Author: Sethapong Pawwattana


เฉลิมฉลองให้กับเรือนเวลาระดับไอคอนิกที่สร้างสรรค์มาเพื่อมหาสมุทรของ Omega ผู้ผลิตเรือนเวลาจากสวิตเซอร์แลนด์ ด้วยคอลเลกชั่นนาฬิกาใหม่ที่มาพร้อมกับหน้าปัดอันโดดเด่นผสานโทนสีที่สะกดสายตาชวนให้นึกถึงผืนสมุทรทอดยาวไร้คลื่นลม เรือนเวลาระดับไอคอนิกเจ็ดแบบ – ทั้งหมดสิบเอ็ดรุ่น – แสดงถึงตัวตนที่แตกต่างตั้งแต่นาฬิกาแบบเรียบหรูไปจนถึงนาฬิกาที่สร้างสรรค์มาเพื่อการดำน้ำอย่างแท้จริง สิ่งที่นาฬิกาทุกรุ่นมีร่วมกันคือสีซัมเมอร์บลู (summer blue) ของ Omega ที่ถูกใช้ในหลายระดับเพื่อสะท้อนถึงคุณสมบัติการกันน้ำของ Seamaster โดยครั้งนี้เรานำมาให้ชมอย่างชัดๆ 2 รุ่นที่น่าจะเป็นที่หมายปองของนักสะสมนาฬิกาและคนที่ชื่นชอบความพิเศษของ Seamaster
เรื่องราวของ Seamaster เริ่มต้นขึ้นก่อนที่จะมีนาฬิการุ่นนี้ถึง 16 ปี ด้วยการเผยโฉมนาฬิกา Omega ‘Marine’ เมื่อปี 1932 นาฬิกาดำน้ำรุ่นแรกในโลกที่จำหน่ายให้นักดำน้ำพลเรือน นาฬิกาที่สามารถผ่านการทดสอบที่ความลึก 73 เมตรใต้ทะเลสาบเจนีวาได้สำเร็จ ทั้งยังผ่านการทดสอบคุณสมบัติการกันน้ำได้สูงสุดถึง 135 เมตรระหว่างการทดสอบความดันภายในห้องปฏิบัติการสำหรับการวิจัยที่เมืองนอยชาเตล (Neuchâtel) นับเป็นจุดเริ่มต้นอันยอดเยี่ยมที่วางเส้นทางให้ Omega รุดหน้าในการออกแบบนาฬิกาสำหรับการดำน้ำระหว่างช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง Omega ได้ส่งมอบนาฬิกามากกว่า 110,000 เรือนให้กับเหล่านักบิน พลนำร่อง และทหารแห่งกระทรวงกลาโหมสหราชอาณาจักร เพื่อสนับสนุนกองกำลังของกองทัพอากาศและราชนาวีระหว่างที่พวกเขารับใช้ชาติ ประสบการณ์ที่หาเปรียบได้ยากนี้ทำให้ Omega สามารถพัฒนาคุณสมบัติด้านการกันน้ำและการต้านทานสนามแม่เหล็กได้อย่างรวดเร็ว และสร้างสรรค์เรือนเวลาที่ทนทานสภาพแวดล้อมที่สุดขั้วได้อีกหลายต่อหลายรุ่น นอกจากนี้กระทรวงกลาโหมอังกฤษยังได้สลักข้อความ W.W.W อันโด่งดังบนฝาหลังของนาฬิกาแต่ละเรือนซึ่งมีความหมายว่า ‘waterproof wrist watch’คอลเลกชั่น Seamaster ถูกเปิดตัวในปี 1948 ตรงกับการเฉลิมฉลองรอบ 100 ปีของ Omega โดยมีการผสานรวมเทคโนโลยีที่ผ่านการพิสูจน์จากสนามรบเข้ากับรูปลักษณ์ภายนอกที่สง่างามเพื่อสร้างสรรค์เรือนเวลาสำหรับ ‘เมือง ทะเล และชนบท’ ภายหลังจะมีหนึ่งในสามคำนั้นที่ได้นิยามอนาคตของนาฬิกา ในห้วงเวลาที่เต็มไปด้วยพลวัต ทศวรรษแห่งความเบิกบานและการสำรวจ Seamaster ก็ได้รับการยอมรับในฐานะตัวเลือกของเหล่านักสำรวจใต้ทะเล และจุดเริ่มต้นของเส้นทางสายใหม่นี้คือนาฬิกา Seamaster 300 ซึ่งเปิดตัวเมื่อปี 1957


Seamaster 300 เรือนเวลาชาญสมุทร
เปิดตัวเมื่อปี 1957 ในฐานะส่วนหนึ่งของสามเรือนเวลา ‘สำหรับมืออาชีพ’ (ร่วมกับ Speedmaster และ Railmaster) นาฬิกา Seamaster 300 รุ่นดั้งเดิมส่งมอบหน้าปัดที่สามารถอ่านเวลาได้อย่างสะดวก รวมถึงคุณสมบัติการกันน้ำที่เหนือชั้น ยืนยันด้วยดาว ‘Naiad’ ที่ประดับไว้ด้านในตราบนเม็ดมะยม โดยเรือนเวลารุ่นใหม่ยังคงสืบทอดตัวตนดังกล่าวด้วยกลไก Omega Co-Axial Master Chronometer Calibre 8912 ที่ได้รับการรับรองด้วยมาตรฐานระดับสูงสุดในอุตสาหกรรมโดยสถาบันมาตรวิทยาแห่งสหพันธ์สวิส (METAS)นาฬิกา Seamaster 300 ขนาด 41 มม. มีตัวเรือนแบบสมมาตรและเม็ดมะยมสเตนเลสสตีลขัดเงาสลับด้านที่เข้าคู่กับสายนาฬิกา เช่นเดียวกับชื่อ นาฬิกามีคุณสมบัติการกันน้ำที่ 300 เมตร อีกทั้งยังแสดงผ่านหน้าปัดสีซัมเมอร์บลูเคลือบเงาที่สะท้อนถึงระดับความลึกของน้ำที่สามารถทนทานได้มากกว่า เพื่อให้เข้ากับสีหลัก เรือนเวลาจาก Omega รุ่นนี้ถูกติดตั้งด้วยชุดเข็มชุบโรเดียม หลักชั่วโมงแบบร่อง และตัวเลขที่บรรจุด้วยสารเรืองแสง Super-LumiNova ที่มอบแสงสีน้ำเงินอ่อนอันเป็นเอกลักษณ์
Planet Ocean 600M สมดั่งฉายา
แนวทางการออกแบบของ Seamaster 300 ถูกหยิบนำมาใช้กับเรือนเวลา Planet Ocean ที่เผยโฉมเมื่อปี 2005 ซึ่งมาพร้อมกับขอบตัวเรือนสีส้มและฮีเลียมวาล์วที่เป็นเอกลักษณ์ นาฬิกานี้ยังเปิดตัวพร้อมกับระบบปล่อยจักรแบบ Co-Axial อันโด่งดังของ Omega ซึ่งเผยโฉมครั้งแรกในกลไก calibre 2500 ผู้ที่มองหานาฬิกาดำน้ำเพื่อใช้งานจริงต่างเลือกสรร Omega Seamaster Planet Ocean 600Mนาฬิกานั้นทั้งลงตัวและเหมาะสมกับมหาสมุทรแท้จริงสมชื่อ เครื่องบอกเวลาทำงานอย่างไร้ที่ติได้ถึงความลึก 600 เมตรใต้เกลียวคลื่นและขับเคลื่อนด้วยขุมกำลังกลไก Omega Co-Axial Master Chronometer 8800 นาฬิกาขนาด 39.5 มม. รุ่นนี้มีตัวเรือนและสายนาฬิกาที่รังสรรค์จากสเตนเลสสตีล ขอบตัวเรือนเซรามิกสีน้ำเงินและสเกลดำน้ำสีน้ำเงินอ่อนล้อมรอบหน้าปัดเซรามิกสีซัมเมอร์บลูที่ผลิตด้วยกรรมวิธีเคลือบ PVD และเคลือบเงาตกแต่งแบบไล่ระดับสี อีกทั้งยังเติมเต็มด้วยชุดเข็มบลูและหลักชั่วโมงที่บรรจุด้วยสารเรืองแสง Super-LumiNova ที่มอบแสงสีน้ำเงินอ่อนอันเป็นเอกลักษณ์สุดเท่กับนาฬิกา Seamaster ใหม่ทุกรุ่นด้วยการตกแต่งฝาหลังด้วยสัญลักษณ์คอลเลกชั่น Seamaster ที่มีมาตั้งแต่ยุค 1950s โดยฌอง-ปิแอร์ บอร์ล (Jean-Pierre Borle) ที่ได้แรงบันดาลใจจากรูปม้าน้ำของเทพเนปจูนที่กราบเรือกอนโดลาในเวนิส โดยสัญลักษณ์ Seamaster ทำเป็นภาพเทพโพไซดอนถือตรีศูลพร้อมม้าน้ำสองตัว

นอกจากนาฬิกา เพื่อเติมเต็มคอลเลกชั่นนี้จึงมีเครื่องประดับหลากหลายไม่ว่าจะเป็นพวงกุญแจลายคลื่น สร้อยข้อมือเซลลิ่งในโทนสีน้ำเงิน คัฟลิงก์รูปม้าน้ำ และสายรัดข้อมือสีน้ำเงินประดับด้วยลวดลายสามง่ามของโพไซดอนทำจากสเตนเลสสตีล คอลเลกชั่นนี้จึงควรค่าแก่การสะสมเป็นอย่างยิ่ง
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรือนเวลา OMEGA เหล่านี้ได้ที่
สาขา เซ็นทรัล เอ็มบาสซี โทร. 02-160-5959, สาขา สยามพารากอน โทร. 02-129-4878
สาขา เซ็นทรัลภูเก็ต ฟอเรสตา 076-510-818
Planet Ocean 600M
Seamaster 300