิ่งชอบ เพราะฉะนั้น ผมจะไม่ตีกรอบอะไรให้ตัวเองอีกแล้ว ผมจะไม่บอกว่าตัวผมเป็นอะไร ถึงทุกคนจะตีกรอบให้ผมก็ตาม

“วันนี้ ผมเจอสถานการณ์ที่ทำให้ผมนึกถึงตัวเองนะ” เขาเล่าต่อ “ผมไปเจอนักเรียนนายร้อยใส่เครื่องแบบเต็มยศ ผมรู้สึกว่าน้องเขาเท่มากจริงๆ พอเห็นแล้วก็นึกได้ว่าน้องคือผมในวันโน้นน่ะ ผมที่ใส่ เครื่องแบบบางอย่างให้ร้อนอยู่ตลอดเวลา และในวันนี้ ผมถอดเครื่องแบบออกไปแล้ว ได้ใส่เสื้อกล้าม ได้เป็นตัวเอง ก็รู้สึกผ่อนคลายมาก ผมบอกเองเสมอนะว่าการออกมาทำศิลปินเดี่ยวเนี่ย ผมไม่มีทางประสบความสำเร็จเรื่องเพลงได้เท่ากับวง Clash อย่างแน่นอน บอกได้เลย แต่ผมมาประสบความสำเร็จในการเป็นปรีติ ซึ่งพอเวลาขึ้นโชว์ และไม่มีอะไรมาฉุดรั้งความเป็นปรีติไว้ ผมรู้สึกว่าผมน่ารักขึ้นกว่าเดิมนะ” เขาหัวเราะ ส่วนเราถามเขาว่ายังไงนะ “ผมยิ้มมากขึ้นน่ะ เพราะผมไม่ได้ใส่หัวโขนอะไรแล้วไง เวลาพูดว่า ‘สวัสดีครับ ผมปรีติครับ’ คำว่า ‘ครับ’ มันมาง่ายขึ้นน่ะ สมัยก่อนผมทักทายว่า ‘ผมแบงค์ Clash’ แค่นี้จบ เพราะอินเนอร์ของแบงค์ Clash มันต้องตัวใหญ่ ทำตัวเป็นแบทแมนน่ะครับ แต่วันนี้ผมเป็นมนุษย์แล้วนะ”

ฟังมาถึงตรงนี้ เราแสดงความยินดีกับเขาอย่างจริงใจกับความสุขของเขาที่ส่งผ่านมาให้เราสัมผัสได้ แปลว่าคุณรักตัวเองมากขึ้นใช่ไหม เราถามยืนยัน “ผมไปทำงานแล้วมีความสุขมากขึ้นน่ะครับ แฟนเพลงก็รู้สึกว่าผมยิ้มเยอะขึ้น ซึ่งดีจริงๆ นะครับ”

ขอย้อนกลับมาเรื่องหนังและเพลงประกอบนิดหนึ่ง ส่วนตัวคุณเชื่อเรื่องพรหมลิขิตไหม เราสงสัย “ผมเชื่อนะ” เขาตอบทันที “ผมว่าโลกใบนี้ไม่มีอะไรมั่ว ทุกอย่างมีที่มาที่ไป มีเข้ามีออกอย่างเป็นระบบระเบียบ ผมว่าพรหมลิขิตมันมีอยู่ ไม่ว่าเราจะตามหามันหรือไม่ก็ตาม สุดท้าย จักรวาลมันจะพาเราเดินชนกันเอง ไม่วันใดก็วันหนึ่งล่ะครับ” ถ้าคุณเชื่อแบบนั้นมาจนถึงทุกวันนี้ มุมมองความรักของคุณในวันนี้กับคุณในวัยรุ่นแตกต่างกันเยอะมากขนาดไหน “สมัยก่อนความรักมันเพ้อฝัน มันซับซ้อน ผมเลือกผู้หญิงเหมือนเลือกรถน่ะครับ แต่พอมาถึงวันนี้ พอผมตัดความซับซ้อนทั้งหมดทิ้ง ความรักที่ไม่ซับซ้อนคือรักที่มีความสุขครับ ง่ายๆ แบบนั้นเลย”

คำถามสุดท้ายแล้วที่เราสงสัย คุณคาดหวังอะไรกับตัวเองในตอนนี้ ที่คุณมองตัวเองในฐานะแบงค์ ปรีติ “ผมจะเป็นนักร้องต่อไปจนกว่าเขาจะไล่น่ะ” แบงค์หัวเราะ “ผมโชคดีมากเลยนะที่ได้เกิดมาและทำอาชีพที่สามารถมีความสุขกับมันได้ทุกวัน และได้เงินด้วย มีคนจำนวนมาก ผมว่าราวๆ 95% ได้เลยนะที่จำเป็นต้องไปทำงานที่เขาไม่ได้รัก เพราะเป็นหน้าที่ เพื่อจะมีรายได้เข้ามา ผมเป็นคนส่วนน้อยที่สามารถทำงานที่รักและได้เงินจากมัน ผมมีความสุขกับมัน รู้สึกว่ามันไม่ได้ยากเท่าไหร่ด้วย เพราะผมรักมัน มันเลยไม่ยากขนาดนั้น และที่สำคัญ ผมจะไม่ยอมแก่ครับ คำว่า ‘stay cool forever’ นี่ติดอยู่ในหัวผมตลอด ผมจะไม่ยอมเป็นคนแก่งี่เง่าที่ผมเคยนินทามาก่อน ผมอยากให้เด็กรุ่นใหม่รู้สึกว่า ‘อยู่กับพี่เขาแล้วรู้สึกดีว่ะ’ อะไรอย่างนี้ครับ”


- Advertisement -