มากกว่าความหรูหราที่วัดด้วยราคาค่างวด เดินทางผ่านกาลเวลาเกือบ 200 ปี การสืบสานองค์ความรู้ที่ถูกส่งต่อรุ่นสู่รุ่นผ่านนวัตกรรมและสุนทรียศาสตร์ ด้วยฝีมืองานช่างศิลป์สร้างสรรค์ออกมาเป็นผลงานภายใต้แบรนด์ Hermès
Author: Chanond Mingmit
Photography: Courtesy of Hermès
นิทรรศการ Hermès in the Making ที่จัดขึ้นเมื่อปลายปีที่ผ่านมา พาเราเข้าไปสู่โลกของ Hermès ที่น้อยคนนักจะได้สัมผัสขั้นตอนวิธีการผลิตชิ้นงานอย่างละเอียดที่คงไว้ซึ่งเอกลักษณ์เฉพาะ ความแข็งแรงทนทาน คุณภาพ นวัตกรรม การสืบสานองค์ความรู้ และสุนทรียศิลป์ที่มาพร้อมประโยชน์การใช้สอย คือคุณค่าที่นำทางการสร้างสรรค์ชิ้นงาน ซึ่งคุณค่าเหล่านี้เองมีความสำคัญต่อการข้ามผ่านความท้าทายของโลกในยุคปัจจุบัน ช่างฝีมือผู้เชี่ยวชาญที่เป็นตัวแทนหัตถศิลป์อันเปรียบเสมือนหัวใจหลักเกือบสิบแขนงเดินทางมาสู่กรุงเทพฯ พร้อมกับกระเป๋าเครื่องมือคู่ใจอันทรงคุณค่า เพื่อสาธิตและถ่ายทอดองค์ความรู้อันไม่สามารถประเมินคุณค่าได้ ให้เราได้ชมอย่างใกล้ชิด พร้อมกับให้โอกาสเราได้ลงมือทำพร้อมคำอธิบายลงลึกทุกขั้นตอน งานศิลปะของช่างฝีมือของ Hermès สะท้อนถึงความตั้งใจในการอนุรักษ์และพัฒนาความรู้พร้อมส่งต่อให้กับคนรุ่นต่อไป เป็นที่น่าสังเกตว่าความรู้นี้ถูกพัฒนามาพร้อมกับความเคารพต่อประเพณี วัฒนธรรมในภูมิภาคต่างๆ รวมไปถึงการแสวงหาวัสดุมาใช้เพื่อผลิตชิ้นงาน และยังคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนอีกด้วย ภายในโถงใหญ่ของนิทรรศการถูกแบ่งพื้นที่อย่างเป็นสัดส่วนเพื่อแสดงความเป็นมา ขั้นตอน และการสาธิต โดยมีช่างฝีมือผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำและตอบคำถามเราอย่างละเอียด
วัฒนธรรมแห่งงานฝีมือแบบดั้งเดิมที่สืบสานมาแต่อดีต
นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1837 ที่ Hermès ได้ก่อตั้งขึ้น ได้ผ่านช่างฝีมือมาทั้งหมด 6 รุ่น ซึ่งร่วมกันปกป้องและบ่มเพาะองค์ความรู้ ความชำนาญ พัฒนาถ่ายทอดผ่านรุ่นต่อรุ่น มรดกอันล้ำค่านี้ไม่เพียงถูกเก็บรักษาในรูปแบบของเอกสารบันทึกเท่านั้น แต่ยังเป็นทักษะฝีมือที่ได้รับการถ่ายทอดตัวต่อตัวผ่านผลงานอย่างงานเครื่องหนัง การทอผ้า งานพิมพ์ลายผ้า งานแกะสลัก งานกระเบื้องเคลือบ นาฬิกา รวมไปถึงงานโลหะ เป็นต้น ช่างฝีมือฝึกหัดจะได้รับการถ่ายทอดความรู้จนชำนาญในแต่ละแขนง ตัวอย่างเช่น ช่างเครื่องหนังจะสามารถผลิตอานม้าได้ครบทุกขั้นตอนตั้งแต่เริ่มจนจบ ซึ่งอานม้านี้ถือเป็นชิ้นงานที่เป็นรากฐานสำคัญของ Hermès โดยอานม้าแต่ละชิ้นจะถูกผลิตตามผู้ขี่แต่ละคน ตามกีฬาขี่ม้าแต่ละประเภท เช่น ขี่ม้ากระโดดข้ามเครื่องกีดขวาง ศิลปะการบังคับม้า ไปจนถึงการขี่ม้าข้ามภูมิภาค ชิ้นหนังแต่ละชิ้นจะได้รับการประกอบขึ้นจากแกนกลางที่ถูกขึ้นรูปจากไม้ จากนั้นหนังแต่ละชิ้นจะถูกตอกเข้าด้วยตะปูที่ถูกหล่อขึ้นจากโลหะชิ้นเดียวเพื่อความคงทนและจะเย็บมือด้วยฝีเย็บแบบดั้งเดิมที่ใช้เส้นด้ายคู่ (saddle-stitching) ซึ่งชิ้นงานนี้จะให้สัมผัสที่บางเบาสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างผู้ขี่และม้าเพื่อประสบการณ์ที่ดีที่สุด จากนั้นช่างแต่ละคนจะทำการลงชื่อกำกับชิ้นงานด้วยสัญลักษณ์เฉพาะบุคคล กระเป๋าเครื่องมือช่างจะเป็นสิ่งเดียวที่จะไม่ถูกส่งต่อไปยังช่างฝีมือรุ่นถัดไป เมื่อได้รับการคัดเลือกให้มาร่วมงานกับ Hermès ช่างฝีมือจะได้รับอุปกรณ์ชุดใหม่และจะถูกใช้ไปตลอดระยะการทำงานในฐานะช่างฝีมือของแบรนด์
สำหรับผ้าพันคอผ้าไหมพิมพ์ลายซึ่งถือเป็นผลงานเอกลักษณ์ของ Hermès จะเริ่มด้วยการรับภาพต้นฉบับเท่าขนาดจริงมาเอาลวดลายออกตามสี โดยช่างจะเขียนแบบลายลงบนแผ่นฟิล์มใสด้วยเครื่องมือแกะลาย จากนั้นจึงสร้างไฟล์ดิจิทัลในลายผ้าพันคอแยกตามแต่ละสี รวมถึงการไล่เฉดสีและโครงของภาพเพื่อนำไปผลิตเป็นบล็อกพิมพ์ลายลงบนผ้าไหม ซึ่งหนึ่งบล็อกจะใช้ในการพิมพ์เพียงหนึ่งสีเท่านั้น โดยเฉลี่ยผ้าพันคอหนึ่งลายจะใช้บล็อกพิมพ์ 25-30 บล็อก และอาจมากถึง 48 ในกรณีที่มีลวดลายซับซ้อน การแกะลายพิมพ์ผ้าพันคอและผ้าคลุมไหล่นั้นได้รับการสืบทอดประเพณีการผลิตผ้าไหมของเมืองลิยงตั้งแต่ปี ค.ศ. 1948 ซึ่งต่อมาได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ Hermès ใน ค.ศ. 2006 โดยตัวเลือกสีนั้นมีมากกว่า 75,000 สี ช่างฝีมือในแผนกนี้ได้รับการฝึกฝนโดยช่างผู้ชำนาญไม่น้อยกว่า 3 ปี ที่โต๊ะพิมพ์ลายที่มีความยาว 150 เมตร มีการคุมการผลิตอย่างระมัดระวังในการเทสีแต่ละบล็อกตามลำดับขั้นตอนลงบนผ้าไหมทวิลล์สีขาวม้วนใหญ่ที่ถูกขึงจนตึง จนเมื่อสำเร็จและนำผ้าไหมไปตากจนแห้งดี นำผ้าไปอบไอน้ำให้สีติดคงทนและนำไปทำความสะอาดไปจนถึงกระบวนการทางเคมี จบที่การม้วนขอบเย็บริมสอยด้ายด้วยมืออันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ Hermès ก่อนจะพับและจัดวางบนกล่องสีส้มที่ทุกคนคุ้นเคยเป็นอันจบกระบวนการ
การคัดสรรวัสดุคุณภาพสูง
ชิ้นงานที่มีคุณค่านั้นมีจุดเริ่มต้นมาจากการเลือกวัตถุดิบที่มีคุณภาพ ทั้งดินขาว ก้อนหิน ฟาง หนังสัตว์ ผ้าไหม เขาสัตว์ แร่ธาตุ รวมไปถึงพันธุ์พืช แต่ไม่ลืมที่จะรักษาสมดุลความหลากหลายของทรัพยากรเหล่านั้นอีกด้วย โดยความตั้งใจที่จะลดผลกระทบต่อธรรมชาติให้ได้น้อยที่สุด โดยจะใช้อย่างจำเป็น ระมัดระวังให้คุ้มค่ามากที่สุด มีการนำเศษวัสดุที่เหลือมาประดิษฐ์สร้างสรรค์เป็นผลงานชิ้นใหม่ อย่างเช่นงานหัตถศิลป์ ‘เปอติ อาช’ (petit h) ในช่วงศตวรรษที่ 18 ชาวยุโรปได้ค้นพบว่าเครื่องกระเบื้องจากประเทศจีนที่มีความขาวบริสุทธิ์ที่สุดนั้นเกิดจากการใช้ดินขาวเป็นส่วนผสม จนต่อมามีการค้นพบแหล่งดินขาวภายในเทศบาลเมือง Saint-Yrieix-la-Perche ใกล้กับเมืองลิมอจ จนเป็นต้นกำเนิดการผลิตกระเบื้องเคลือบในฝรั่งเศสนับแต่นั้นเป็นต้นมาและกลายเป็นหนึ่งในองค์ความรู้ของ Hermès อีกด้วย สำหรับในส่วนของงานเครื่องประดับนั้น ช่างฝีมือจะใช้เทคนิคต่างๆ ในการประดับตัวเรือนและอัญมณีล้ำค่าอย่างแน่นหนาไม่ว่าจะเป็นฝังแบบเกรนเซตติ้ง การฝังแบบหนามเตย หรือการฝังแบบหุ้มปิด วัสดุอย่างทองคำและเงินที่ Hermès ใช้นั้นส่วนมากจะมีที่มาจากโปรแกรมรีไซเคิลโลหะล้ำค่าของยุโรป ซึ่งทั้งหางแร่เม็ดเล็กๆ ทั้งทองคำและเงินจะถูกรีดเป็นแผ่นหรือเป็นเส้นมาจากอุตสาหกรรมหลากหลายที่ เพื่อหลีกเลี่ยงการนำวัตถุดิบที่มาจากเหมืองโดยตรง
ทักษะความชำนาญของแต่ละภูมิภาค
ฝรั่งเศสถือเป็นหนึ่งในพื้นที่ผลิตชิ้นงานและเวิร์กช็อปที่มีความสำคัญและเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนานรวมไปถึงความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง อย่างช่างฝีมือผลิตถุงมือมีขั้นตอนที่ละเอียดซับซ้อนกว่า 22 ขั้นตอนในการผลิตถุงมือหนังที่สมบูรณ์แต่ละคู่ เริ่มตั้งแต่ช่างฝีมือผู้ชำนาญจะทำการคัดเลือกคุณภาพชิ้นหนังที่เหมาะสม ปรับหนังด้านให้นุ่มด้วยการใช้ฟองน้ำและโรยแป้งทัลก์ (talc) ที่เกรนหนังด้านนอก จากนั้นจะยึดและดึงหนังเพื่อให้มั่นใจว่าถุงมือหนังจะรักษารูปทรงให้ยืดหยุ่นและทรงรูปเมื่อใช้งาน หลังจากนั้นช่างจะทำการวางชิ้นหนังแต่ละส่วนให้ได้รูปตามแนวตะเข็บที่วางไว้อย่างพิถีพิถันเพื่อใช้วัสดุอย่างคุ้มค่าที่สุด จากนั้นจะใช้เครื่องมือแบบดั้งเดิมที่เรียกว่า iron-hand ที่ถูกคิดค้นเมื่อศตวรรษที่ 19 เพื่อตัดชิ้นหนังให้เป็นรูปทรงแต่ละนิ้วมือ จากนั้นจึงประกอบชิ้นส่วนต่างๆ ด้วยการเย็บด้วยมือแล้วนำถุงมือไปรีดด้วยเตารีด hot-hand ซึ่งถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายในการสำเร็จเป็นถุงมือจาก Hermès ในแต่ละคู่ แหล่งผลิตถุงมือนี้อยู่ที่เมือง Saint-Junien ใจกลางแคว้น Limousin ได้การรับรองเป็น Entreprise du Patrimoine Vivant ซึ่งเป็นตราสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นว่าเป็นบริษัทที่ทรงคุณค่าสืบสานภูมิปัญญาฝรั่งเศส โดยศาสตร์การผลิตถุงมือนี้มีประวัติความเป็นมาตั้งแต่ยุคกลาง ซึ่งเป็นภูมิภาคที่โด่งดังมีชื่อเสียงในด้านการปศุสัตว์ ความชำนาญในเครื่องหนังนั้นยังถูกถ่ายทอดผ่านชิ้นงานอย่างกระเป๋าอย่างที่ทุกคนรู้จักกันดี ยกตัวอย่างเช่น กระเป๋าในรุ่น Kelly ที่ประกอบขึ้นจากชิ้นส่วนหนังกว่า 14 ชิ้น การขึ้นโครงหลักกระเป๋าใช้ชิ้นส่วนที่เรียกว่ากุสเซต์ (gusset) ที่ช่างฝีมือต้องใช้ความชำนาญสร้างสมดุลระหว่างความแข็งแรง การลงน้ำหนัก ชิ้นส่วนหนังแต่ละชิ้นถูกนำมายึดระหว่างแขนทั้งสองข้างของช่างด้วยเครื่องมือตัวหนีบไม้ชิ้นใหญ่ และถูกบรรจงเย็บด้วยตะเข็บแบบ saddle stitch ด้วยความชำนาญจากช่างฝีมือ ปลายสองด้านของด้ายลินินถูกเคลือบด้วยขี้ผึ้งมาเย็บไขว้กันในทุกฝีเข็มด้วยประสบการณ์ที่ได้รับการสั่งสมมา โดยเวิร์กช็อปแต่ละแห่งนั้นมีช่างหัตถศิลป์ 250-280 คน เพื่อให้ได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้และภูมิปัญญาอย่างใกล้ชิดจากรุ่นสู่รุ่น
กาลเวลา
ไม่มีคำว่า ‘ขั้นตอนลัด’ สำหรับช่างฝีมือของ Hermès การฝึกฝนทักษะฝีมือใช้เวลากว่าแรมปีเพื่อความละเอียดพิถีพิถัน ซับซ้อนและประณีตในศิลปะแห่งการผลิตผลงานในแต่ละแขนง ชิ้นงานแต่ละชิ้นจึงสะท้อนคุณค่าแห่งกาลเวลา การออกแบบชิ้นงานให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนานคุ้มค่าจนกลายเป็นมรดกที่มีคุณค่าทางจิตใจที่ส่งต่อรุ่นสู่รุ่น และเมื่อผ่านกาลเวลา ความชำรุดที่เกิดขึ้นสามารถถูกซ่อมแซมได้ เฉดสีที่เปลี่ยนแปลงสามารถบ่งบอกถึงการเดินทางที่ยาวนาน หากมีตำหนิเกิดขึ้น ช่างฝีมือจะช่วยทำการซ่อมแซมและดูแลร่องรอยความทรงจำนี้ให้คงสภาพดังเดิมเพื่อช่วยรักษาไว้ซึ่งสมบัติที่มีคุณค่าทางจิตใจของผู้เป็นเจ้าของโดยผู้เชี่ยวชาญในการซ่อมแซม โดยแต่ละชิ้นจะผ่านการประเมินก่อน ไม่ว่าจะเป็นการปรับแต่งเพียงบางส่วนไปจนถึงการซ่อมแซมปรับปรุงขนานใหญ่ เช่นการปรับสีเครื่องหนังหรือการเย็บตะเข็บ saddle stitch ใหม่ก็สามารถคืนชีวิตให้กับชิ้นงานนั้นได้อย่างอัศจรรย์ โดยในแต่ละปีนั้นมีชิ้นงาน Hermès กว่า 200,000 ชิ้นเดินทางมาที่เวิร์กช็อปเพื่อซ่อมแซมและฟื้นฟู โดยช่างฝีมือจะศึกษาอย่างรอบคอบในแต่ละชิ้นงานก่อนจะส่งมอบไปยังช่างผู้เชี่ยวชาญแต่ละแขนงเพื่อดำเนินการต่อไป และส่งคืนไปยังเจ้าของอย่างสมบูรณ์ที่สุด เพราะชิ้นงานแต่ละชิ้นมีคุณค่าทางจิตใจ บางชิ้นงานเป็นมรดกสืบทอด และบางชิ้นงานอาจเป็นตัวแทนของผู้เป็นที่รัก ฉะนั้นกาลเวลาจึงถือเป็นหนึ่งในพันธมิตรที่สำคัญของ Hermès นั่นเอง