Author: Neeraj Trirongaubon
Photographer: Wasu Sukatocharoenkul
Stylist: Teeratat Somudomsup

“ได้ยินเสียงพิณแคนห่าวมันถึงคราวสิได้ม่วน โปงลางชวนต่อยต้องตีเข้ากลองยาว บ่าวสาวฟ้อนนำกันเกี้ยวใส่ โหวตผู้ได๋เสียงเป่าพุ้นมาคักโพดม่วนแท้น้อ” ภาพความสนุกจากผญา หรือกลอนของคนอีสานที่บรรยายบรรยากาศความม่วนจากเครื่องดนตรีพื้นบ้าน คนอีสานคิดถึงบ้านเสมอเวลาได้ยินเสียงพิณหรือแคนดังแว่วมาแม้จะยังไม่รู้ว่าเล่นลายไหน ต่างจากคนกรุงเทพฯ ที่เวลาได้ยินเสียงระนาดหรือปี่จะสร้างความรู้สึกชวนขนลุก ไม่มีจินตนาการว่าดนตรีภาคกลางจะสร้างความมันได้เท่ากับหมอลำ ไม่มีเสียงดนตรีภาคไหนที่แทรกซึมไปในทุกอณูของประเทศไทยได้เก่งฉกาจกว่าดนตรีอีสาน กรุงเทพฯ ละทิ้งพื้นที่รกร้างแห่งนี้ไว้นานพอจนทำให้วัฒนธรรมก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาอย่างแข็งแกร่ง กล้าแหวกแนวและเป็นอิสระจากกฎเกณฑ์ทางดนตรีที่คนกรุงเทพฯ พยายามยื่นไม้บรรทัดสร้างมาตรวัดให้คนอื่นไปทั่ว
ความหลังและความหวังเป็นพล็อตเรื่องคลาสสิกของเพลงอีสานมาโดยตลอด ตั้งแต่น้ำตาเมียซาอุ (พ.ศ. 2529) ของพิมพา พิมศิริ จนถึงดอกหญ้าในป่าปูน (พ.ศ. 2545) ของต่าย อรทัย คนอีสานจากความหลังเพื่อมาผจญภัยในเมืองใหญ่ด้วยหวังว่าสักวันจะประสบความสำเร็จ และกลับบ้านไปหาคนที่รักอีกครั้ง เพลงโหยหา ที่เป็นซิงเกิ้ลใหม่ของโจอี้ – ภูวศิษฐ์ ก็เช่นเดียวกัน แม้ว่าเนื้อหาจะไม่ได้รันทดเหมือนเพลงสมัยก่อน แต่เอ็มวีซึ่งเล่าเรื่องหนุ่มสาวชาวอีสานที่ต้องไประหกระเหินอยู่ในมาเก๊าเพื่อตามหาชีวิตที่ดีกว่าก็ยังคงสร้างแรงกระเพื่อมในหัวใจได้อยู่ไม่น้อย ถ้าจำไม่ผิด อัลบั้ม ‘Moonไรซิ่ง’ น่าจะเป็นครั้งแรกที่เสียงพิณอีสานได้มาอยู่ในเพลงแนวทีป็อปแบบเมนสตรีม นอกจากซิงเกิ้ลล่าสุดที่กำลังโปรโมทแล้ว ลอฟฟีเซียล ออมส์ มีเรื่องอยากถามโจอี้อีกนิดหน่อย เกี่ยวกับวัยรุ่นสร้างตัวจากจังหวัดร้อยเอ็ดที่เข้ามาตามหาอนาคตและความฝัน ไม่ต่างจากคนอีสานในรุ่นพ่อของเขา

ลองมาเล่นเกมทายอนาคตกันดีกว่า โจอี้ในอีก 10 ปีข้างหน้าจะเป็นยังไง
น่าจะได้ทำอะไรใหม่ๆ เยอะมาก และสุดท้ายผมน่าจะกลับไปอยู่ที่ร้อยเอ็ดเหมือนเดิม ใช้ชีวิตเหมือนที่ตัวเองจากมา ทำเหมือนเดิมที่เคยทำ ทำไร่ เลี้ยงปลา ทำบ้านในสวน ใช้ชีวิตอยู่บ้าน ถ้าทุกอย่างมันโอเคแล้วก็อยากกลับไปเติมเต็มช่วงที่ตัวเองขาดหาย
แล้วถ้าให้เลือก 3 ภาพในความทรงจำของเราล่ะ
ภาพแรกคือขับมอเตอร์ไซค์ล้ม เป็นภาพจำที่ตัวเองไม่เคยลืมเพราะเป็นเรื่องตลกร้าย ตอนนั้นอยู่ ป.4 ตอนรถล้ม หน้าผมก็แหกไปกับถนน คนรู้จักก็ถามว่าหน้าไปโดนอะไรมาตั้งแต่เด็ก ทำให้เราไม่มั่นใจในตัวเองจนมาถึงมัธยมเลย มันทำให้เราไม่กล้าแสดงออก เพราะหน้าเรามีแผลเป็น ถ้าเราไม่ล้มคงได้ใช้ชีวิตเหมือนเด็กขับแท็กซี่ครับ คุณตา คุณลุง คุณน้าผมขับแท็กซี่หมดเลย รวมถึงคุณพ่อผมก็เคยขับตุ๊กตุ๊กในกรุงเทพฯ นี่ เป็นอาชีพที่เขาเลี้ยงดูเรามาตั้งแต่เด็กๆ ถ้าเป็นไปได้หรือหนทางสุดท้ายก็ขับได้ น่าจะเป็นสิ่งที่ทำได้ ทั่วไป
ภาพที่สองคือตอนปั่นจักรยานไปในเมือง 40 กิโลเมตรกับเพื่อนสนิท ตอนนั้นอยู่ ป.4 เหมือนกัน ชวนเพื่อนปั่นจักรยานไปซื้อซีดีในเมือง ปกติเป็นคนชอบผจญภัยอยู่แล้ว ตอนวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ก็ชอบปั่นจักรยานไปนา ไปป่าแถวบ้าน ไปเล่นกับเพื่อน ปีนต้นไม้ ส่วนวันนั้นที่ชวนเพื่อนปั่นไปในเมืองเพราะอยากดูหนังด้วย ชอบดูหนัง เพื่อนคนนี้มันค่อนข้างจะมีตังค์หน่อย ส่วนครอบครัวผมค่อนข้างจะไม่มีตังค์ที่จะไปซื้อของแบบนี้ ยังคิดอยู่เลยว่าโชคดีที่รถบรรทุกไม่ดูดเราสองคนไปใต้ท้องรถ เป็นความทรงจำที่น่าประทับใจของผมและเพื่อน
ภาพที่สามคือวันที่พ่อเสีย มันไม่ได้เศร้าอะไรมาก เพราะเขาเสียตั้งแต่ผมยังเด็ก ตอนนั้นอยู่อนุบาล 1 ภาพจำคือคนที่ไหนไม่รู้มาห้อมล้อมตรงที่พ่อนอน เห็นแม่ร้องไห้ ป้าร้องไห้ เขาเป็นอะไรกันก็ไม่รู้ พอโตขึ้นมาก็นึกๆ ได้ว่าถ้าได้ยินพ่อบอกอะไรสักหน่อยก็คงดี ไม่นานมานี้พี่สาวเพิ่งมาบอกว่าพ่อสั่งเสียไว้กับพี่สาวก่อนที่แกจะไปว่า อย่าด่าน้องนะ แล้วบอกผมว่าอย่าตีพี่นะ
ถ้าวันนี้โจอี้ไม่ได้เป็นศิลปินล่ะ เราน่าจะทำอะไรอยู่ ขอ 3 ความเป็นไปได้เหมือนกัน
ขับแท็กซี่ครับ คุณตา คุณลุง คุณน้าผมขับแท็กซี่หมดเลย รวมถึงคุณพ่อผมก็เคยขับตุ๊กตุ๊กในกรุงเทพฯ นี่ เป็นอาชีพที่เขาเลี้ยงดูเรามาตั้งแต่เด็กๆ ถ้าเป็นไปได้หรือหนทางสุดท้ายก็ขับได้ น่าจะเป็นสิ่งที่ทำได้
เป็นครูก็ได้ จริงๆ ไม่ได้ชอบ แต่ก็ไม่ได้เกลียดอาชีพนี้ ไม่ได้เป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นตั้งแต่เรียนและฝึกสอนมา รู้สึกว่าไม่ใช่ตัวเราเลยเวลาอยู่ตรงนั้น ผมสอนนักเรียนได้นะ แต่ในใจมีความรู้สึกว่านี่ไม่ใช่ที่ของเรา มันมีความรู้สึกแบบนี้อยู่ จะเป็นก็ได้ ไม่ได้เสียหายหรือคาดหวังอะไรมากสุดท้ายก็คงทำนา ทำเกษตรกรรมที่บ้าน พัฒนาหมู่บ้าน ชอบ ผมว่าผมทำได้ ปกติอยู่บ้านก็ทำนา
ถ้าเราคือส่วนต่อขยายจากทั้งพ่อและแม่ ส่วนไหนมาจากใครบ้าง
จากพ่อน่าจะเป็นเรื่องความบันเทิง ร้องเพลง การพูดการจา แล้วก็ศิลปะ พ่อผมชอบร้องเพลงดีดกีต้าร์ แกชอบร้องเพลงเพื่อชีวิต ของแม่น่าจะเป็นความใจเย็น เป็นคนใส่ใจนะ แต่ก็สละทิ้งได้ อาจจะมีร้อนรุ่มบ้าง แต่ก็เก็บอารมณ์เก่งเหมือนแม่
เพื่อนล่ะ ถ้าให้พูดถึงความทรงจำเกี่ยวกับเพื่อนสนิท นึกถึงใคร
มีเยอะมาก แต่มีคนนึงที่จะนึกถึงตลอด ชื่อเอฟ คนที่ปั่นจักรยาน 40 กิโลเมตรไปด้วยกัน เป็นคนที่รู้สึกสบายใจเวลาที่ได้อยู่ด้วย อยู่ด้วยกันตั้งแต่อนุบาล ภาพจำตอนเด็กคือเป็นบ้านที่มีตังค์หน่อย เราอยากไปเล่นกับมันเพราะมันชอบอ่านหนังสือ มีหนังสือเยอะมาก เราเป็นคนไม่ชอบอ่าน แต่ชอบฟัง เขาก็อ่านให้ฟัง ทั้งเรื่องวิทยาศาสตร์ มนุษย์ต่างดาว ตั้งแต่เด็กเลย ไปค้นตู้เย็นบ้านเขา หาของกิน รหัสเกมก็ใช้ด้วยกัน ปัจจุบันเอฟเพิ่งสอบเนติบัณฑิตได้ เวลาเขามากรุงเทพฯ ผมก็ให้เขามาค้างที่บ้าน แทบจะเป็นครอบครัวเดียวกันเลย

เพราะไม่อยากให้ที่บ้านลำบากเลยเลิกเกเร เรื่องนี้เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญเลยไหม
ตอนมัธยมดื้อมาก ดื้อแบบสุดๆ ผมกับเพื่อนสนิท 4 คนไม่เข้าเรียนเลย 1 ปีเต็ม ตั้งแต่ ม.4 เทอม 2 จนถึง ม.5 เทอม 1 ไปมั่วสุมกันในป่า ทำสิ่งไม่ดี เวลาโรง เรียนเรียกผู้ปกครองมาก็ให้แม่เพื่อนไปแทน แล้ววันนึงเราก็คุยกันว่า ถ้าทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ชีวิตเราจะไม่ได้ดีขึ้นเลยนะ บ้านเก่าๆ ของเราก็คงไม่ได้ซ่อมแซม เราก็คงจะอยู่แบบเดิม ตากับยายก็น่าจะลำบากเหมือนเดิม แม่ก็ลำบากแบบเดิม ต้องไปทำงานจนถึงแก่ งั้นเราให้เวลากันว่า ม.5 เทอม 2 จะต้องเลิกหมดเลยนะ แล้วก็ทำจริง เพราะกลัวที่บ้านไม่สบายใจ ก็เลิกเกเร เริ่มเป็นเด็กดีขึ้น มีครูประจำชั้นคนหนึ่งที่ผมเคารพ ชื่อครูอนุรัชนี แกเสียไปแล้ว แกจะเอ็นดูพวกผมทั้ง 4 คนเป็นเหมือนลูกเลย ตอนที่พวกผมเกเรหนักๆ ไม่เข้าเรียน แกก็เรียกไปคุยว่าจะเป็นแบบนี้ตลอดไปหรอ อย่างน้อยก็เห็นแก่ตัวเองบ้าง ครูสอนดีมาก ยังนึกถึงกันอยู่เลย หลังจากนั้นก็กลับมาหันหน้าเข้าโรงเรียน ทำกิจกรรม ทำหมด ไม่เก่งสักอย่าง แต่ทำหมด อยากทำ อยากเป็นคนใหม่ ความคิดก็เลยเปลี่ยน พออายุ 20 ก็บอกแม่ว่าสักวันจะมีบ้านให้แม่และตายายให้ได้ บอกกันมาตลอด ก็ไม่คิดว่าจะทำได้หรอก แต่ต้องมีทาง
ภูมิใจกับตัวเองมากแค่ไหน
มากครับ เพราะผมผ่านเรื่องไม่ดีมาเยอะ จนตัวเองมายืนอยู่ตรงนี้ได้ก็ภูมิใจในตัวเอง ไม่เสียใจถ้าวันนึงเราไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว ไม่มีอะไรค้างคาใจกับใคร เพราะเราเปลี่ยนตัวตนไปเจอในสิ่งที่ดีมากขึ้น เลยรู้สึกว่านี่แหละคือตัวตนเราจริงๆ ตั้งแต่ตอนที่เกเรมันไม่ใช่ตัวจริงเราเลย เคยเข้าห้องน้ำ อาบน้ำ ดูกระจกตัวเอง แล้วคิดเลยว่ามันไม่ใช่ตัวมึงเลยนี่หว่า ก็บอกตัวเอง คุยกับตัวเอง เป็นคนที่คุยกับตัวเองบ่อย คุยคนเดียว ตัวตนเราคือตัวนี้ ทุกวันนี้ ทำสิ่งที่รัก คือตัวจริงผมละ
