การพลิกบทบาทครั้งสำคัญของก๊อต – จิรายุ ตันตระกูลในภาพยนตร์เดือดแห่งยุค ‘ปิดเมืองล่า Pattaya Heat’ 

Share This Post

- Advertisement -

Interview by: Pacharee Klinchoo

Photography: Courtesy of The Studio 

“เริ่มแรกก่อนเลยนะครับ ผมเป็นนักแสดงที่เคยอ่านบทมาเยอะมาก แต่พอได้อ่านบทเรื่องนี้ ก็รู้เลยว่านี่เป็นบทที่แปลกมาก” ก๊อต – จิรายุ ตันตระกูล ผู้รับบท ‘ทศ’ ในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ ‘ปิดเมืองล่า Pattaya Heat’ ที่เป็นการร่วมทุนระหว่างวันเดอเรอร์ พิคเจอร์ส และฮอลลีวู้ด (ไทยแลนด์) “ตอนอ่านครั้งแรกที่รู้ได้ทันทีเลยครับว่าไม่ใช่คนไทยเขียนบทแน่นอน เพราะว่าขนบ และธรรมเนียมการเขียน การดำเนินเรื่องไม่ได้มีความเป็นไทยเลย ผมก็แอบเอ๊ะนิดหนึ่งว่า บทนี้มันแปลก และน่าสนใจมากเลยนะ ซึ่งก็จริง คนเขียนบทเป็นคนจีนครับ ซึ่งคุณหยางซู่เผิงเนี่ย เขาก็เป็นผู้กำกับและคนเขียนบทระดับ top10 ของประเทศจีนเหมือนกันนะครับ ผมรู้มาว่าเขาใช้เวลาเป็นสิบปีในการปั้นเรื่องนี้ แต่ก็หานักแสดงมา match กับเรื่องนี้ไม่ได้ จนเขามาทาบทามทีมคนไทยชุดที่เห็นในปัจจุบันนี่ล่ะครับ ในส่วนของผมเอง ผมถูกทาบทามให้ไปรับบทเป็นตัวต่อสู้ คือคาแรกเตอร์ที่เน้นการต่อสู้เป็นหลักเลยครับ” 

บทดี บทแปลกก็เรื่องหนึ่ง แต่อะไรคือ ‘จุดดีดนิ้ว’ ที่ทำให้คุณรับเล่นเรื่องนี้ “ตอนแรกก็ยังลังเลนั่นล่ะครับ” เขายอมรับ “แต่พอรู้ว่าพี่จ่อย (อนันดา เอเวอริ่งแฮม) และพี่น้อย (กฤษดา สุโกศล แคลปป์) เล่น ผมก็รับเล่นทันทีครับ และผมก็ดีใจมากที่รับเล่น เพราะทุกคนเป็นนักแสดงมืออาชีพหมดเลยครับ” เขาเล่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “เพราะฉะนั้นกองนี้ นักแสดงทุกคนมีของของตัวเอง ต่างคนต่างรับผิดชอบหน้าที่กันอย่างเต็มที่ ทุกคนมาเพื่อจะระเบิดของใส่กันหน้าเซ็ตเลยครับ ทำงานกันแบบมืออาชีพจริงๆุณรู้สึกอย่างไรบ้าง “ผมชอบนะครับ” เขาตอบทันทีแบบไม่คิด “ผมชอบพลังในการทำงานของทั้งคู่นะครับ อธิบายยังไงดี” เขานิ่งไปสักพัก “จริงๆ แล้วการแสดงมันก็ไม่ต่างอะไรกับการเล่นดนตรีเป็นวงนะครับ ทุกคนมีตัวโน้ตของตัวเอง มีสไตล์การทำงานเป็นของตัวเอง พอเราต้องเข้ามาร่วมงานกัน ทุกคนก็ต่างหาคีย์ หาจังหวะที่มันใกล้ๆ กัน เพื่อที่จะเล่นไปด้วยกันให้ราบรื่นครับ ประมาณนี้เลย” 

ก๊อตบอกว่า ด้วยความเป็นมืออาชีพของทั้งทีมเบื้องหลัง (ซึ่งเป็นทีมจากประเทศจีน) และทีมนักแสดง (ซึ่งเป็นทีมจากประเทศไทย) ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้เวลาถ่ายทำเพียงสองเดือนนิดๆ เท่านั้น “ทุกคนเป็นมืออาชีพหมดเลยครับ และก็ต้องยอมรับว่าคุณหยางซู่เผิงเป็นคนที่มีเทสต์ในเรื่องหนังค่อนข้างสูงมาก นักแสดงทุกคนเลยอยากจะเล่นหนังเรื่องนี้ที่เขากำกับกับ ทั้งๆ ที่ก็ไม่มีใครรู้หรอกว่ามันจะเวิร์คหรือเปล่า เพราะทุกคนที่ได้อ่านบท ก็จะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘หนังเชี่ยอะไรวะเนี่ย’ (หัวเราะ) คือพูดได้เลยว่า อีกยี่สิบปีก็ไม่มีโอกาสได้เล่นหนังแบบนี้อีกแน่นอน ทุกคนก็เลยคว้าโอกาสนี้กันหมดเลยครับ มันแปลกจนปล่อยผ่านไม่ได้จริงๆ” 

นอกจากผู้กำกับจะเป็น top10 ของประเทศจีนแล้ว ยังมีอีกรายชื่อหนึ่งที่เราสนใจ นั่นคือ ยังคิลยอง ผู้กำกับคิวบู๊ที่เคยฝากผลงานในภาพยนตร์เรื่องโปรดของเราอย่าง Old Boy (2003) มาแล้ว “ครับ เขาเป็นผู้กำกับคิวบู๊ของเรื่องนี้ งานประมาณ 80% เป็นฝีมือเขา ส่วนที่เหลืออีก 20% เป็นผมเองครับ” การรับบทเป็นนักแสดงคิวบู๊เป็นหลักแบบนี้ ก๊อตเตรียมตัวอย่างไรบ้าง ถึงแม้ว่าเราจะเห็นว่าเขาดูแลสุขภาพร่างกายอยู่ตลอดเวลาก็ตาม “เราย้ายสำมะโนครัวไปถ่ายกันที่พัทยา มีการวางแผนเป็นอย่างดีว่าจะซ้อมกันกี่วันก่อนถ่ายจริง ซึ่งผมก็มีเงื่อนไขของผมไว้ อย่างเช่น ถ้าผมไม่ได้คิวบู๊ก่อนอาทิตย์นี้ๆ ผมขอไม่ถ่ายนะ เพราะผมเตรียมร่างกายไม่ทัน พูดง่ายๆ ก็คือผมใช้วิธีการฝึกซ้อมร่างกายแบบนักกีฬาเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของโภชนาการ กายภาพบำบัด หรือเรื่องอื่นใด เรียกได้ว่าทำทุกอย่างแบบนักกีฬามืออาชีพ คิวบู๊เนี่ย มันดูเหมือนจะง่ายนะครับ แต่มันคือการทำเรื่องเดิมซ้ำไปเรื่อยๆ ตลอดทั้งวันจนกว่าจะได้เทคที่ใช่ เพราะฉะนั้น มันก็ไม่ต่างอะไรกับการที่นักมวยซ้อมสามเดือนเพื่อที่จะขึ้นต่อย 15 นาทีครับ” 

หนังกำลังจะเข้าฉายแล้ว คุณได้ดูหนังเต็มเรื่องแล้วหรือยัง “ดูแล้ว และถูกใจด้วยครับ” อีกครั้งที่เขาตอบโดยไม่คิด “ผมชอบอะไรที่มันแปลกใหม่ ชอบอะไรที่คาดเดาไม่ได้ และไม่ต้องมีเหตุผล ผมเลยสะใจกับหนังเรื่องนี้มากๆ เลยครับ

“บอกได้เลยนะครับว่า นักแสดงเรื่องนี้ทุกคน กรีดเลือดออกมานี่มีคำว่ารักการแสดงอยู่เต็มเปี่ยมเลยครับ” ก๊อตตอบทันทีเมื่อเราถามว่าทำไมเราถึงจะเลือกดูภาพยนตร์เรื่องนี้ “ทั้งพี่จ่อย พี่น้อย พี่เอก (ธเนศ วรากุลนุเคราะห์) ทุกคนอินกับบทมาก และรักที่จะทำงานการแสดงมาก และเมื่อคนแบบนี้มารวมอยู่ในโปรเจ็กต์เดียวกัน บอกได้เลยครับว่าโคตรมัน ทุกคนในกองนี่เลิกกองแล้วก็ยังมานั่งคุยกันเรื่องการแสดงต่อกันอีกนาน ถกกันเรื่องบท มาทำการบ้านร่วมกัน เพราะบทต้องแปลจากภาษาจีนมาเป็นภาษาอังกฤษ และจากภาษาอังกฤษมาเป็นภาษาไทยอีกทีหนึ่ง มันจะมีอะไรหลายๆ อย่างที่ชวนเอ๊ะ” ยังไงล่ะ เราถาม “มันจะมีคำที่คนไทยไม่ใช้ อย่างเช่น ‘สวัสดีตอนกลางวัน’ ที่มาจากคำว่า good afternoon เราก็ต้องพยายามบอกเขาว่ามันไม่ใช่แบบนี้นะ“

ฟังดูแล้วน่าสนใจมาก เราชักอยากจะดูแล้วล่ะ ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะ ‘สุด’ ได้แค่ไหน คุณช่วยเล่าความประทับใจสุดๆ ที่คุณได้รับตลอดการถ่ายทำสองเดือนให้เราหน่อย และเราสัญญาว่าเราจะไป ‘ปิดเมืองล่า’ กับคุณในโรงภาพยนตร์ “สิ่งที่ผมประทับใจที่สุดก็คือคุณหยางซู่เผิงครับ” ก๊อตตอบทันทีอีกครั้ง “เพราะเขามีไอเดียของเขา แต่เขาก็ฟังไอเดียของคนอื่นด้วย เขาไม่ใช่ผู้กำกับประเภทที่จะมาสำเร็จความใคร่ด้วยหนังของตัวเอง เขาเปิดรับไอเดียของทุกคน และเอาไอเดียเหล่านั้นมาทำให้หนังดีที่สุด ซึ่งทัศนคตินี้เป็นอะไรที่ว้าวมากสำหรับผม เพราะในฐานะนักแสดง ผมก็อยากจะแสดงความคิดเห็นในฐานะนักแสดงนะ โอเค… คุณสร้างตัวละครขึ้นมาก็จริง แต่คนที่รับผิดชอบตัวละครให้มันออกมาเป็นตัวจริงได้คือผมนะ ผมเป็นนักแสดงมืออาชีพ พอได้เจอผู้กำกับที่รับฟังความคิดเห็นของผม ผมทุ่มสุดชีวิตเลยครับ” 

คุณยกตัวอย่างแบบเป็นรูปธรรมให้เราฟังนิดได้ไหม จะได้เห็นภาพน่ะ เราตื๊อต่อ “เอาเป็นบทของผมเลยนะ” ก๊อตว่า “ผมรู้สึกว่าไอ้ทศเนี่ย เวลามันต่อสู้ ผมอยากจะให้มันสลัดคราบความเป็นซูเปอร์ฮีโร่ที่มีการแอ็คอาร์ต โพสต์ท่าเท่ๆ ออกไป ผมไม่ต้องการสิ่งนั้นกับไอ้ทศ ผมก็เลยออกแบบคาแรกเตอร์ร่วมกับทุกคนว่าเราจะให้ไอ้ทศต่อสู้แบบสัตว์ป่า เหมือนเสือดำขย้ำคอกว้าง หรือกระทิงหลุดออกมาอย่างบ้าคลั่ง อะไรอย่างนี้ นั่นคือคอนเซ็ปต์ที่ผมเสนอไป และคุณซู่เผิงก็เห็นด้วยกับผม ผมไม่อยากจะทำคิวแอ็คชั่นแบบเดิมๆ อีกแล้ว และเขาก็เปิดโอกาสให้ผมได้ทำตามสิ่งที่ผมต้องการทำน่ะครับ” 

ไป ‘ปิดเมืองล่า Pattaya Heat’ พร้อมกันในโรงภาพยนตร์ตั้งแต่วันที่ 8 กุมภาพันธ์เป็นต้นไป 

- Advertisement -