การต่อสู้ระหว่างผู้บริโภคและผู้ค้าปลีกกลับมาแล้วในช่วง Black Friday เดือนพฤศจิกายนและธันวาคมของทุกปี Black Friday นั้นคือสวรรค์ของนักชอปที่จะมีขึ้นทุกๆปีหลัง “วันขอบคุณพระเจ้า” ซึ่งต้องเป็นวันพฤหัสบดีในสัปดาห์ที่ 4 ของพฤศจิกายน ดังนั้น Black Friday จึงต้องเป็นวันศุกร์ในสัปดาห์ที่ 4 ของทุกปีนั่นเองครับ โดยเทศกาลนี้เริ่มมีมาตั้งแต่ปี 1952 เลยทีเดียว จึงทำให้หลายๆธุรกิจกอบโกยเงินจากตรงนีได้มหาศาลเลยทีเดียว
ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมาขาช้อปทั้งหลายมักจะรอช่วงนี้เสมอๆเนื่องจากได้ส่วนลดที่มากกว่าปกติ กลับกันในปัจจุบันนั้นนักช้อปนั้นทุกๆปีก็หวังจะได้ส่วนลดที่มากขึ้นไปอีกและการตามล่าหาของขวัญต่างๆ แต่ผู้ค้าปลีกนั้นต้องการคงราคาไว้ไม่ให้ต่ำเกินไปหรือไม่ต้องการลดราคาเกิน 30%
โดยบริษัทยักษ์ใหญ่ตั้งแต่ LVMH ไปจนถึง Walmart มีแนวโน้มที่จะพ่ายแพ้กับการชะลอตัวของการใช้จ่าย โดย The National Retail Federation คาดการณ์ไว้ว่ายอดขายช่วงวันหยุดนั้นเปอร์เซนยอดขายนั้นจะเพิ่มขึ้นประมาณ 3-4 เปอร์เซนต์ ซึ่งเป็นอัตรปานกลางที่เกี่ยวกับ “การชอปปิ้งเพื่อแก้แค้น” (ลูกค้าที่เก็บกดจากการล็อคดาวน์ลูกค้าจึงแก้แค้นความขาดแคลนที่สั่งสมมายาว ด้วยการจับจ่ายซื้อของฟุ่มเฟือยเพื่อชดเชย “การขาดความหรูหรา” ที่พวกเขาประสบ ดังนั้นแบรนด์หรูส่วนมาก จึงเป็นผู้รับผลประโยชน์มหาศาลจากพฤติกรรมการใช้จ่ายแบบใหม่หลังการแพร่ระบาดในยุคโควิด (แม้ปี 2565 ยอดขายในช่วงวันหยุดก็เพิ่มขึ้น 5.4 เปอร์เซ็นต์ ในยุคก่อนโควิดต้องย้อนกลับไปปี 2548 ถึงจะเห็นการเติบโตสูงกว่านั้น)
จนถึงขณะนี้ผู้ค้าปลีกค่อนข้างจำกัดการให้ส่วนลด ซึ่งทาง WalletHub ได้ทำการ สำรวจร้านค้าปลีกรายใหญ่ถึง 13 แห่ง และพบว่ามีสินค้าเครื่องแต่งกายลดราคาลงถึง 15.7 เปอร์เซ็นต์เทียบกับ 21.1 เปอร์เซ็นต์ในปีที่แล้ว โดยส่วนลดเฉลี่ยสำหรับสินค้าทั้งหมดอยู่ที่ 35 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับ 37.2 เปอร์เซ็นต์ในปี 2565 แล้วคุณคิดอย่างไรกับ Black Friday ในปีนี้ครับ?