ร้านขายยาสู่เครื่องสำอางญี่ปุ่นดังไกลระดับโลก Shiseido

Share This Post

- Advertisement -

หลายคนรู้หรือไม่ว่าความเป็นมาของ Shiseido นั้นล่วงเลยผ่านเวลามาถึง 150 ปีแล้วเป็นแบรนด์เครื่องสำอางความงามที่ต้องยกได้ว่าเป็นระดับตำนาน ที่คนทุกเจนต้องรู้จักย้อนเวลากลับไปปี 1872 Shiseido เริ่มต้นจากร้ายขายยาสไตล์ตะวันตกแห่งแรกของญี่ปุ่น ณ ย่านกินซ่า ซึ่งถูกจัดตั้งขึ้นโดย Arinobu Fukuhara (อาริโนบุ ฟุกุฮาระ) หัวหน้าเภสัชประจำการโรงพยาบาลกองทัพเรือซึ่งอายุเพียง 23 ปี สมัยก่อนเนื่องจากยามีการขาดแคลน เขาจึงต้องการนำยาวัตถุดิบชั้นดีมาจากทุกมุมโลกมาใช้ เพื่อตอบโจทย์การรักษาผู้ป่วยในสมัยนั้น

จากร้านขายยามาเปลี่ยนเป็นผลิตภัณฑ์ความงามนั้นได้อย่างไร จุดเปลี่ยนนั้นเกิดจากที่ Shinzo (ชินโซ) ทายาทตระกูล Fukuhara นั้นมีความสนใจ หลงใหลในด้านเภสัช ที่ไปเรียนไกลถึงสหรัฐอเมริกา เท่านั้นยังไม่พอเขายังสนใจศิลปะการถ่ายภาพ ที่ประเทศฝรั่งเศส จนเกิดแรงบันดาลใจที่ต้องการผสมผสานความเป็นตะวันตกสู่ความเป็นญี่ปุ่น เนื่องจากเขามีมุมมองที่แตกต่างทำให้ Shinzo Fukuhara คิดค้นผลิตภัณฑ์ความงามขึ้นมา เลยเกิดประธานคนแรกของ Shiseido ในปี 1897 เป็นปีแรกที่ Shiseido ได้เริ่มเข้ามามีบทบาทด้านธุรกิจเครื่องสำอางโดยได้ออกผลิตภัณฑ์ บำรุงผิวชื่อว่า Eudermine เป็นน้ำบรรจุด้วยขวดสีแดงสดใส และในภายหลังได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็น Eudermine Revitalizing Essence ในปี 1997 ถือได้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมยาวนานถึง 100 ปี

เพราะแนวคิดของ Shinzo Fukuhara นั้นมีความคิดที่แตกต่างจากคนสมัยนั้นๆ จึงเห็นแนวโน้มความเป็นไปได้ว่าผลิตภัณฑ์ความงามนั้น ควรจะงามทั้งภายนอกและภายใน ร้านขายเครื่องสำอางของแบรนด์ สาขาแรกนั้นเปิดตัวในปีค.ศ. 1916 และมาพร้อมกับแผนกที่ไม่น่าเกี่ยวข้องกับธุรกิจนี้ แต่ Shinzo Fukuhara กลับรังสรรค์แผนกนี้ขึ้นมาคือ Design Department หรือเรียกง่ายๆ ว่าแผนกออกแบบ ซึ่งแผนกนี้มีหน้าที่สร้างสรรค์ผลงานออกมา อาทิเช่น โปสเตอร์ หนังสือพิมพ์ โฆษณาในนิตยสาร สื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ รวมถึงออกแบบบรรจุภัณฑ์และเลย์เอาต์ของร้าน แผนกนี้เต็มไปด้วยศิลปินและนักศึกษารุ่นใหม่ที่ได้แรงบันดาลใจจากจากศิลปะอาร์ตนูโว จากนิตยสารแฟชั่นจากปารีส ซึ่งต่อมาผลงานนี้ได้มาเป็นที่รู้จักในนามของ ‘Shiseido Style’ ต่อมาปีในปี 1919 เค้าได้จัดตั้งแกลลอรี่ขึ้นในนามว่า Shiseido Gallery ปัจจุบันคือแกลลอรี่ที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่นและปัจจุบันนั้นยังคงเปิดทำการอยู่

ปี 1923 เนื่องจากได้รับกระแสตอบรับกลับมาค่อนข้างดีทำให้เขาได้เริ่มขยายธุรกิจระบบเฟรนไชส์ และยังสาขาทั่วประเทศและทั่วโลกและในปี 1934 เกิด Miss Shiseido ขึ้นมานั่นคือกลุ่ม BA กลุ่มแรกของโลกของ Shiseido โดยทั้งการแต่งกายนั้นทั้งประณีต สวยงาม เข้ากับยุสมัยนั้นแต่ปี 1945 ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดหลายธุรกิจแทบล้มละลายเนื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ในที่สุดก็สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วจากขายผลิตภัณฑ์น้ำยาทาเล็บ ปี 1956

ถัดมาในปี 1962 ถือเป็นจุดเปลี่ยนในการขยายธุรกิจไปต่างประเทศของ Shiseido เลยทีเดียว เขาได้สร้างกลยุทธ์ทางการตลาดไม่ว่าจะเป็นการรวบรวมเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับเส้นผมทั้งในสหรัฐอเมริกาและยุโรป โดยเขาได้ทำการซื้องานวิจัยของผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีผิวหนังเทียม ของ Olivo Laboratories และได้ทำการเปิดสถาบันอบรบศาสตร์แห่งความงามและแฟชั่นของ Shiseido ชื่อว่า SHISEIDO Academy of Beauty and Fashion (SABFA) เผื่อต้องการที่จะฝึกอบรบคนรุ่นใหม่ และเท่านั้นยังไม่พอยังทำการวิจัยผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและเส้นผมหลายแห่ง อาทิเช่นการผลิตโซเดียมไฮยาลูโรเนท คือสารที่ช่วยให้ผิวหนังไม่แห้ง ยืดหยุ่น นอกเหนือจากนั้นยังร่วมกับมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด จัดการการก่อตั้งศูนย์วิจัยตจวิทยาศึกษาสภาพผิวทั้งด้านความงามและรักษาโรคอีกด้วย

ปี 1965 ได้ฤกษ์ดีเปิดสาขาในสหรัฐอเมริกา ปี 1968 ขยายสาขาต่างๆ ไปยังฝั่งยุโรป และในประเทศอิตาลี ปี 1971 สามารถขยายธุรกิจไปเปิดในประเทศนิวซีแลนด์ และในปี 1980 Shiseido ได้จัดการให้ Serge Lutens (ช่างแต่งหน้าทำผมชาวฝรั่งเศส) เข้ามาดูแลด้านลุคของ Shiseido ในต่างประเทศอีกด้วย 

ในปี 1978 ได้เปิดตัว Shiseido Art House พิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับศิลปะในสถาปัตยกรรมแบบอาร์ตนูโว ซึ่งออกแบบโดยสถาปนิกชาวญี่ปุ่นนามว่าทานิกุจิ โยชิโอ และทาคามิยะ ชินสุเกะ เพื่อจัดแสดงผลงานของจิตรกร ประติมากร รวมถึงเหล่าช่างฝีมือที่เคยจัดแสดงผลงานที่ Shiseido Gallery มาก่อนด้วยรวมถึงผลงานจากกิจกรรมอื่นๆ ที่มุ่งสนับสนุนชุมชนนักสร้างสรรค์

ในปี 1992 ตอกย้ำความปังของแบรนด์จากเครื่องสำอาง สู่ความงามบนเส้นผม กับโปรดักซ์ไลน์สินค้าเกี่ยวกับผม โดยการเปิดร้านทำผมบนชั้น 2 ของตึก Shiseido โดยตั้งอยู่ติดกับร้านขายยาเดิมของเขาอีกด้วย

ที่มาของชื่อแบรนด์

อาริโนบุ ฟุคุฮาระตระหนักดีว่าชื่อนั้นมีผลอย่างมาก โดยชื่อที่ถูกต้องมีพลังที่จะยืนหยัดผ่านการทดสอบของกาลเวลา และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในการสร้างแรงบันดาลใจให้กับทุกคนที่พบเจอ Arinobu ใช้ชื่อ Shiseido จากข้อความในภาษาจีน Yi Jing (หรือ I Ching) ซึ่งเป็นข้อความโบราณที่ใช้เพื่อการทำนายเป็นเวลาหลายพันปี ชิเซโด้ แปลว่า: ทำ (堂): “บ้านของ”, ชิเซย์ (資生): “ที่ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างถือกำเนิดขึ้น”ข้อความทั้งหมดในยี่จิงอ่านว่า: “สรรเสริญคุณธรรมของแผ่นดิน นั่นคือสิ่งที่ทุกสิ่งถือกำเนิดขึ้นมา” ทุกวันนี้ ชื่อชิเซโด้ยังคงสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของในการเป็นผู้นำนวัตกรรมความงามได้อย่างสมบูรณ์แบบโดยการผสมผสานสิ่งที่ดีที่สุดของวิทยาศาสตร์ตะวันตกเข้ากับภูมิปัญญาตะวันออก

สัญลักษณ์ของแบรนด์

คือดอก “ฮานะสึบากิ’ ซึ่งอิงตามชื่อของดอกฮานะซึบากิหรือดอกคามิลเลียนั่นเอง โดย ลวดลายดอกคามิลเลียมีความหมายเหมือนกันกับชิเซโด้ถูกสร้างขึ้นโดยศิลปินและช่างภาพผู้ประสบความสำเร็จ ซึ่งเป็นบุตรชายของผู้ก่อตั้งนั้นเอง ชินโซ ฟุกุฮาระ หลังจากศึกษาเล่าเรียนศิลปะในยุโรป ชินโซพบว่าตัวเองได้รับแรงบันดาลใจไม่รู้จบจากอาร์ตนูโวและการตีความดอกไม้และพืชทางศิลปะ สิ่งที่เขาเลือกขึ้นมานั้นคือดอกคามิลเลีย ซึ่งรู้จักในนามชื่อฮานะสึบากิในญี่ปุ่น เป็นไม้พุ่มที่เขียวชอุ่มตลอดปีซึ่งมีดอกสวยงามและมีกลีบที่มีสีเข้มจัดแต่ขึ้นรูปอย่างประณีต ดอกคามิลเลียอันล้ำค่าพบได้ในเอเชียตะวันออกและเอเชียใต้เป็นส่วนใหญ่ เป็นตัวแทนของความแข็งแกร่งและความซับซ้อน สำหรับชาวญี่ปุ่นดอกฮานะสึบากิเป็นสัญลักษณ์ของความศักดิ์สิทธิ์มายาวนาน และมีบทบาทสำคัญในพิธีกรรมตามประเพณีของเรามาเป็นเวลาหลายร้อยปี กว่าหนึ่งศตวรรษต่อมา ลวดลายของดอกฮานะศึบากึของชินโซยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไปมากนักถึงแม้จะมีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อย ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ถึงวิสัยทัศน์ทางศิลปะของเขาและเป็นสัญลักษณ์ของความมุ่งมั่นของเราต่อความงามเสมอมา

Source: Lofficiel, Shiseido

- Advertisement -