พร้อมจะเดิมพันไปกับ ‘Coin Digger เกมสูญเหรียญ’ คอนเทนต์ไทยเรื่องแรกว่าด้วยเรื่องคริปโตเคอร์เรนซี่ด้วยกันไหม

Share This Post

- Advertisement -

Interview by: Pacharee Klinchoo

Photography: Courtesy of Prime Video TH

 บอกกันตรงๆ ว่าตอนที่สตรีมเมอร์อย่าง Prime Video TH ติดต่อมาด้วยเรื่อง ‘Coin Digger เกมสูญเหรียญ’ เรากวาดตามองรายชื่อนักแสดงนำที่เข้าร่วมสัมภาษณ์พลางคิดสะระตะถึงยอด engagement ที่เราจะได้รับหากรับสัมภาษณ์พวกเขา (แบงค์ – ธิติ มหาโยธารักษ์ / กัปตัน – ชลธร คงยิ่งยง / ญดา – นริลญา กุลมงคลเพชร) และเลยมาสะดุดที่ชื่อของท็อป – สุรพงษ์ เพลินแสง ในบทบาทผู้กำกับที่ก็มีชื่อเข้าร่วมสัมภาษณ์ให้เราเลือกได้เช่นกัน เรานั่งคิดทบทวนสู้กับตัวเองอยู่พักใหญ่ๆ คิดแล้วคิดอีกว่าเราควรจะเลือกหนทางไหนระหว่างการได้พูดคุยกับ ‘คนเบื้องหลัง’ ซีรีส์พล็อตแหวกขนาดนี้ กับเลือก ‘ยอด engagement’ ที่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันโคตรจะสำคัญในโลกยุคนี้ 

แต่ในที่สุด… สัญชาตญาณของเราก็ทำให้เราเลือกตอบตกลงสัมภาษณ์ผู้กำกับมากกว่านักแสดงนำทั้งเซ็ต (ที่เรามั่นใจว่าสามารถทำยอด engagement ให้กับเราได้อย่างแน่นอน) เพราะใจของเราอยากจะรู้เหลือเกินว่าอะไรดลใจให้เขาลงมือทำซีรีส์ว่าด้วยเรื่องราวที่เข้าใจยาก และอยู่นอกเหนือความสนใจของเราได้ขนาดนี้ แม้ว่าเราจะแอบเสียดายยอด engagement ที่ชัดเจนกว่าเห็นๆ มากแค่ไหนก็ตาม 

หนึ่งวันก่อนสัมภาษณ์ เราได้รับการยืนยันว่าคำถามที่เราเตรียมไว้ผ่านทั้งหมด และทางทีมสร้างจะอนุญาตให้เราได้พูดคุยกับอู๋ – ชยันต์ เล้ายอดตระกูล ผู้รับบท creator ของซีรีส์ชุดนี้เพิ่มขึ้นอีกคน บอกตรงๆ ว่าเราดีใจที่เราเลือกตอบรับการสัมภาษณ์ในครั้งนี้ และตลอดการสัมภาษณ์นี้ก็ทำให้เราเชื่อว่าเราเลือกตอบรับได้ถูกทางจริงๆ

Disclaimer: ซีรีส์เรื่องนี้ และบทสัมภาษณ์นี้มีส่วนคล้ายกันคือ ‘เราเดิมพันว่าจะมีผู้อ่าน/ผู้ชมสนใจที่จะเสพเนื้อหาที่เราสร้างสรรค์ขึ้นมาหรือไม่’ และเราดีใจที่เนื้อหาในเว็บออนไลน์ไม่ได้ถูกจำกัดจำนวนคำเท่ากับเนื้อหาในนิตยสารเล่ม ดังนั้น บทสัมภาษณ์นี้จึงเปิดเปลือยทุกเรื่องราวเบื้องหลังการสร้าง ‘Coin Digger เกมสูญเหรียญ’ ทั้งในแง่ความกล้า ความกลัว การลงเดิมพัน และสิ่งอื่นใด ซึ่งในตัวบทสัมภาษณ์เองก็เดิมพันเช่นกันว่าผู้อ่านจะ ‘เปิดโอกาส’ ให้กับบทสัมภาษณ์นี้ และให้กับซีรีส์ชุดนี้หรือไม่ 

เริ่มต้นด้วยคำถามง่ายๆ เลยว่าทำไมถึงเลือกเล่าเรื่อง crypto currency 

อู๋: มันเริ่มต้นจากการที่เราอยากจะเล่าเรื่อง white-collar crime ล่ะครับ และเรื่องแบบนี้ก็คือการหักเหลี่ยมเฉือนคมกันในแวดวงใดแวดวงหนึ่ง ผมเลยมาคิดว่าถ้าจะมาเล่าในยุคนี้ เราควรจะเล่าผ่านแวดวงไหน ยกประเด็นไหนขึ้นมาดี และตอนที่เริ่มทำโปรเจ็กต์นี้ เรื่องคริปโตเพิ่งจะเข้ามา ซึ่งตอนนั้นก็ไม่ได้บูมเหมือนช่วงสองปีที่แล้วหรอกนะครับ ผมรู้สึกว่ามันน่าสนใจด้วยตัวของมันเอง เพราะนอกจากมันจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเงินแล้ว มันยังเป็นตัวสร้างข้อขัดแย้ง และข้อถกเถียงอะไรหลายๆ อย่างทั้งในเรื่องระบอบการเงินของโลกใหม่ที่เชื่อว่าทุกคนจะมีอิสระด้านการเงินโดยปราศจากตัวกลาง มันเหมือนเป็นสงครามระหว่างระบบการเงินของโลกเก่ากับโลกใหม่ ซึ่งไม่มีใครรู้หรอกครับว่าปลายทางมันคืออะไร แต่ผมรู้สึกว่าตรงนี้มันมีเรื่องน่าสนใจในแง่ผลกระทบของมันที่มีต่อความเชื่อของเด็กรุ่นใหม่ๆ ตรงนี้มากกว่าครับ 

เห็นว่าซีรีส์เรื่องนี้เป็นผลงานกำกับซีรีส์เรื่องแรกของคุณท็อปเลย ทำไมคุณถึงเลือกเริ่มต้นอาชีพผู้กำกับซีรีส์ด้วยซีรีส์ที่ยากขนาดนี้

ท็อป: ผมสนใจโปรเจ็กต์นี้ เพราะอู๋กับทีมติดต่อมาว่ามันเป็นโปรเจ็กต์เกี่ยวกับ crypto currency นี่ล่ะครับ พอได้ยินว่าเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็รู้เลยว่ามันยากนะ ก็สงสัยไปก่อนเลยว่าเรื่องราวมันจะเป็นยังไง พอเขาส่งรายละเอียดมาให้ดู ก็เห็นว่ามันมีเรื่องของคริปโตเป็นตัวขับเคลื่อนให้ตัวละครประสบกับชะตากรรมอะไรก็แล้วแต่ พอผมอ่านผมก็ยิ่งรู้เลยว่ามันยากจริงๆ ด้วย แต่เพราะความยากนี่แหละ ทำให้ผมอยากทำโปรเจ็กต์นี้ พอทุกคนคิดว่ามันยาก ทุกคนก็จะถอยใช่ไหมฮะ แต่ในฐานะคนสร้างนะ… ถ้าเราได้มีโอกาสได้สร้างเรื่องนี้จริงๆ ผมคิดว่านี่เป็นโอกาสที่ดีที่ผมจะต้องเสี่ยงทำโปรเจ็กต์นี้แล้วแหละ ในเมื่อมันมีคนกล้าเสี่ยง กล้าปั้นโปรเจ็กต์นี้ขึ้นมาแล้ว หน้าที่ของผมคือดูความเป็นไปได้ที่จะทำให้มันกลายเป็นซีรีส์ที่เข้มข้นเหมือนกับภาพยนตร์ที่เราชอบมากๆ อย่าง The Wolf of Wall Street หรือซีรีส์เกี่ยวกับการเงินที่สนุกมากๆ ของต่างประเทศ มันจะมีโอกาสเป็นแบบนั้นไหม ถ้าผมได้ลงมือทำ นั่นคือเหตุผลจริงๆ ที่ผมอยากลองพัฒนาโปรเจ็กต์นี้ให้เป็นจริงให้ได้ครับ

และส่วนที่ผมสนใจมากๆ คือ ผมไม่ได้สนใจว่าคริปโตมันทำงานยังไง เพราะผมก็คุยกับอู๋อยู่เหมือนกันนะว่าซีรีส์ชุดนี้ต้องไม่ใช่สื่อประกอบการสอน crypto 101 เพราะถ้าเป็นแบบนั้น ผมก็ไม่ดูเหมือนกัน ใครจะมานั่งดูเรื่องคริปโตถ้าไม่อิน อันนี้ถูกต้องเลย สิ่งที่ผมสนใจคือ พอใช้คริปโตเป็นตัวดำเนินเรื่อง แน่นอนว่ามันอาจจะไม่แมสมาก แต่มันจะอยู่ในชีวิตประจำวันของเรา แม้ว่าเราไม่อยากจะได้ยินมันก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเราได้ยินว่าคนเจ๊งเพราะคริปโต คนรวยเพราะคริปโต มียูทูบเบอร์ถอยรถสปอร์ตราคาแพงเพราะคริปโต ผมว่ามันซึมเข้ามาในชีวิตของทุกคนแล้ว ไม่ช้าก็เร็ว ดังนั้น สิ่งที่ผมสนใจจริงๆ ก็คือการที่คริปโตมันประกาศตัวต่อโลกใบนี้อย่างใหญ่โตว่ามันจะล้มล้างระบบการเงินเก่าๆ มาแทนทุกสิ่งที่เราเคยเชื่อ ผมสนใจว่ามันจะเป็นยังไงถ้ามันจะต้องมาชนระบบไทยๆ ที่ค่อนข้างเหนียวแน่นมากๆ เราจะสร้างตัวละครจากเรื่องพวกนี้ ทำให้เห็นภาพความขัดแย้งเชิงโครงสร้างในสังคมไทยที่มันกระทำต่อคนตัวเล็กตัวน้อยที่แสวงหาโอกาสใหม่ๆ ว่าจะมีความเป็นไปได้สักแค่ไหน ประเทศไทย หรือแม้แต่โลกใบนี้ก็ตาม มันอนุญาตให้ความฝันชนิดใหม่เกิดขึ้นได้จริงๆ ไหม คนในโลกเก่าจะมีปฏิกิริยายังไงกับความฝันใหม่ที่ประกาศว่า ‘กูไม่เอามึงนะ และกูจะมาล้มมึงด้วย กูไม่สนมึงแล้ว’ 

ปรากฏว่าสิ่งที่น่าสนใจระหว่างที่เราพัฒนาโปรเจ็กต์ก็คือ การได้รับรู้ถึงความเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของโลกเก่า ที่วันหนึ่งบอกว่ายังไงก็ไม่เอาหรอก แต่อีกวันหนึ่งมาบอกว่า เอาหน่อยนึงก็ได้ พอวันถัดมาบอกว่า ไม่เอาแล้ว และลับหลังกองทุนของสถาบันการเงินของโลกเก่าที่บอกไม่เอา ก็ยังปันเงินไปลงทุนกับคริปโต ทำให้ผมยิ่งรู้สึกว่านี่แหละคือจุดที่น่าสนใจ ผมไม่ได้สนใจว่ามันให้คำตอบอะไรในทุกวันนี้ แต่ผมสนใจความเอา-ไม่เอานี่แหละ และบริบทของประเทศไทย เราน่าจะยิ่งอินนะ ถ้ามองว่านี่คือซีรีส์ว่าด้วยเรื่องอำนาจใหม่คัดง้างกับอำนาจเก่าที่ครอบคลุมทุกอย่าง อำนาจเก่าที่มีคนอยู่ 1% ของโลกใบนี้กับคนรุ่นใหม่ที่ยืนยันว่า ‘กูไม่เอาแบบนั้นแล้ว กูจะเอาทุกอย่างที่มึงมีมาจากมึง และกูจะสร้างตัวขึ้นมาใหม่โดยไม่ง้อมึง’ ผมสนใจประเด็นนี้ ซึ่งพอมันเป็นแบบนี้ มันทำให้ซีรีส์เรื่องนี้ไม่ใช่ซีรีส์ที่เกี่ยวกับการเงินแบบ 100% หรอกครับ มันคือซีรีส์ที่เล่าเรื่องราวความดราม่าของสังคมมนุษย์ ตัวละครก็แค่ใช้คริปโตในการสื่อสารว่าพวกเขาปะทะกันด้วยเรื่องพื้นฐานอย่างความรัก กิเลส ความโลภ และการแก้แค้น ทุกอย่างมันก็คือวิกฤติการโคตรคลาสสิกในชีวิตมนุษย์นี่ล่ะครับ

อู๋: ขอเสริมนิดนึงนะครับ จริงๆ มันย้อนกลับไปตอบคำถามแรกนะว่าทำไมผมถึงเลือกเล่าเรื่อง crypto currency เพราะมันคือการกระจายอำนาจ (decentralization) อย่างหนึ่งเหมือนกัน ผมคิดว่าถ้าจะมีสถานการณ์ประเทศไหนที่เหมาะจะเล่าเรื่องคริปโตในแง่มุมนี้ มันอาจจะเป็นประเทศของเราหรือเปล่านะ (หัวเราะ)

นี่ว่าจะแซวอยู่พอดีเลยว่ามั่นใจใช่ไหมว่าพูดเรื่อง crypto currency อยู่

ท็อป: ผมพูดเรื่องคริปโตจริงๆ นะ (หัวเราะ) หลายเหตุการณ์ที่เราพัฒนากันในซีรีส์เรื่องนี้ เราเขียนบทกันก่อนที่เหตุการณ์จริงๆ จะเกิดขึ้นในประเทศนี้ด้วยซ้ำ พอเหตุการณ์ต่างๆ มันเกิดขึ้นจริงตามที่เราคาดการณ์ไว้ พวกเราก็… เชี่ย… มันเกิดขึ้นจริงๆ ด้วยว่ะ มันแสดงให้เห็นเลยนะครับว่าสุดท้ายแล้ว มนุษย์มันก็เป็นอย่างนี้นั่นแหละ ก็เหมือนกับการเล่นหุ้น หุ้นกับกฎเกณฑ์ทุกอย่างมันก็อยู่ของมันอย่างนั้น สิ่งที่จะทำให้คุณรวยจนดีเลวคือใจของคุณทั้งนั้นแหละ ถ้าคุณอยากจะรวยทางลัด ใจคุณต้องเป็นอีกแบบหนึ่ง สุดท้ายผมรู้สึกว่า ไม่ว่าซีรีส์จะเล่าเรื่องนวัตกรรมอะไรบนโลกนี้ มันก็ไม่พ้นการเล่าเรื่องคลาสสิกอย่างเรื่องใจมนุษย์นั่นล่ะครับ 

แปลว่า ถ้าเราไม่ได้มีความรู้พื้นฐาน หรืออินกับเรื่อง crypto currency มาก่อนเลย เราจะสามารถทำความเข้าใจกับซีรีส์เรื่องนี้ และสนุกไปกับมันได้ ถูกต้องไหม

อู๋: ขอตอบว่าเรื่องนี้ดูไม่ยากนะครับ เพราะทุกคนคิดเรื่องนี้มาตั้งแต่แรกแล้วว่าถ้าจะเล่าเรื่อง crypto currency จะเล่ายังไงไม่ให้คนดู lost เนอะ ผมยกตัวอย่างละกัน หนังบางเรื่องอาจจะไม่ใช่วัฒนธรรมบ้านเรา อย่างเรื่อง Moneyball ที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับวงการการคัดตัวนักกีฬาอเมริกันฟุตบอล หรือเร็วๆ นี้ก็ซีรีส์เกาหลีเรื่อง Hot Stove League ที่เล่าเรื่องเกี่ยวกับผู้จัดการทีมเบสบอลอาชีพของประเทศเกาหลี ซึ่งกีฬาทั้งสองอย่างไม่ได้อยู่ในความสนใจของคนไทยเลย แต่เราก็สามารถเอ็นจอยกับมันได้ และ Hot Stove League เองก็ค่อนข้างมีชื่อเสียงในประเทศไทยพอสมควรเลยครับ ผมก็เลยรู้สึกว่าเราน่าจะหาวิธีการเล่าเรื่องให้คนเอ็นจอยกับเนื้อเรื่องได้โดยไม่จำเป็นต้องเข้าใจ crypto currency เต็มร้อยได้น่ะครับ 

การทำคอนเทนต์ลงแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งที่ฐานคนดูกระจายถึง 240 ประเทศทั่วโลกแบบนี้ กดดันมากหรือน้อยกว่าการทำคอนเทนต์ในยุคก่อนที่โลกจะเชื่อมถึงกันขนาดนี้

ท็อป: ถ้าถามผมนะ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมคิดถึงน้อยที่สุดเลยครับ ผมไม่ได้คิดว่ามันจะไปไกลขนาดไหนตอนเริ่มทำโปรเจ็กต์นี้ เพราะพวกเราทำเพื่อให้คนไทยดูจริงๆ หลายๆ อย่างที่เราหยิบยกขึ้นมา ทั้งในแง่ไอเดีย และเหตุการณ์ต่างๆ ที่เราจะยกมาปรับใช้ในซีรีส์ หรือแม้แต่ตัวบุคคลที่เราจะนำมาใช้เป็นต้นแบบตัวละครก็จะนำมาจากคนไทยเป็นหลัก ทุกอย่างมาจากความไทยทั้งหมด เพราะพวกเราต้องเข้าใจบริบทให้ได้ก่อน ถึงจะสร้างเรื่องขึ้นมาได้ เราไม่เคยคิดเลยว่ามันจะถูกนำไปฉายที่ประเทศไหน แต่สุดท้ายแล้ว ด้วยภาษาการเล่าเรื่อง มันก็เป็นสากลด้วยตัวมันเอง และไอเดียทุกอย่างมันก็ค่อนข้างสากล เพราะมันเล่าเรื่องมนุษย์ ถ้ามันมีโอกาสไปได้ไกลกว่าประเทศไทย ผมก็เชื่อว่าคนดูจะเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในเรื่องได้ครับ 

เท่าที่เห็นทีเซอร์ ซีรีส์เรื่องนี้ดูเข้าข่ายทริลเลอร์ หักเหลี่ยมเฉือนคมกันพอสมควร บรรยากาศมวลรวมในการถ่ายทำนี่เครียดเท่าบรรยากาศที่เราได้เห็นในทีเซอร์ไหม

ท็อป: มีคนถามบ่อยๆ นะครับว่าทำซีรีส์เครียดๆ นี่เครียดไปด้วยไหม จริงๆ แล้วสำหรับผมเองนะ ผมคิดว่าการออกไปถ่ายทำอะไรสักอย่าง มันเครียดด้วยตัวมันอยู่แล้วครับ เพราะมันเจอปัญหาเดิมๆ เปลี่ยนแค่เรื่องที่เราต้องจัดการ มันคือไอ้นั่นไม่ได้ ไอ้นี่ไม่ได้ นักแสดงอย่างนั้นอย่างนี้ จังหวะไม่ได้ ฝนตกฟ้าร้อง ต่างๆ มันเป็นเรื่องที่ต้องเจอ ถ้าถามว่าเนื้อหาทำให้กองเครียดมั้ย ตอบเลยครับว่าไม่ได้เครียด แต่เราเครียดที่ต้องทำงานแข่งกับปัจจัยหลายๆ อย่าง และเจอเหตุการณ์ที่ควบคุมไม่ได้ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ อย่างน้ำขึ้นน้ำลง อะไรอย่างนี้มากกว่าครับ 

การทำงานในฐานะผู้กำกับ คิดว่ากระบวนการที่ยากที่สุดคืออะไร

ท็อป: การทำให้ทุกคนเห็นภาพใกล้เคียงกับภาพที่ผมเห็นมากที่สุดครับ (ตอบทันที) มันเลยกินไปในทุกกระบวนการเลยครับ เพราะผู้กำกับต้องพยายามสื่อสารให้ได้ว่านี่คือสิ่งที่เราอยากเห็นในซีรีส์ นี่คือทิศทางที่อยากให้ไป ทำไมสิ่งนี้ถึงใช่ แต่สิ่งนั้นถึงไม่ใช่ ทำไมต้องหลายเทค ทำไมไม่ได้ ทำไม และทำไม ผู้กำกับต้องอธิบายให้ได้ว่าทุกอย่างมีเหตุผลของมันอยู่ ซึ่งแน่นอนว่าทุกคนไม่ได้เห็นตรงกันขนาดนั้น หน้าที่ผู้กำกับจึงมีหน้าที่เดียวเลยครับ คือพยายามทำให้ทุกส่วนที่ตัวเองไปแตะให้เป็นภาพเดียวกับที่ตัวเองคิดให้ได้มากที่สุด ซึ่งก็ไม่มีทางทำได้ทั้งหมดหรอกครับ สารภาพเลย 

ในกระบวนการทำงานทั้งหมด ตั้งแต่เริ่มพัฒนาโปรเจ็กต์ มาจนถึงวันที่ซีรีส์ใกล้ออนมากๆ แล้วขนาดนี้ (บทสัมภาษณ์นี้เกิดขึ้นไม่นานก่อนซีรีส์ออกฉายอย่างเป็นทางการ) คุณคิดว่าคุณชอบกระบวนการไหนมากที่สุด

อู๋: จริงๆ แล้วผมเกี่ยวข้องกับซีรีส์นี้จนถึงช่วงเขียนบทเสร็จ และส่งให้พี่ท็อปไปถ่าย และกลับมามีบทบาทอีกครั้งตอนช่วงโพสต์โปรดักชั่นครับ ซึ่งผมรู้สึกว่าผมสนุกกับการทำโพสต์โปรดักชั่นอยู่เหมือนกันนะ คืออาจจะเพราะผมอยู่กับมันมานาน ตั้งแต่มันยังเป็นแค่ไอเดีย พอเห็นมันเป็นภาพแล้ว เห็นแล้วว่าพี่ท็อปอยากจะเล่าเรื่องยังไง ได้มีการแชร์ไอเดียกันว่าอยากจะเล่าเรื่องแบบไหนให้คนดูรู้สึกสนุกมากที่สุด ผมเลยชอบกระบวนการนี้มากที่สุดนะครับ

แล้วในวันที่มันใกล้จะออกขนาดนี้แล้ว รู้สึกยังไง

ท็อป: ผมก็ลุ้นนะ แต่ผมไม่ได้ไปคาดหวังว่าทุกคนจะต้องชอบมันหรอก พวกเราเดิมพันของพวกเราไว้แล้ว ทุกคนรู้ดีว่ามันมีแต้มที่ต้องเดิมพันไว้ แค่คิดว่าจะมีคนดูไหมมันก็คือการเดิมพันแล้วครับ แต่อย่างที่ผมพูดไปนั่นล่ะครับ ถ้าไม่เดิมพันตอนนี้ ผมอาจจะเสียโอกาสไปตลอดกาลเลยก็ได้ เวลาเปลี่ยน โจทย์ก็เปลี่ยนตาม นายทุนก็เปลี่ยนใจ แต่เราได้เดิมพันกันไปหมดแล้ว สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือรอดูว่าผลของการเดิมพันครั้งนี้จะออกมาเป็นยังไง และก็ต้องรับมันให้ได้ จัดการกับตัวเองให้ได้ ไม่ว่ามันจะออกมาดีหรือร้าย มันคือธรรมชาติของอาชีพนี้ครับ คุณต้องจัดการกับผลลัพธ์ของมันให้ได้

อู๋: วันแรกก็จะตื่นเต้นกับพวก feedback น่ะครับ ยิ่งพอเราเล่าเรื่องยากขนาดนี้ด้วยนะ และในระหว่างที่เราพัฒนาโปรเจ็กต์นี้กันอยู่ เราก็ได้ยินว่ามีค่ายโน้นค่ายนี้อยากจะทำเรื่องนี้ แต่พอเราทำเสร็จเป็นคนแรก มาถึงหมุดหมายคนแรก ก็คงจะมีคนรอดูอยู่ว่ามันจะออกมาเป็นรูปแบบไหนล่ะครับ 

เคลมได้เลยไหมว่านี่คือซีรีส์ที่เล่าเรื่อง crypto currency เรื่องแรกของประเทศไทย

ท็อป: เรื่องอื่นอาจจะมีแตะๆ อยู่บ้างนะครับ แต่ถ้าเอา crypto currency มาเป็นตัวขับเคลื่อนพล็อตเลยนี่ไม่มีแน่นอนครับ

อู๋: ก็อย่างที่รู้กันว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องยาก ดังนั้น ผมรู้เลยว่าระยะเวลาในการสร้างมันจะกินเวลานาน และในระหว่างทาง เราก็ไม่รู้หรอกว่าสถานการณ์ หรือเทรนด์เรื่องนี้มันจะเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาขนาดไหน มันจะบูมเหมือนเมื่อสองปีที่แล้วอยู่มั้ย ซึ่งเราก็ได้คิดเผื่อไว้แล้วครับว่าเราจะเล่าเรื่องยังไงให้มันไร้กาลเวลา เหมือนกับว่าเราจะทำหนังเกี่ยวกับวิกฤติต้มยำกุ้งที่เกิดขึ้นในพ.ศ. 2540 อะไรแบบนี้ มันคือการบันทึกหน้าประวัติศาสตร์บางสิ่งไว้ ไม่ใช่การทำหนังเพื่ออ้างอิงเทรนด์ในช่วงเวลานั้นๆ นี่อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่เหลือเรารอดมาอยู่ตรงนี้ก็ได้นะครับ

ขอคำตอบแบบไม่โลกสวยนะ ทำไมเราถึงควรจะเลือกดูเรื่องนี้ คนเรามันจะให้โอกาสซีรีส์กันที่กี่ตอนนะ สามได้ไหม

ท็อป: อาจจะสั้นกว่านั้นอีกนะ (หัวเราะ)

อู๋: ถ้าคนดูจะให้โอกาสซีรีส์เรื่องหนึ่งจริงๆ ก็คงจะเป็นสามตอนแรกนี่ล่ะครับ แต่ส่วนตัวผมว่าโลกมันหมุนเร็วขึ้นเรื่อยๆ บางที่ที่ผมไปคุยด้วย เขาให้โอกาสแค่สิบนาทีแรกเท่านั้นเองนะครับ มันไวมากจริงๆ และมันก็โหดร้ายกับคนทำนะ เราแทบจะไม่มีที่ทางให้หนังหรือซีรีส์ที่ค่อยๆ เล่าเลย 

ท็อป: คำถามนี้เป็นคำถามที่ผมไม่รู้จะตอบยังไงดีเหมือนกันนะ แต่ถ้าถามผม ผมขอตอบแบบซื่อสัตย์เลยว่าผมใช้เกณฑ์ตัวเอง คือผมจะให้โอกาสคนที่เปิดโปรเจ็กต์ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนเสมอ สมมติว่ามีหนังผีที่เล่าเรื่องแหวกออกมาจากคนอื่น ผมจะให้โอกาสคนที่แหวกออกมาเหมือนกับที่คุณให้โอกาสซีรีส์สามตอนนี่ล่ะครับ ผมจะมีช่วงเวลาของผมอยู่ ถ้าผมรู้สึกว่าผมไปกับเรื่องราวได้ ผมก็จะไปเรื่อยๆ พอถึงตอนจบผมจะแฮ้ปปี้เท่าไหร่ อันนั้นเป็นสิทธิของผมแล้ว ผมแค่รู้สึกว่า บนโลกที่อู๋บอกว่ามันเร็วขนาดนี้ และทุกคนก็มีเวลาน้อยมากเมื่อเทียบกับ wait list ที่รอดูยู่ มันยากมากที่คุณจะเปิดโอกาสให้คอนเทนต์ไทยที่แหวกขนาดนี้ ผมเข้าใจทุกปัจจัยเลยครับ แต่ถ้าผมจะให้โอกาสใครสักคน ผมจะให้โอกาสเรื่องที่กล้า เรื่องที่แหวกขึ้นมา ดีหรือไม่ดีค่อยว่ากัน เพราะสิทธิในการชอบไม่ชอบ ในการวิจารณ์คือสิทธิของคนดูอยู่แล้ว แต่คำถามคือ ‘ทำไมพี่ถึงต้องเปิดดู’ ผมว่าตอบยาก แต่ถ้าผมจะเปิดดู ก็คือผมรู้สึกว่าผมกำลังให้โอกาสคนที่กล้าเดินในทางที่คนอื่นยังไม่ได้เดิน อย่างน้อยผมก็รู้สึกว่าเขาเดิมพันมาแล้วระดับหนึ่ง ให้โอกาสเขาหน่อย เท่านั้นเองจริงๆ ครับ เพราะการให้โอกาสอะไรมันขึ้นอยู่กับว่าเราจะยอมเสียเวลาในชีวิตขนาดไหนจริงๆ 

นอกจากเวลาแล้ว มันยังเกี่ยวกับเรื่องหัวข้อที่เราสนใจด้วยนะ อย่าลืม

ท็อป: หัวข้อนี่มันอยู่ในส่วนที่เราวางเดิมพันกันไปน่ะครับ พวกเรารู้อยู่แล้วว่าเราวางเดิมพันไปในวงการที่สุ่มเสี่ยงค่อนข้างมาก หนังเกี่ยวกับแวดวงการเงิน ต่อให้กวาดรางวัลออสการ์มามากขนาดไหนก็ไม่ใช่หนังที่ทำเงินได้ดีเท่าไหร่ มันก็เลือกคนดูของมันในระดับหนึ่ง ผมก็คุยกับอู๋นะว่าเลือกมาแล้วใช่ไหม เพราะถ้าเลือกผม ผมจะพัฒนาให้มันเข้มข้นสุดๆ ไปเลยนะ เพราะถ้าเรื่องเบากว่านี้ ก็อย่าทำเลย ไหนๆ ก็มีโอกาสได้เดิมพันกันหนักขนาดนี้แล้ว ก็เทหมดหน้าตักไปเลย เพราะฉะนั้น คำตอบของผมคือผมรู้ว่าซีรีส์เรื่องนี้อาจจะอยู่ใน wait list ลำดับท้ายๆ แต่ผมก็ขอโอกาสให้ทุกคนเปิดใจนิดหน่อย ถ้าได้โอกาสถึงสามตอนจะดีใจ และขอบคุณทุกคนมากเลยครับ 

อู๋: บางทีคำว่า crypto currency มันอาจจะเป็นข้อดีก็ได้นะ เพราะมันต่างจากเรื่องอื่นบนชั้นไปเลยไง พอเปิดสตรีมมิ่งขึ้นมาก็จะเห็นอะไรต่อมิอะไรเต็มไปหมดเลย ความแตกต่างนี้อาจจะเป็นจุดแรก หรือเป็นแต้มต่อในการดึงดูดสายตาให้คนมามองเรา เราบังคับให้เขาเลือกไม่ได้ แต่เราก็ทำได้จนถึงจุดนี้นั่นล่ะครับ 

บทสัมภาษณ์นี้ก็มาส่งคุณได้ถึงแค่ตรงนี้เท่านั้น เราเองก็ลงเดิมพันไปกับบทสัมภาษณ์ว่าด้วยความรู้สึกนึกคิดของคนเบื้องหลังมากกว่านักแสดงเบื้องหน้า ถ้าคุณอ่านบทสัมภาษณ์ของพวกเขามาถึงตรงนี้ได้ เราดีใจ และเราเชื่อว่าพวกเขาจะดีใจมากอย่างแน่นอน ถ้าคุณจะเปิดใจให้กับ ‘Coin Digger เกมสูญเหรียญ’ หนึ่งในคอนเทนต์จากโปรเจ็กต์ ‘แกะกล่องไทยบันเทิง’ ทาง Prime Video TH 

- Advertisement -