ร่วมขับขานบทเพลงแห่งการเริ่มต้นไปกับ The Hunger Games: The Ballad of Songbirds and Snakes ปฐมบทเกมล่าเกม

Share This Post

- Advertisement -

กลับมาจุดประกายไฟแห่งความหวังกันอีกครั้งกับภาพยนตร์แฟรนไชส์เกมนักล่า อย่าง The Hunger Games ที่เคยปิดไตรภาคไปอย่างสวยงาม การกลับมาครั้งนี้จะพาคุณย้อนกลับไปถึงช่วง 64 ปีก่อนเหตุการณ์ในภาพยนตร์ 4 ภาคก่อนหน้า หรือยุคที่เมืองแคปิตอลเพิ่งจะผ่านสงครามมา และกำลังเข้าสู่ยุคฟื้นฟูให้เศรษฐกิจของเมืองกลับมาอีกครั้ง

The Hunger Games: The Ballad of Songbirds & Snakes ได้ผู้กำกับอย่าง Francis Lawrence ที่กลับมากำกับอีกครั้งหลังจากเคยกำกับภาค Catching Fire และ Mockingjay – Part 1 และ 2 แถมยังได้ Michael Arndt มือเขียนบทภาคที่ดีที่สุดของจักรวาล The Hunger Games อย่าง Catching Fire กลับมาร่วมเขียนบทในภาคนี้อีกด้วย

ภาคนี้เป็นการเล่าเรื่องราวต้นกำเนิดของคอริโอลานุส สโนว์ รับบทโดยทอม บลายธ์ หรืออนาคตประธานาธิบดีสโนว์สุดชั่วร้ายที่ใครๆ ต่างก็เกลียด ในช่วงวัยหนุ่ม เขาต้องเข้าร่วมแข่งขันเกมล่าชีวิตในครั้งที่ 10 ฐานะพี่เลี้ยงของลูซี่ เกรย์ แบร์ดที่รับบทโดยเรเชล เซกเลอร์ เด็กสาวบรรณาการจากเขต 12 ผู้ที่รักในเสียงเพลง เธอเต็มไปด้วยบาดแผลในใจ แต่เธอมีความจริงใจกับทุกคน

คอริโอลานุส สโนว์ เป็นเด็กหนุ่มที่ดูฉลาด อ่อนโยน และมีศีลธรรมสูงส่ง เป็นเด็กนักเรียนจากแคปปิตอล อะคาเดมี่ โรงเรียนที่ชนชั้นนำของแคปิตอล ที่ควรจะได้รับตำแหน่ง Plinth Prize แต่แล้วก็มีการเปลี่ยนกฎเกณฑ์การมอบรางวัล โดยนักเรียนทุกคนจะต้องรับบทเป็นที่ปรึกษาให้เด็กบรรณาการเพื่ออบรมและช่วยเหลือ รวมถึงการสนับสนุนของผู้ชมที่จะกำหนดปัจจัยการเอาตัวรอด ซึ่งสามารถส่งไปผ่านโดรนของพี่เลี้ยงได้

ครอบครัวของสโนว์ ต้องตกอยู่ในความยากลำบากหลังจากการเสียชีวิตของพ่อเขาจากสงครามแคปิตอล ในฐานะผู้นำครอบครัว เขาต้องการเงินรางวัล Plinth Prize ของที่ปรึกษาที่ชนะเกมไปพร้อม เพื่อนำไปรักษาคุณย่า แสดงโดยฟิออนนูลา ฟลานาแกน และลูกพี่ลูกน้องของเขา ไทกริส แสดงโดยฮันเตอร์ เชเฟอร์ ที่จะมาเป็นสไตล์ลิสต์ในอนาคตของ Hunger Games 

การแข่งขันของเกมล่าเกมครั้งที่ 10 นี้กำหนดดูแลโดย ดร.โวลัมเนีย กอล นำแสดงโดย วิโอลา เดวิส อาจารย์ประจำสถาบันอะคาเดมี และหัวหน้าเกมเมกเกอร์ ในเกมล่าชีวิตครั้งนี้ ทุกคนต้องการให้เรียกให้ผู้คนกลับมานิยม The Hunger Games อีกครั้ง ดร.กอลจึงต้องคิดหาวิธีเพิ่มเดิมพันและเพิ่มการมีส่วนร่วมของพี่เลี้ยงลงไป

โดยมีคาสก้า ไฮบัตทอม แสดงโดยปีเตอร์ ดิงก์เลจ คณะบดีแห่งมหาวิทยาลัยแคปิตอล และผู้คิดค้นเกมล่าชีวิตที่ชี้ชะตาพาเน็ม ที่เป็นเพื่อนคนสนิทกับพ่อของสโนว์ และมีประเด็นบางอย่างที่ทำให้บาดหมางกัน

สำหรับภาคนี้ยังมีตัวละครที่น่าสนใจอีกมากมาย อย่างลักกี้ ฟลิกเกอร์แมน แสดงโดยเจสัน ชวาตซ์แมน พิธีกรประจำการแข่งขัน The Hunger Games คนแรกในประวัติศาสตร์ บรรพบุรุษของครอบครัว ซีซาร์ ฟลิคเกอร์แมนใน Hunger Games ที่ได้รับมอบหมายให้บรรยายเหตุการณ์การแข่งขันเกมล่าเกมให้แก่ผู้ชมทางบ้านได้ลุ้นและเชียร์บรรณาการจากเขตต่างๆ

และตัวละครอีกตัวซีเจนัส พลินท์ แสดงโดยจอช แอนเดรส ริเวรา ทายาทจากตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในแคปปิตอล และเป็นเพื่อนร่วมชั้นที่เห็นว่าสโนว์คือพันธมิตรของเขา ผู้ที่อยากเปลี่ยนแปลงแคปปิตอลและพาเน็มให้เท่าเทียมกัน 

ภาพยนตร์ถูกแบ่งออกเป็น 3 บท ได้แก่ The Mentor, The Prize และ The Peacekeeper ตัวบทนั้นจะไม่ค่อยเน้นฉากต่อสู้แบบกลาดิเอเตอร์เท่าภาคเก่า แต่จะมุ่งเน้นไปทางตัวละครอย่างสโนว์  และเราจะต้องมาลุ้นว่าเขาจะช่วยให้ลูซี่ เกรย์ ชนะในเกมล่าเกมครั้งนี้ได้หรือไม่ และความสัมพันธุ์ของทั้งคู่ที่ค่อยๆ พัฒนาระหว่างทำการแข่งขันเกม รวมถึงต้นเหตุก้าวข้ามไปสู่ด้านมืดของสโนว์

ไปร่วมกันหาคำตอบกันในภาพยนต์ The Hunger Games: The Ballad of Songbirds & Snakes มีความยาว 2 ชั่วโมง 36 นาที เริ่มฉายวันที่ 16 พฤจิกายน 2023 พร้อมกันทั่วประเทศ

เกร็ดน่าสนใจในภาพยนต์เรื่องนี้คือเพลง The Hanging Tree ที่แคตนิส เอเวอร์ดีน ขับร้องนั้นมีต้นกำเนิดมาจากลูซี เกรย์ แบร์ด โดยใน The Hunger Games: The Ballad of Songbirds & Snakes จะพาผู้ชมย้อนกลับไปถึงที่มาที่ไปของเพลงสำคัญเพลงนี้ และฉากที่ลูซี เกรย์โค้งคำนับหลังจากร้องเพลงที่งานเก็บเกี่ยว เช่นเดียวกันกับแคตนิส เอเวอร์ดีนทำหลังจากยิงธนูทะลุแอปเปิ้ลใน The Hunger Games ซึ่งมันเหมือนกับว่าการโค้งคำนับเป็นสัญลักษณ์อารยะขัดขืนที่ถูกส่งต่อรุ่นต่อรุ่น

- Advertisement -