Interview by: Pacharee Klinchoo
Photography: Courtesy of Prime Video TH & Grammy RS Concert
ปฏิเสธไม่ได้เลยจริงๆ ว่าหายนะครั้งใหญ่ของมนุษยชาติอย่างการระบาดของไวรัสโคโรน่านั้นทำให้พฤติกรรมการบริโภคของทุกคนเปลี่ยนไปในช่วงเวลาหนึ่ง การมาถึงของสตรีมมิ่งนั้นเปลี่ยนพฤติกรรมการรับสารของผู้บริโภคไปแบบแทบจะเรียกกลับคืนไม่ได้ แต่ในขณะเดียวกัน การโหยหาการรวมกลุ่ม และแสงสีเสียงของผู้บริโภคเองก็ดูเหมือนจะเพิ่มมากขึ้นจากการล็อคดาวน์หลายปีที่แล้ว การหาสมดุลระหว่างความต้องการทั้งสองฝั่งของผู้บริโภคจึงเป็นเรื่องที่ท้าทายไม่น้อย ลอฟฟีเซียล ออมส์ ลงนั่งคุยกับป๋าเต็ด – ยุทธนา บุญอ้อม เจ้าพ่อวงการ show business ในประเทศไทยในงาน ‘แกะกล่องไทยบันเทิง’ ของ Prime Video TH ว่าด้วยเรื่องคอนเสิร์ต บัตรผี และการบันทึกความทรงจำแบบย้อนดูเวลาไหนก็ได้ในโลกยุคนี้

หลังจากเปิดประเทศมา ทิศทางและแนวทางของ show business ในประเทศไทยเป็นอย่างไรบ้าง จากสถิติของจริง และมุมมองของคุณในฐานะผู้คร่ำหวอดในวงการ
ก่อนอื่น… เราต้องยอมรับกันก่อนว่าโควิดมันสร้างผลกระทบมากกว่าที่คิด และส่วนของ show business คือได้รับผลกระทบแบบเต็มๆ เพราะธรรมชาติของธุรกิจนี้คือตรงกันข้ามกับมาตรการการรองรับโควิดทุกอย่างเลย ดังนั้น เมื่อโควิดหายไป ผลกระทบมันก็รุนแรงเช่นเดียวกัน ผมว่าผลกระทบนี้มันแบ่งเป็น… เอาคร่าวๆ ก็ 3 เฟส
เฟสแรกเกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว (ค.ศ. 2022) คือปีแรกที่เริ่มเปิดประเทศใหม่ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นคือผู้คนโหยหาการกลับมารวมตัวกันในงานอีเวนต์ที่ห่างหายไปสองปี การที่เขาไม่ได้ไปดูคอนเสิร์ต ไม่ได้ไปมิวสิคเฟสติวัลทำให้เขาคิดถึง เขาอยากไป และเขามีเงินเหลือด้วย หมายความว่า คนที่จะใช้เงินกับกิจกรรมแบบนี้ได้คือคนที่ยังพอจะจับจ่ายใช้สอยได้ และเขาไม่ได้เอาเงินไปจ่ายอะไรเลย ซื้อแต่ของออนไลน์มาสองปีเต็ม เงินส่วนที่เขาจะเอาไปใช้ท่องเที่ยวคือศูนย์บาท คิดดูนะว่าคนเรา ไม่ได้ไปเมืองนอก ไม่ได้ไปดูคอนเสิร์ตมาสองปีเต็มๆ เงินมันเหลือใช่ไหมฮะ สิ่งที่เกิดขึ้นในปีที่แล้วนี่เรียกว่า ใครเปิดก่อนได้เปรียบ คอนเสิร์ต sold out ทุกงาน เรียกได้ว่าความต้องการสูงกว่า supply แต่เฟสนี้มันจบไปแล้วครับ
เฟสสองคือสถานการณ์ในปีนี้ (ค.ศ. 2023) ซึ่งผลประกอบการจากเฟสหนึ่งทำให้คนในวงการนี้รู้สึกว่าเรากลับมากันได้จริงๆ แล้วนะ เพราะเห็นผลที่เกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปีที่แล้วว่าวงการ show business มันดีมากจริงๆ ปีนี้ก็เลยเกิดปรากฏการณ์ over supply อย่างรุนแรง ซึ่งบริษัทที่เป็นผู้เล่นตัวใหญ๋ในวงการ show business อย่าง GMM Grammy ก็จัดเต็มมาเลย เฉพาะปีนี้เรามีงานทั้งหมด 20 งาน ส่วนเพื่อนร่วมวงการก็กลับมากันหมด คอนเสิร์ต Grammy RS ก็เกิดขึ้นได้เพราะเห็นว่ามีศักยภาพ แต่สถานการณ์ที่เจอก็คือ ทุกคนเห็นศักยภาพ เลยเข้ามาในตลาดกันเต็มไปหมด นี่ผมยังไม่พูดถึงกลุ่มผู้เล่นหน้าใหม่ที่บางครั้งก็ทำ passion project ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่น่ากลัว เพราะเป็นกลุ่มที่ไม่สนเรื่องธุรกิจ ขอแค่ให้โปรเจ็กต์เหล่านี้เกิดขึ้น เรียกได้ว่าพร้อมขาดทุน เลยทำให้ปีนี้เป็นปีที่ถือว่าสาหัส ถ้าไปถามผู้คนในวงการ ก็จะรู้ว่าบาดเจ็บกันไปเกือบครึ่งหนึ่ง เพราะไม่ใช่ทุกคนที่พร้อมจะพลาด

สิ่งที่เราเจอก็คือ ปีที่แล้วคนเอาเงินออกมาระบายเพราะเก็บกดมาสองปีเต็มๆ แต่ในปีนี้ที่ทุกอย่างเข้าสู่สภาวะปกติ ทุกคนก็เริ่มมีค่าใช้จ่าย ไปเที่ยวเมืองนอกได้ มันก็มีสิ่งที่เข้ามาแย่งเงินในกระเป๋าเราไปเรื่อยๆ ค่าครองชีพในประเทศไทยก็สูงขึ้นแบบที่เราไม่ค่อยรู้ตัว ดังนั้น เม็ดเงินที่คนจะนำมาลงที่ show business มันก็ถูกคัดกรองออกไปแล้วส่วนหนึ่ง ซึ่งสำหรับพวกเราที่เป็นผู้เล่นตัวใหญ่ในวงการนี้ เรารู้ว่ามันมีผลกระทบ แต่เราก็ยังมีที่ให้เติบโตได้อยู่ เพราะเรามีจำนวนที่มากพอ และมีทีมการตลาดที่แข็งแรงพอที่จะทำให้เราไปต่อได้ แต่ว่ายังมีผู้เล่นในตลาดอีกประมาณครึ่งวงการที่น่าจะเหนื่อย เพราะสถานการณ์มันกำลังจะเข้าไปสู่เฟสสามในปีหน้า (ค.ศ. 2024) นี้แล้วครับ
ซึ่งความจริงที่ผมเคยพูดไว้แล้วคือ ธุรกิจไซส์เอ็มจะอยู่ไม่ได้ หรืออยู่ยาก คนที่จะอยู่ต่อไปได้คือธุรกิจไซส์เอส และไซส์เอ็กซ์แอล ดังนั้น คนที่ทำสเกลกลางๆ จะเหนื่อยมาก ส่วนคนที่ทำงานสเกลใหญ่ก็จะใหญ่ไปเรื่อยๆ ยกตัวอย่างก็งาน Rolling Loud เทศกาลดนตรีระดับโลกที่เข้ามาในประเทศไทยเมื่อต้นปี ส่วนงานของเราอย่าง Big Mountain ก็ขยายไปเป็นหลักแสนคนแล้ว อะไรที่อยู่ตรงกลางก็จะเริ่มเหนื่อย หรือถ้ายกตัวอย่างงานอินดอร์ โปรเจ็กต์อย่าง Grammy RS ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าธีมงานต้องแข็งแรงเบอร์นั้น มันถึงดูดเงินในกระเป๋าผู้คนออกมาได้ หรือถ้าเป็นโปรเจ็กต์ไซส์เอสแบบเอ็กซ์คลูซีฟ หรืออินดี้สุดๆ ไปเลยแบบที่เข้าใจความต้องการของผู้คนกลุ่มย่อยแบบจริงๆ ก็จะรอด ดังนั้น สิ่งที่เราจะได้เห็นแน่ๆ ในปีหน้าก็คือเทศกาลดนตรีระดับอินเตอร์ทั้งแบรนด์ต่างประเทศอย่าง Rolling Loud หรือแบรนด์ของไทยที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ในอีกด้านหนึ่ง เราก็จะได้เห็นปาร์ตี้ลับ หรือคอนเสิร์ตลับแบบ exclusive สุดๆ ไปจัดในที่แปลกมากๆ อาจจะมีคนดูแค่ 100 คน บัตรราคาแพงมาก เข้าถึงได้ยากมาก สถานการณ์คงจะเป็นแบบนี้ล่ะครับ ดังนั้นผู้เล่นตัวใหญ่อย่าง GMM Grammy ก็ต้องมีพาร์ทเนอร์ขนาดใหญ่แบบที่เอา 1+1 ต้องเท่ากับสิบ ในขณะที่ผู้เล่นรายเล็กจะต้องมีความคิดสร้างสรรค์ จัดงานที่พิเศษมากๆ ต้องหาแง่มุมที่ผู้เล่นใหญ่ทำไม่ได้ หรือไม่ยอมเสียเวลาทำครับ


พอพูดถึงพาร์ทเนอร์ระดับสเกลนี้ เลยเลือกที่จะร่วมมือกับ Prime Video TH ใช่ไหม
ใช่ครับ Prime Video TH ก็เป็นหนึ่งในพาร์ทเนอร์ระดับโลกที่พอบวกกับเราแล้วจะทำให้เราทั้งสองเติบโตขึ้น เราต้องยอมรับว่าพฤติกรรมการรับสื่อของผู้บริโภคเปลี่ยนไป ดังนั้น media platform ในรูปแบบเดียวกับ Prime Video ก็มีอยู่มากมาย แต่ละแพลตฟอร์มก็มีกลยุทธ์แตกต่างกันไป ข้อดีของ GMM Grammy ก็คือเราเป็นเจ้าพ่อคอนเทนต์ในเรื่องบันเทิง ซึ่งก็ทำมา 40 ปีแล้ว สิ่งนี้เลยทำให้เราพร้อมที่จะหาแง่มุมที่จะร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ของเราในรูปแบบต่างๆ ได้ครับ
ยกตัวอย่างในกรณีของคอนเสิร์ต Grammy RS นี่ชัดเจนมากครับ โปรเจ็กต์นี้เป็นโปรเจ็กต์ใหญ่ของเรา และเราก็คิดว่าโปรเจ็กต์นี้น่าจะเหมาะกับพาร์ทเนอร์ที่พร้อมจะลองอะไรใหม่ๆ ไปด้วยกันกับเรา ซึ่งกรณีคอนเสิร์ต Grammy RS คือคอนเทนต์ยาว 5 ชั่วโมงเลยนะ ผมเลยรู้สึกว่ามันเหมาะที่จะไปอยู่บนแพลตฟอร์มที่พร้อมจะยืดหยุ่นเรื่องการใช้พื้นที่ในแพลตฟอร์มของเขาให้สอดคล้องกับลักษณะคอนเทนต์ของเราได้ ซึ่งผลตอบรับคือดีมากจริงๆ ครับ หนึ่งคอนเสิร์ตนี่เราแทบไม่ตัดออกเลยนะครับ ห้าชั่วโมงกว่าๆ ที่เรา launch ออกไปและติดเป็นอันดับสองของคอนเทนต์ที่คนอยากดูมากที่สุดบน Prime Video TH จนถึงตอนนี้ (วันสัมภาษณ์) คอนเสิร์ต GMM x RS : 90s Versary Concert ก็ยังติดอันดับ Top 10 อยู่เลย แปลว่าเป็นการจับคู่พาร์ทเนอร์ที่ได้ประโยชน์ร่วมกันจริงๆ ครับ


เห็นคุณพูดบ่อยๆ เรื่องประสบการณ์การดูคอนเสิร์ตออฟไลน์ คุณคิดเห็นยังไงกับการบันทึกคอนเสิร์ตในรูปแบบออนไลน์ลักษณะนี้
ในความที่เราเป็นคนทำอีเวนต์ เรามีความเชื่ออยู่แล้วว่าการดูอีเวนต์ต้องไปดูสดๆ เพราะมันมีอะไรหลายสิ่งหลายอย่างที่เราบันทึกลงวิดีโอไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการที่มีเพื่อนนั่งเฮอยู่ข้างๆ ไปด้วยกัน หรือการมองไปรอบๆ ตัวได้เห็นทุกคนร้องเพลงไปด้วยกัน อันนี้คนทำอีเวนต์อย่างเราก็รู้ว่ามันบันทึกไม่ได้ แต่ในขณะเดียวกัน เราก็รู้เช่นเดียวกันว่ามันมีอีกหลายสิ่งที่เราไม่สามารถทำให้มันเกิดขึ้นหน้างานได้ ถ้าคุณนั่งแถวหลังๆ คุณก็จะไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าใกล้ๆ ของศิลปินที่อยู่บนเวที ต่อให้จอจะใหญ่ขนาดไหน เราก็ไม่สามารถโคลสอัพหน้าศิลปินได้ตลอดเวลา หรือการที่คุณอยากจะกดดู กดฟังเพลงเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีก แม้ว่าคุณจะสามารถกดถ่ายเก็บไว้ดูเองได้ แต่คุณภาพของมือถือก็สู้คุณภาพกล้องระดับโปรฯ ที่เราบันทึกไม่ได้ ดังนั้น การที่ GMM Grammy มีมีเดียพาร์ทเนอร์เป็นแพลตฟอร์มที่แข็งแรงก็จะช่วยเรื่องนี้ได้ บวกกับเทคโนโลยีในยุคปัจจุบัน ที่ถ้าบ้านคุณมี home theatre ดีๆ บรรยากาศก็จะเริ่มใกล้เคียงการไปนั่งอยู่ที่เวนิวคอนเสิร์ตจริงๆ ดังนั้น มันเลยเกิดประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย ซึ่งแต่ก่อน ตัวผม หรือคนทำคอนเสิร์ตบางคนอาจจะคิดว่าทำแบบนี้ไม่ได้หรอก ถ้าเราทำคอนเสิร์ต และอีกไม่นานเอาไปออกอากาศทันที คนจะไม่ซื้อบัตร มันจะมีความกลัวว่าเดี๋ยวคนจะรอดูฟรี แต่ตอนนี้ ผมว่ามันไม่ใช่ชุดแนวความคิดนั้นอีกแล้ว คนที่อยากดูสด ยังไงเขาก็ไปดู และเขาจะรีบซื้อบัตรด้วย เพราะเขากลัวบัตรหมด โดยเฉพาะโปรเจ็กต์ใหญ่ๆ แบบนี้ ส่วนคนที่เลือกจะดูอยู่ที่บ้าน อาจจะไม่ใช่เพราะเขาไม่อยากเสียเงินไปดูคอนเสิร์ต แต่อาจจะเป็นเพราะว่าเขาอยู่ต่างประเทศ อยู่ต่างจังหวัด หรือไม่ว่างในวันที่จัดคอนเสิร์ตพอดี แพลตฟอร์มออนไลน์แบบนี้เลยตอบโจทย์ของทุกคนได้ นี่เป็นมุมคิดแบบโลกยุคปัจจุบันมากกว่ามุมคิดแบบที่ผมเล่าให้ฟังไปนะครับ
เราขอถามความเห็นของคุณในฐานะคนในวงการ show business เรื่องดราม่าการขายบัตรที่เห็นอยู่เกลื่อนโซเชียลมีเดียในยุคนี้
ในมุมหนึ่ง ถ้าพูดถึงเรื่องการขายบัตร เราก็ต้องยอมรับว่ามันไม่เหมือนเมื่อก่อน ผมโตมาในยุคที่เวลามีคอนเสิร์ต ทุกคนจะนัดเจอกันที่ลานจอดรถเซ็นทรัลลาดพร้าว และไปต่อคิวซื้อบัตรได้ที่นั่นที่เดียว ปัญหาในตอนนั้นคือการจัดการยังไงให้คนเข้าคิวกันอย่างเป็นระเบียบ อากาศร้อนต้องทำยังไง และปัญหาเรื่องการซื้อบัตรทับซ้อน หรือแย่งกันระหว่างการซื้อออนไลน์และออฟไลน์ แต่ทุกวันนี้มันใช้วิธีนั้นไม่ได้แล้ว เพราะความสะดวกเป็นส่วนหนึ่งที่เราต้องนำเสนอให้ลูกค้าของเรา ซึ่งมันก็จะตามมาซึ่งคำถามว่ามีการกั๊กบัตรกันหรือเปล่า แต่ข้อเท็จจริงคือ ถ้าเน็ตคุณเร็วกว่ากันระดับ mili-second คุณก็ชนะแล้วล่ะ ไม่มีอะไรซับซ้อนเลย แค่นั้นจริงๆ
กับอีกปัญหาใหญ่ที่คุณพูดถึงคือการรีเซลส์บัตร มันมีคนที่ทำธุรกิจเรื่องนี้เลยนะ พวกเขาจะไปอยู่ในที่ที่อินเทอร์เน็ตเร็ว และหาพรรคพวกมาเยอะๆ โกยบัตรมารีเซลส์แพงๆ ปัญหานี้ ผมได้ไปร่วมสัมนาที่อเมริกามาเมื่อต้นปีว่าด้วยเรื่องคอนเสิร์ต มันเป็นปัญหาระดับโลกเลยนะครับ ที่อเมริกาเอง ตัวเลขของปีที่ผ่านมาบอกชัดเจนมาก ตัวเลขตลาดคอนเสิร์ตของเขาคือหนึ่งหมื่นล้านดอลลาร์ ส่วนมูลค่าของตลาดรีเซลส์ก็… เท่ากันเป๊ะเลยครับ แปลว่าคุณขายบัตรไปราคา 1,000 บาท มีคนเอาไปอัพราคาเป็น 2,000 บาท นั่นคือราคาเฉลี่ยที่บัตรแต่ละใบถูกอัพและมีคนซื้อทันที ดังนั้น เรื่องที่หารือกันวันนั้นคือเรื่องการป้องกันการรีเซลส์ หรือการจองปาดกัน หรือใช้บอตซื้อแทนมนุษย์โดยใช้แอพลิเคชั่นพิเศษที่เกือบจะเรียกว่าแฮ็คแล้ว หรือถ้าเราจะปล่อยให้มันเป็นเช่นนั้น เราจะทำยังไงให้รายได้จำนวนหมื่นล้านเหรียญที่เกิดขึ้นกลับมาสู่ศิลปินเจ้าของคอนเสิร์ต เพราะถ้าให้มองแบบตรงไปตรงมา มันมีคนพร้อมจ่ายเงินมูลค่าหนึ่งหมื่นล้านเหรียญตรงนั้นไม่ใช่เหรอ แต่ถ้าเราขึ้นราคาบัตรเป็น 2,000 เดี๋ยวก็เอาไปขายที่ 4,000 อีก ดังนั้น โจทย์คือจะทำยังไงให้เงินกลับมาที่ศิลปินหรือผู้จัดให้ได้ ก็คุยกันมาหลายแบบ ซึ่งตรงนี้ผมยังให้คำตอบคุณวันนี้ไม่ได้หรอก แต่คนในวงการทุกคนก็ยอมรับว่ามันเป็นปัญหาจริงๆ เราจะทำอย่างไรได้
ซึ่งสิ่งที่ GMM Show เริ่มทำแล้วก็คือ เราพยายามที่จะคุยกับพาร์ทเนอร์ให้เกิดระบบที่ตรวจสอบง่ายที่สุด สะดวกที่สุด ไม่ล่มในวันที่ซื้อ และพยายามตั้งราคาบัตรให้สมเหตุสมผล ล่าสุดเราก็ใช้ระบบเงินผ่อน ซึ่งจะช่วยให้คุณไม่สามารถเอาบัตรไปรีเซลส์ได้ เพราะคุณต้องใช้ชื่อคุณจ่ายเงินสามงวด นี่คือตัวอย่างความพยายามของเรา และเราก็ยังมี… อันนี้มันอาจจะดูเหมือนเล่นกลไปหน่อย แทนที่จะประกาศคอนเสิร์ตสามรอบทีเดียว เราก็จะใช้วิธีประกาศเอาทีละรอบ ให้คนทำธุรกิจรีเซลส์งงๆ หน่อยว่าจะทำยังไง เขาอาจจะซื้อรอบแรกตุนไว้เยอะ พอเปิดรอบสอง แฟนๆ ก็จะเทไปซื้อรอบสอง ทำให้บัตรที่ตุนไว้หวังจะเก็งกำไรขายไม่ได้ เราก็เลือกใช้แต่ละวิธีให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของแฟนๆ วงเขาน่ะครับ
คุณคิดว่าคุณจะสามารถพัฒนาความร่วมมือกับแพลตฟอร์มอย่าง Prime Video TH ไปได้จนถึงจุดไหน
ผมเชื่อว่าการร่วมมือกับ Prime Video TH ที่เป็นส่วนหนึ่งบริษัทใหญ่มากๆ อย่าง Amazon จะนำไปสู่เทคโนโลยีอะไรใหม่ๆ ที่อาจจะทำให้ประสบการณ์การดูคอนเสิร์ตที่บ้านมีฟังก์ชั่นอะไรบางอย่างที่พิเศษกว่าเดิม อย่างเรื่องง่ายๆ ที่มีอยู่แล้ว แต่จะสามารถเอามาใช้จริงได้เมื่อไหร่ก็เรื่องการเลือกมุมกล้องดูได้ตามใจ อะไรแบบนี้ หรือมันอาจจะมีเทคโนโลยีอะไรใหม่ๆ ออกมาอีกในอนาคตสำหรับการดูผ่านหน้าจอ มันก็จะทำให้เกิดประสบการณ์ที่พิเศษขึ้นมาได้ดี ฝั่งผมคือฝั่งทำคอนเทนต์ ก็รอเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ และเตรียมตัวปรับเนื้อหา ปรับวิธีการเสพคอนเทนต์ในมือให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น และในฐานะที่ผมเป็นสมาชิก Prime Video TH รุ่นแรกๆ ผมชอบที่แพลตฟอร์มนี้นำคอนเทนต์เก่าๆ ที่น่าสนใจกลับมาสตรีมอีกครั้งหนึ่ง ตัวเลือกของภาพยนตร์ในแพลตฟอร์มนี้น่าสนใจมากครับ มีหนังหลายเรื่องเลยที่มีแต่ที่แพลตฟอร์มนี้ แต่ไม่มีที่อื่น ซึ่งใน library ของ GMM Grammy เองก็มีคอนเสิร์ตอีกเยอะแยะ เก็บมาตั้งแต่ยุคแปดศูนย์ ดังนั้น อนาคตก็อาจจะเกิดอะไรขึ้นก็ได้นะครับ
สตรีมคอนเสิร์ต Grammy RS ทั้งสามรอบ (90’s Versary / 2K Celebration / HIT100) ได้แล้วที่ Prime Video TH