Author: Peerachai Pasutan
Photographer: Adison Rutsameeronchai
ถึงแม้การถ่ายทำภาพยนตร์จะจบไปนานแล้ว แต่ดูเหมือนว่านักแสดงหลักจากขุนพันธ์ 3 อย่างจ่อย – อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม, มาริโอ้ เมาเร่อ และโตโน่ – ภาคิน คำวิลัยศักดิ์ ยังคงความเข้าขาและสนิทสนมกันเป็นอย่างดี และในวันที่สัมภาษณ์ พวกเขาได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้งเพื่อโปรโมทภาคสุดท้ายของแฟรนไชส์ชุดนี้ ซึ่งกลายเป็นไทยออริจินัลเรื่องล่าสุดของช่อง HBO และสตรีมมิ่งในเครือ HBO Go “เราเป็นแฟน HBO อยู่แล้ว รู้สึกว่าเขามีแบรนด์และสไตล์อะไรบางอย่างของเขาที่เราชอบมากตั้งแต่ยุค ‘The Sopranos’ ก็ภูมิใจครับที่หนังของเราเข้าไปอยู่ในไลบรารีและแพลตฟอร์มเดียวกันกับผลงานที่มีคุณภาพสูงอย่างนั้น” อนันดาเกริ่นและดีใจอย่างปิดไม่มิด จากนั้น เราถามพวกเขาต่อว่าประทับใจผลงานใดของ HBO มากที่สุด “Game of Thrones ครับ ชอบมาก” มาริโอ้ตอบอย่างไม่ลังเล “[ที่จริง] ได้พากย์ด้วยนะ แต่ไม่มีใครรู้ (หัวเราะ)” ทันใดนั้น มาริโอ้ก็ดัดเสียงเข้มเป็นจอน สโนว์ ขึ้นมา “ต้องไปเอาดรากอนกลาสที่… เจ้าหญิงเดเนอริส… ประมาณนี้ครับ” ทำเราหัวเราะและเอ็นดูเขากันทั้งห้อง
พอพูดถึงแฟรนไชส์สักเรื่องอย่าง GoT แล้ว เราอดคิดต่อไม่ได้ว่าทำไมเมืองไทยถึงไม่มีจักรวาลภาพยนตร์หรือซีรีส์มากนักเมื่อเทียบกับต่างประเทศ โตโน่ให้ความเห็นเกี่ยวกับประเด็นนี้ได้น่าสนใจ “อาจจะ [เป็นเพราะความ] ยากครับ ด้วยงบและเวลา รวมถึงเนื้อเรื่องที่ต้องทำให้แตกต่างและต้องพิเศษ บวกกับความกดดันว่าจะทำ ‘ถึง’ หรือไม่ ผมเลยคิดว่ายากที่จะมีแฟรนไชส์ [สักเรื่อง] แบบนี้ [ในบ้านเรา]” แล้วความท้าทายของการปั้นจักรวาล ‘ขุนพันธ์’ คืออะไรล่ะ “ก่อนที่จะมาเป็นหนัง หลายๆ คนก็รู้จักอยู่แล้วครับว่าพ่อขุนพันธ์มีตัวตนจริง รวมถึงเรื่องของประวัติเสือต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเสือมเหศวร เสือดำ เสือใบ หรือเสือฝ้าย แต่การที่เราจะเอาเรื่องพวกนี้มาทำเป็นหนัง โดยที่ไม่ได้อิงกับชีวิตจริงและประวัติศาสตร์ มันยากครับ แล้วอย่าลืมนะว่าสิบปี [ของไตรภาค ‘ขุนพันธ์’] เป็นระยะเวลาที่นาน แล้วยุคสมัยก็เปลี่ยนไปทั้งในเรื่องของความเชื่อและความคิดต่างๆ แต่ต้องขอบคุณทีมงานทุกฝ่ายครับที่สามารถเปรียบเทียบหนังทุกๆ ภาคให้เชื่อมโยงกับยุคสมัยของคนในปัจจุบันได้” โตโน่ตอบ ก่อนที่อนันดาจะเล่าย้อนถึงช่วงแรกเริ่มของภาพยนตร์ชุดนี้ว่า “คือถ้าบอกผมตอนแรกๆ เราแบบ… ‘สามภาค บ้าหรือเปล่าพี่! ไม่น่าจะได้นะ’ แต่พอไปอยู่กับพี่โขม (ก้องเกียรติ โขมศิริ – ผู้กำกับ) ศึกษาทำบทกัน อยู่ต่างจังหวัดมาเรื่อยๆ ก็ได้เห็นว่า [ตำนานขุนพันธ์] เป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย เราก็เลยเข้าใจว่าทำไม เออ… มันถึงต่อยอดได้ขนาดนี้”
หากตัวละครบนแผ่นฟิล์มมีวิชาคาถาอาคมเป็นอาวุธและเกราะป้องกันตัวแล้ว ทั้งสามคนได้ ‘วิชามาร’ หรือทริค เทคนิคใหม่ๆ สำหรับการแสดงบ้างไหม “ของโอ้นี่ได้วิชาการบู๊เพิ่มมาเยอะเลย วิชาโหนสลิง หลบระเบิด… ทั้งความเสี่ยง ความตื่นเต้น… ความร้อนจากระเบิด” มาริโอ้ดูจะฝังใจกับเรื่องระเบิดเป็นพิเศษจนทำเราขำกันสองรอบติด แล้วอนันดาก็พูดถึงสิ่งที่ได้รับจากบทบาทท่านขุนพันธ์ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา “คือผมไม่ได้อยู่ในโลกของศาสนา ศรัทธา หรือความเชื่อ เรื่องพวกนี้เลยใหม่มากสำหรับผม พออยู่ในกองฯ กับพวกเซียน เราจะคุย จะถามว่า ความเชื่อนั่นนี่มาจากอะไร อย่างไร เราจึงได้มุมมองใหม่ๆ ที่เอามาใช้ในงานอื่น… แล้วผมก็ติดนิสัยเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งทำให้งานของเราศักดิ์สิทธิ์ขึ้น [เช่น] ไปเล่นละครกับพี่แอน ทองประสม บางทีคนก็แบบ… ‘พี่จ่อยเป็นอะไรวะ ได้ข่าวว่าเล่นเป็นสามีมีชู้ แต่ทำไมต้องพนมมือก่อนเข้าฉากอยู่เรื่อย’ (หัวเราะ) เทคนิคนี้ช่วยเราตั้งสมาธิกับตัวเอง และสร้างความเชื่อกับตัวละครมากขึ้นครับ” แต่สำหรับโตโน่นั้น ผลงานนี้ดูจะตอกย้ำเวทมนตร์ของภาพยนตร์เสียมากกว่า “พอทำได้ มันกลายเป็นปาฏิหาริย์ครับ เพราะในเรื่องมีหลายฉากที่ผมรู้สึกว่าอาจจะหาไม่ได้อีกจากหนังเรื่องไหนๆ หากทุกคนไม่ได้มีความเชื่อเดียวกัน [ที่จะทำงานนี้ให้สำเร็จ] มีอยู่ซีนหนึ่งซึ่งรวมทีมนักแสดงเกือบทั้งหมด – ที่ธรรมดาแม่งก็ยากอยู่แล้วที่จะมาเจอกัน – จังหวะที่ได้เห็นทุกคนออกวิ่งและอยู่ร่วมเฟรม ผมรู้สึกแบบ ‘โอ้โห มันมีพลังจังเลย’ รวมถึงบางคนที่มีโอกาสได้ชม [ภาพยนตร์ตอนฉายในโรงฯ] เขาสัมผัสอะไรบางอย่างในนั้นและมาเล่าให้เราฟังจนร้องไห้ดีใจ ผมเลยดีใจครับที่เกิดเมจิกขึ้นในหลายๆ ซีนของ ‘ขุนพันธ์ 3’”
ใน ‘ขุนพันธ์’ ภาคจบนั้น ความตายและความไม่จีรังยั่งยืนได้เข้ามาสั่นคลอนชีวิตของตัวละครท่านขุน แล้วในชีวิตจริงของพระเอกทั้งสามคนล่ะ รับมือกับความไม่แน่นอนต่างๆ ที่รออยู่ในวันข้างหน้าอย่างไรบ้าง “โอ้โห! คำถามลึกเว้ย นี่เริ่มออกแนวปรัชญาชีวิตแล้วนะ (หัวเราะกันทั้งวงสัมฯ)” อนันดาแซวนิดหน่อยก่อนเข้าโหมดจริงจัง “พอเราเริ่มมีอายุมากขึ้น ก็ต้องมาทบทวนตัวละครที่เราเล่นและความหมายของคำว่า ‘นักแสดง’ จากตอนแรกที่คิดว่าจะกังวลถึงบทบาทที่อาจเปลี่ยนไป แต่กลายเป็นว่าตอนนี้เราได้หาสิ่งใหม่ๆ ทำ ไอ้กรอบคำว่า ‘พระเอก’ เริ่มลดลง ไปเล่นเป็นตัวร้ายได้บ้างและรับบทบาทอื่นๆ ได้มากขึ้น” ส่วนมาริโอ้ก็เสริมต่อว่า “ผมว่า [ความไม่จีรังยั่งยืน] เป็นเรื่องธรรมชาติอยู่แล้วและไม่ได้น่ากลัว อย่างที่พี่จ่อยบอกครับว่ามันอาจเป็นข้อดีและทำให้เรามีประสบการณ์ในด้านอื่นๆ ด้วย ผมเลยเปิดกว้าง ไม่ว่าจะเป็นบทบาทใดๆ ต่อไปในอนาคตครับ” แล้วโตโน่ก็ปิดท้ายคำถามสุดท้าย “แน่นอนครับ วันหนึ่งมันต้องหมดเวลาของเรา หมดเวลาของผม แล้วไม่รู้ด้วยว่าจะมาเร็วหรือช้า… แต่ถึงจะต้องพบกับความไม่จีรังหรือการลาจาก อย่างน้อยๆ ‘ขุนพันธ์’ ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ผมไม่ได้เสียดายแม้แต่วินาทีเดียว ผมได้ใช้ชีวิตและความสามารถที่มีอย่างเต็มที่แล้วในช่วงเวลานั้น ผมจึงไม่ได้สนใจว่าจะเหลือเวลาแค่ไหนหรือจุดจบของผมจะเป็นอย่างไร ผมให้ความสำคัญกับหน้าที่และความจริงใจในสิ่งที่เราพูดและทำต่อเพื่อนร่วมงาน [ณ ปัจจุบันขณะ] ผมว่าเท่านี้ก็โอเคแล้วครับ”
ชมไตรภาค ‘ขุนพันธ์’ ได้แล้วทาง HBO Go ที่เดียวเท่านั้นในภูมิภาคอาเซียน ฮ่องกง และไต้หวัน
Assistant Photographers: Nitipong Kakao / Patcharapol Ketsuwanvatana