Photographer: Wasu Sukatocharoenkul
Fashion Editor: Chanond Mingmit
Author: Pacharee Klinchoo


เสื้อกล้ามสวมทับด้วยโค้ตปักเลื่อมผ้าแจ็คการ์ดและกางเกงลาย dancing rave รองเท้าผ้าใบรุ่น LV Discovery Lace Up ทั้งหมดจาก Louis Vuitton





ผมรู้สึกว่าผมโตขึ้นไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะตัวผมในเวอร์ชั่นปัจจุบันน่าจะโตที่สุดแล้ว เพราะนี่คือจุดเปลี่ยนใหญ่ที่สุดในชีวิตของผม เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่ผมทำงานเป็นฟรีแลนซ์ดูแลตัวเอง
ลอฟฟีเซียล ออมส์ ไทยแลนด์ ได้มีโอกาสลงนั่งคุยกับต่อ – ธนภพ ลีรัตนขจร ในระหว่างการถ่ายแฟชั่นเซ็ตไม่ต่ำกว่าสามครั้ง เราเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าเราจะมีเรื่องอะไรคุยกับเขาได้อีก ครั้งนี้ เราเลยเปิดบทสนทนาด้วยอะไรง่ายๆ ว่า ‘เป็นอย่างไรบ้าง เจอกันหลายครั้งแล้ว มีอะไรอยากจะพูดไหม’
“ผมว่าสิ่งที่เหมือนเดิมทุกครั้งเลยก็คือ ผมว่าผมไม่ใช่คนเดิมแล้วนะ” ต่อเปิดบทสนทนากับเราด้วยทีท่าเป็นกันเอง ท่าทางสบายๆ แบบที่เราจำได้ “ผมรู้สึกว่าผมโตขึ้นไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะตัวผมในเวอร์ชั่นปัจจุบันน่าจะโตที่สุดแล้ว เพราะนี่คือจุดเปลี่ยนใหญ่ที่สุดในชีวิตของผม เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่ผมทำงานเป็นฟรีแลนซ์ดูแลตัวเอง”
เอาเข้าจริง… ก็ผ่านไปสักพักแล้วหลังจากที่บริษัทนาดาวปิดตัวลงไปนะ “แต่ผมรู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองเป็นเวอร์ชั่นใหม่ เพราะมันเป็นจุดที่ผมรู้สึกมั่นคงขึ้นกับการเปลี่ยนแปลงที่ผ่านมา ตอนนี้รู้สึกว่าผมเป็นผู้เป็นคนกับตัวเองในเวอร์ชั่นนี้ได้ดีแล้ว ผมรู้สึกผ่อนคลายกับอะไรต่างๆ มากขึ้น พร้อมตื่นมาแก้ปัญหามากขึ้น คงเพราะผมเริ่มเข้าใจว่าชีวิตคนเราก็คือการตื่นขึ้นมาเพื่อเจอปัญหานี่ล่ะครับ เราตื่นมาเพื่อแก้ปัญหา ไม่ใช่ไปเครียดกับมัน เท่านั้นเอง
“ผมว่าในฐานะนักแสดงฟรีแลนซ์ มันมีโอกาสมากขึ้น แต่ก็เลือกได้น้อยลงนะ” เขายังคงพูดด้วยอาการผ่อนคลายเมื่อเราถามถึงสถานการณ์ของอาชีพเขาในเวอร์ชั่นใหม่นี้ “เพราะผมว่าในยุคนี้ ทุกอย่างเริ่มกลับเข้าสู่ความเป็นค่าย เป็นบ้านอีกครั้ง พอผมไม่ได้มีสังกัดจริงจัง ผมก็มีตัวเลือกมากมายเลย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมเลือกได้จริงๆ อันนี้ผมพูดในแง่ความเป็นจริงนะ ไม่ได้อยากจะโลกสวยอะไรน่ะครับ” แล้วถ้าสถานการณ์เป็นแบบนี้ ต่อเห็นอนาคตของตัวเองในวงการบันเทิงเป็นอย่างไรล่ะ “ณ ตอนนี้ มันมีแสงแห่งความหวังอยู่” เขาตอบยิ้มๆ “แต่พอมันเป็นแสงน่ะ ไม่มีใครรู้ระยะของมัน ถ้าถามผมว่าผมเห็นไหม ผมเห็นนะ แต่ไม่มีใครบอกได้หรอกว่าผมจะคว้าถึงหรือเปล่า”
เรากับเขานิ่งไปสักพัก ก่อนเขาจะกลับมายิ้มอีกครั้ง “เห็นมะ… ผมเริ่มเห็นเป็นกลางๆ มากขึ้น แบบเริ่มอยู่กับความเป็นจริงมากขึ้นแล้ว มันไม่ใช่ว่าผมหยุดตะบี้ตะบันนะ… ยังไงดี” เขานิ่งคิดไปสักพัก “ผมหยุดตะบี้ตะบันในแง่ของวิธีคิด แต่วิธีการของผมนี่เหยียบมิดกว่าเดิมอีก ผมเรียนรู้ที่จะมองอะไรๆ ระหว่างทางมากขึ้น เมื่อก่อนผมจะมองแต่เป้าหมาย แล้วก็พุ่งไปแบบไม่มองอะไรทั้งสิ้น ตอนนี้ผมก็ยังพุ่งอยู่นะ แต่สนใจรอบข้างมากขึ้น เพราะผมรู้สึกว่าช่วงเวลาต่างๆ ก็สำคัญนะ” ยินดีด้วยนะที่คิดได้ เขายิ้ม “อาจจะด้วยช่วงวัยด้วยมั้งครับ ปีนี้เป็นปีสุดท้ายแล้วที่อายุเลขสอง ปีหน้าผมก็สามสิบแล้ว ผมเริ่มมองอนาคตจริงจังมากขึ้น เริ่มถามตัวเองบ่อยๆ ว่า เฮ้ยต่อ… จะเอายังไงกับชีวิต อยากมีชีวิตแบบไหน แล้วจะทำยังไงถ้าอยากมีชีวิตแบบนั้น”
ถามบ่อยๆ แล้วได้รับคำตอบไหม “ก็ได้นะ” เขาตอบทันทีแบบไม่คิด “สุดท้ายแล้วก็คงหนีไม่พ้นคำว่า ‘ครอบครัว’ หรอก คือผมเป็นคนที่อยากมีครอบครัวในอุดมคติแบบตัวเอง ไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร เพราะผมเชื่อว่าครอบครัวในฝันของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน เราอาจจะมีแบบอย่างจากรุ่นพี่ที่เราเจอแล้วรู้สึกว่าความสัมพันธ์แบบนี้มันดีจัง และเราก็เก็บส่วนที่เราชอบมาประกอบเป็นฝันของเราครับ”
ใกล้สามสิบแบบนี้ ต่อมองตัวเองในฐานะ… “มนุษย์คนหนึ่งครับ” ต่อตอบทันทีแบบไม่คิด อีกครั้งที่เราอมยิ้มกับคำตอบของเขา แล้วต่อในฐานะมนุษย์คนหนึ่งกับต่อในฐานะนักแสดง อนาคตมันไปด้วยกันได้ไหม “ตอนนี้มันอยู่ในจุดเส้นขนานที่วันหนึ่งมันต้องมาบรรจบกันน่ะครับ” ต่อยังคงตอบเราด้วยน้ำเสียงสบายๆ “ผมชัดเจนว่าวันหนึ่งมันต้องมาชนกันแน่ๆ แค่ไม่ใช่วันนี้เท่านั้น วันนี้มันยังเป็นเส้นขนานกันอยู่ เพราะอาชีพที่ผมทำมันกำลังพาผมไปถึงจุดนั้น และเมื่อถึง
เอ๊ะ… ยังไงนะ เราขมวดคิ้ว “ผมหมายถึงว่า…” เขาค่อยๆ อธิบาย “พอผมซื่อสัตย์กับอาชีพของผม มีแพสชั่นกับมันอย่างเต็มที่ ทำให้ผมรู้ว่าอาชีพของผมจะพาผมไปสู่อนาคตที่ผมมองไว้ได้ เพราะฉะนั้นมันเลยเป็นเส้นขนานกันอยู่ คือผมมุ่งหน้าในเส้นทางนี้อย่างจริงจัง แต่ผมก็ยังประกอบความฝันของผมไปเรื่อยๆ จนถึงวันที่มันมาบรรจบกัน ผมก็จะจบอาชีพนี้ของผมล่ะครับ”จุดบรรจบกัน มันก็จบครับ”
บอกตรงๆ ว่านี่ไม่ใช่บทสนทนาใหม่ระหว่างเราและธนภพ แต่เราก็อดใจหายนิดหน่อยไม่ได้… แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าถึงเวลานั้นแล้ว เราถามเสียงเรียบๆ “เพราะฝันผมไม่เคยเคลื่อนครับ” น้ำเสียงยังมั่นใจคงเดิม “ผมเลยรู้ตัวอยู่ตลอดว่ามันคือจุดไหน แต่ขึ้นอยู่กับว่า พอผมไปถึงจุดนั้น ผมจะแพ้ใจตัวเองหรือเปล่า เพราะมีหลายคนพูดกับผมบ่อยๆ ว่าคนแบบผมน่าจะไหลไปต่อ ไม่หยุดแน่นอน แต่ในมุมมองของผมนะ แพสชั่นในอาชีพของผมน่ะ มีจริง ทุกคนเห็น แต่ผมยังไม่เคยพูดถึงแพสชั่นความฝันของผมเลยนี่นา มันอาจจะมากกว่าแพสชั่นในอาชีพก็ได้นะ”
เรายังใจหาย แล้วแฟนคลับไม่ใจหายเหรอ “ไม่นะ” ต่อตอบทันที “ผมไม่ได้จะพูดสิ่งนี้เพื่อให้ทุกคนรู้สึกว่าผมจะเลิกทำงานเร็วๆ นี้นะ แต่ผมพูดเพราะมันคือความจริง อยากจะบอกแฟนๆ ทุกคนว่าเวลาของผมมีจำกัด เพราะฉะนั้น แรงสนับสนุนของทุกคนจึงสำคัญสำหรับผมมาก เพราะผมไม่ได้อยู่ไปตลอดกาล ถ้าในช่วงชีวิตนี้ของผม ผมเป็นความทรงจำให้ใครได้ ผมก็อยากจะเป็นความทรงจำที่ดีที่สุดของทุกคน มันฟังดูดราม่านะ แต่ผมแค่รู้สึกว่าผมโตพอที่จะพูดตรงๆ กับทุกคนที่ติดตามงานของผมว่าทำไมผมถึงเต็มที่กับทุกงานขนาดนี้ ก็เพราะผมไม่ได้ทำเพื่อตัวเองอยู่ไง แต่ผมทำเพื่อความทรงจำของพวกเราครับ”


I don’t want to hint that I’ll be done soon, but it’s just the fact. I want to tell all my fans that I have the limit of time, so your supports are so important to me. I won’t be here forever. If my active period could be anyone’s memories, I would like to be the best ones.
ผมไม่ได้จะพูดสิ่งนี้เพื่อให้ทุกคนรู้สึกว่าผมจะเลิกทำงานเร็วๆ นี้นะ แต่ผมพูดเพราะมันคือความจริง อยากจะบอกแฟนๆ ทุกคนว่าเวลาของผมมีจำกัด เพราะฉะนั้น แรงสนับสนุนของทุกคนจึงสำคัญสำหรับผมมากเพราะผมไม่ได้อยู่ไปตลอดกาล ถ้าในช่วงชีวิตนี้ของผมผมเป็นความทรงจำให้ใครได้ ผมก็อยากจะเป็นความทรงจำที่ดีที่สุดของทุกคน
ไหนๆ ก็พูดถึงแฟนคลับแล้ว มีอะไรอยากจะบอกไหม “หลังๆ มาเนี่ย เวลาผมให้สัมภาษณ์ที่ไหนก็ตาม ผมดีใจที่เห็นแฟนคลับเขาอ่านและแชร์ หมายถึงแฟนคลับทั้งในและต่างประเทศเลยนะ มันมีอยู่ช่วงหนึ่งเนอะที่นิตยสารมันไม่ได้ป็อปเหมือนแต่ก่อน แต่หลังๆ ผมรู้สึกเลยว่ามันมีคนอ่านอยู่จริงๆ นะ ผมเลยใช้โอกาสเวลาผมสัมภาษณ์กับพี่ๆ นักข่าว หรือสัมภาษณ์ลงนิตยสารแบบนี้ ผมจะชอบพูดถึงแฟนคลับนะ เพราะผมมั่นใจว่าพวกเขาจะได้เห็น เหมือนใช้พี่ๆ เป็นนกพิราบสื่อสารนิดนึง” เราขำ และเขาก็ขำตาม
“หลังๆ เริ่มมีแฟนคลับจับไต๋ผมได้แล้วนะว่าผมรู้ว่าพวกเขาเห็น ผมเลยพูดถึงพวกเขา ต้องบอกก่อนว่าเมื่อก่อนผมเป็นคนที่อยากได้อะไรแต่ไม่บอกแฟนคลับ จนมีแฟนคลับบอกว่าให้พูดหน่อย เพราะไม่พูดก็ไม่มีใครรู้หรอก แต่ผมเคยคิดว่าถ้าพูดออกไปมันจะน่าเกลียดไง” เขาคิดสักพัก ก่อนจะอธิบายความในใจต่อ “เหมือนหลังๆ ผมรู้สึกว่าทั้งผมและแฟนคลับมีการปรับตัวอะไรกันบางอย่างแบบเห็นได้ชัด เหมือนทุกคนรู้ว่าผมเองก็ต้องปรับตัวกับอะไรบางอย่าง พวกเขาก็ปรับตัวเข้าหาผม ผมรู้สึกได้ถึงการเติบโตของทั้งผมและกลุ่มแฟนคลับไปพร้อมๆ กัน และผมก็ประทับใจกับอะไรแบบนี้จริงๆ หนังสือเล่มนี้ออกเดือนกันยายนใช่ไหมครับ สิ่งที่ผมอยากจะฝากไปบอกก็คือ มันจะเป็นช่วงที่เราจะได้เจอกันน้อยลงอย่างจริงจังแล้ว มันจะกลับมาเป็นแบบเดิมๆ ที่ทุกคนคุ้นชิน คือผมจะหายไปทำงาน แต่ผมก็จะบอกเหมือนเดิมว่าผมไม่ได้หายไปไหนหรอก ผมจะยังคงคอนเซ็ปต์เดิมแหละว่า priority หลักของผมก็คืองาน แต่ผมจะพยายามที่สุดที่จะอัพเดทให้ทุกคนรู้ว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ และผมคงต้องฝากขอแรงทุกคนว่าในช่วงเวลาที่ผมต้องเทไปให้โปรเจ็กต์ของผม งานต่างๆ ที่ออกมาช่วงนั้น ก็ฝากซัพฯ กันไปก่อนนะครับ ผมอยากให้ทุกคนเชื่อจริงๆ ว่าทุกครั้งที่ผมหายไป ผมจะกลับมาแบบไม่ให้ทุกคนผิดหวังแน่นอน”
ธนภพยืนยันว่าเขาไม่สามารถสปอยล์เรื่องงานได้จริงๆ แต่เขาก็ฝากทิ้งท้ายไว้ว่า “มันคือแนวที่หลายคนเคยคิดว่าผมจะเล่นมาหลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่ได้เล่นสักที ในแง่ของการเป็นนักแสดงของผม มันเป็นจุดที่ผมต้องพลิกอะไรหลายๆ อย่าง” เขานิ่งคิดไปสักพัก “เมื่อก่อนนะ แนวทางการรับตัวละครของผมมันดูหลากหลายก็จริง แต่มันจะหลากหลายมาจากเหลี่ยมหนึ่ง ซึ่งมันเป็นเหลี่ยมที่ผมคุ้นชินอยู่แล้ว แต่ละครเรื่องนี้มันคือการบิดเหลี่ยมของตัวเองใหม่ทั้งหมด ผมเลยรู้สึกว่ามันอาจจะมีลูก surprise ทุกคนจะเจอความหลากหลายมากขึ้น ผมกำลังจะแสดงเหลี่ยมที่ผมไม่เคยได้มีโอกาสเอาออกมาใช้” เชื่อได้เลยว่า แฟนๆ ของเขาจะได้รับสารที่เขาตั้งใจบอกผ่านเราอย่างแน่นอน พวกคุณว่าไหม

Make Up: Chinnakrit Tanasontirach
Hair: Sukwasa Khadphab
Videographer: Panlit Voravutvityaruk
Assistant Photographers: Similan Prangprasert / Suppachai Klinhaiyud
Assistant Fashion Editors: Napat Roongruang / Chakrin Manuyyakorn / Pawinthita Kitkransangvorn /
Assistant Videographer: Ratchaseth Chawanpunyawat / Co-Producer: Akeera Sasungnern