Author: Sethapong Pawwattana
Photography: Courtesy of Gucci
นิทรรศการ Gucci Horsebeat Society คัดสรรโดย Alessio Ascari เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 70 ปีของ Horsebit loafer โดยเชิญศิลปินและนักสร้างสรรค์ระดับนานาชาติ 10 คนมาตีความสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์ที่นำเสนอครั้งแรกโดย Aldo Gucci ในปี 1953 ภายในงานแสดงสินค้าระดับนานาชาติ ตราสัญลักษณ์ Horsebit อันเป็นเอกลักษณ์นั้นสืบย้อนไปถึงการขี่ม้า นิทรรศการเปี่ยมมุมมองอันหลากหลายนี้จัดขึ้นที่ Spazio Maiocchi

ตัวนิทรรศการมาจากจินตนาการถึงขนบของคันทรีคลับในพื้นที่ร่วมสมัยที่หลอมรวมเข้ากับจิตวิญญาณของวัฒนธรรมใต้ดิน คัดสรรโดย Alessio Ascari บ่งชี้ถึงความไร้กาลเวลาสำหรับ Gucci และ Horsebit ได้รับการปรับเปลี่ยนและตีความใหม่อย่างต่อเนื่องในฮาร์ดแวร์และภาพตลอด 7 ทศวรรษ Gucci Horsebeat Society นำเสนอการตีความสัญลักษณ์ใหม่อย่างสร้างสรรค์และเปลี่ยนแปลงผ่านการติดตั้งงานศิลปะและภาพและเสียง นอกจากนี้ Gucci Horsebeat Society ยังทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มสำหรับการนำเสนอ Gucci Spring Summer 2024 Men’s Collection
ด้วยฝีมือการสร้างสรรค์โดย Alessio Ascari ครีเอทีฟไดเร็กเตอร์และภัณฑารักษ์ประจำ Spazio Maiocchi นิทรรศการนี้ได้เปิดมิติอันหลากหลายที่มีต่อภาพจำของรองเท้าโลฟเฟอร์ Horsebit ผ่านการตีความอันแปลกใหม่โดยการผสมผสานงานแฟชั่น ศิลปะ รวมถึงองค์ประกอบภาพและเสียงเข้าด้วยกัน อย่างส่วนที่ทำเป็นชั้นวางของที่มีงานดีไซน์ของ Horsebit ในรูปแบบรองเท้ารุ่นแรก กระเป๋ารุ่นแรก และชิ้นเด่นๆ ที่มี Horsebit เป็นส่วนประกอบ ความเก๋อยู่ที่การจัดแสดงที่นำเอารูปทรงต่างๆ มาเป็นส่วนประกอบ ไม่ว่าจะเป็นมือของหุ่น หรือแม้แต่ม้าจำลองตัวเล็กๆ ทำเอาต้องหยุดพินิจดูแต่ละชิ้น
ในปี 1953 Aldo Gucci เลือกนำเอา Horsebit โลหะที่เกิดจากชิ้นส่วนของบังเหียนม้ามาประกอบใหม่คือห่วง 2 ห่วงที่อาจจะมาจากโกลนเชื่อมกันด้วยชิ้นส่วนที่เป็นแท่งหรือ bar โดยมีห่วงเล็กๆ เกี่ยวกันไว้ โดยชิ้นส่วนที่สร้างสรรค์ให้เป็นรูปทรงใหม่นี้ถูกนำมาประดับรองเท้าโลฟเฟอร์จนกลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญของ Gucci และด้วยความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ที่สื่อถึงตัวตนของแบรนด์ อีกสองปีต่อมา คือปี 1955 ชิ้นส่วนที่เรียกว่า Horsebit นี้ได้ถูกนำมาประดับตรงส่วนล็อกของกระเป๋า และกลายเป็นดีเอ็นเอของ Gucci ในเวลาต่อมา Horsebit ได้รับการตีความอย่างหลากหลาย ทั้งบนฮาร์ดแวร์และลวดลายต่างๆ ของแอคเซสเซอรี่ เครื่องประดับ และเสื้อผ้าตลอดกว่า 7 ทศวรรษที่ผ่านมา
เมื่อเข้ามาในห้องจัดแสดงจะมีโต๊ะที่หน้าโต๊ะเลื้อยขดไปมาเป็นโต๊ะขนาดใหญ่ แต่เก๋ตรงที่ขาโต๊ะทำเป็นขาที่สวมกางเกงและสวมรองเท้า Horsebit โดยส่วนผนังกลายเป็นที่จัดแสดงภาพงานสร้างสรรค์ดีไซน์ที่เกี่ยวกับ Horsebit แต่อยู่ในรูปที่เป็นสัตว์ชนิดต่างๆ สวมดีไซน์ที่มี Horsebit เป็นส่วนประกอบ ส่วนในห้องห้องหนึ่งที่จัดแสดงภาพยนตร์สั้นเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับ Horsebit ในดีไซน์หรือโลโก้ต่างๆ โดยทำร่วมกับการดีไซน์ตัวอักษรหรือ typography ที่สอดคล้องกับยุคสมัยของดีไซน์ Horsebit ในแต่ละทศวรรษ นอกจากนี้ภายในงานยังมีการแสดงที่เลื่องชื่อมาอย่างยาวนานของ Candela Capitán ศิลปินและนักออกแบบท่าเต้นชาวสเปน และเสียงเพลงจากบรรดาดีเจของค่ายเพลงอิเล็กทรอนิกส์ระดับตำนานจากปารีสอย่าง Ed Banger
ตัวนิทรรศการมาจากจินตนาการถึงขนบของคันทรีคลับในพื้นที่ร่วมสมัยที่หลอมรวมเข้ากับจิตวิญญาณของวัฒนธรรมใต้ดิน คัดสรรโดย Alessio Ascari บ่งชี้ถึงความไร้กาลเวลาสำหรับ Gucci และ Horsebit


Gucci Horsebeat Society ตามรอยสัญลักษณ์ Horsebit สู่ที่มาของโลกแห่งการขี่ม้าผ่านภาพจินตนาการของคันทรีคลับแบบดั้งเดิมบนพื้นที่จัดแสดงแบบร่วมสมัยที่เติมเต็มด้วยจิตวิญญาณเสรีของศิลปะ ก่อเกิดเป็นคอนเซปต์ของ ‘house’ ในหลากมิติซึ่งแวดล้อมปลุกประสาทสัมผัสและผลงานศิลปะชิ้นพิเศษของศิลปิน 10 คน มาพร้อมสไตล์อันแตกต่างตั้งแต่ศิลปะแบบประยุกต์ไปจนถึงงานศิลปะดิจิตอล การจัดวางที่คาดไม่ถึงเชื่อมโยงผลงานแต่ละชิ้นไว้ด้วยกันจนกลายเป็นการนำเสนอ Horsebit ไอคอนคลาสสิกเหนือกาลเวลาในรูปแบบนามธรรมอันเปี่ยมไปด้วยความสร้างสรรค์
ภายในคอร์ทยาร์ดของ Spazio Maiocchi จัดแสดงผลงานของ Harry Nuriev ศิลปินมัลติมีเดียและสถาปนิกชาวรัสเซียจาก Crosby Studios ในบรู๊คลิน ที่มาสร้างสรรค์พื้นที่ ‘patio’ ในจินตนาการ โดยนำ Horsebit มาใช้ในการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ตกแต่ง ในขณะที่ Anna Franceschini ศิลปินทัศนศิลป์ชาวอิตาลี นำเสนอ ‘cabinet of curiosities’ โดยเลือกเฟ้นชิ้นงานทรงคุณค่าในอดีตของ Gucci มาจัดแสดง ส่วนของ ‘bedroom’ ที่เปิดออกสู่ลานด้านใน เผยให้เห็นภาพถ่ายสะกดสายตาของช่างภาพชาวอเมริกัน Charlie Engman ที่เข้ากันได้เป็นอย่างดีกับงานศิลป์จากประวัติศาสตร์หนึ่งเดียวในงานอย่าง Bedroom Ensemble II ที่จัดแสดงในปี 1998 ของศิลปินชาวสวิส Sylvie Fleury โดยในครั้งนี้ปรับแต่งใหม่ด้วยวอลเปเปอร์ลวดลาย Horsebit ที่ออกแบบขึ้นเป็นพิเศษสำหรับนิทรรศการนี้โดยเฉพาะ กลายเป็นฉากหลังเสริมความโดดเด่นให้กับรองเท้าส้นสูง Horsebit สีแดงของ Tom Ford จากคอลเลกชั่น Gucci Fall-Winter ปี 1995
เมื่อเข้ามาในห้องแกลเลอรี่หลัก ผู้ชมจะได้ตื่นตาตื่นใจกับพื้นที่ ‘dining room’ ซึ่งมีโต๊ะสไตล์เซอร์เรียลลิสต์ที่ออกแบบโดย Pitterpatter ประติมากรชาวอเมริกัน ตั้งอยู่พร้อมกับรูปแขวนผนังของเหล่าบรรดาสัตว์สุดแฟนตาซีจากฝีมือของ Blatant Space ศิลปินดิจิตอลชาวแคนาดา ซึ่งเราจะเพลิดเพลินกับการชมสิ่งที่นำเสนอต่อยอดจินตนาการได้อย่างกว้างไกล อีกห้องที่พลาดไม่ได้คือห้องฉายภาพยนตร์ เพลิดเพลินไปกับผลงานของช่างภาพและผู้สร้างภาพยนตร์ชาวอังกฤษอย่าง Bolade Banjo ที่จะพาเราย้อนไปถึงที่มาที่ไปของสัญลักษณ์ Horsebit ผ่านการฉายภาพจากประวัติศาสตร์และภาพร่วมสมัยต่างๆ และเชิญดื่มด่ำไปกับประสบการณ์การรับชม ‘light sculptures’ ท่ามกลางความมืดสนิท ผลงานของ Gyuhan Lee ดีไซเนอร์ชาวเกาหลีใต้ที่เลือกตีความลวดลาย Horsebit ใหม่ด้วยงานศิลปะบนกระดาษฮันจิแบบดั้งเดิม ซึ่งทำได้น่าสนใจมากๆ และเป็นการเล่นแบบตัวอักษรหรือ typography ได้อย่างน่าสนใจ
ตั้งแต่เปิดตัวในปี 1953 สไตล์แคชวลแต่หรูหราของรองเท้าโลฟเฟอร์ Horsebit ได้กลายเป็นสิ่งสะท้อนถึงแนวคิดเรื่องการแต่งกายตามขนบเดิมที่เปลี่ยนแปลงไปสู่ความเป็นเสรีนิยมมากยิ่งขึ้น เห็นได้จากภาพที่ปรากฏอยู่ตลอดประวัติศาสตร์ของแบรนด์ ในช่วงยุค ’60s ไอเท็มดังกล่าวได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเสื้อผ้าของคนดังในวงการภาพยนตร์อย่าง Francis Ford Coppola, Fred Astaire และ Alain Delon ก่อนที่จะเป็นที่ชื่นชอบของวัยรุ่นยุค ’70s อย่างที่เห็นในภาพถ่ายของ Jodie Foster ที่กำลังเล่นสเก็ตบอร์ดในปี 1977 ต่อมาในช่วงทศวรรษ ’80s รองเท้าคู่เด่นถูกปรับเปลี่ยนให้เข้ากับวัฒนธรรมของผู้หญิงทำงานสมัยใหม่ ก่อนที่เปลี่ยนโฉมอีกครั้งให้สอดคล้องกับภาพลักษณ์หรูหราสุดเย้ายวนใจของ Gucci ในช่วงยุค ’90s จวบจนถึงช่วงทศวรรษ 2010s แบรนด์ได้มอบความคลาสสิกแบบใหม่ให้กับสัญลักษณ์ Horsebit ด้วยรองเท้าทรงใหม่อย่างรองเท้าสลิปเปอร์ Princetown บุขนแกะที่รังสรรค์ผ่านมุมมองแห่งสไตล์แสนรุ่มรวย


ส่งท้ายด้วย ‘closet’ พื้นที่ประดับตกแต่งด้วยวอลเปเปอร์ลายภาพปะติดจากพื้นจรดเพดานฝีมือของ Ed Davis ศิลปินชาวออสเตรเลียที่สื่อสารเรื่องราวเหนือจินตนาการได้เป็นอย่างดีกับหุ่นโชว์ลุคเด่นจากคอลเลกชั่น Gucci Spring Summer 2024 สำหรับผู้ชาย ความโดดเด่นที่ลายพิมพ์ซึ่งมีกลิ่นอายของกราฟิกในยุค ’80s ที่นิยมซูเปอร์เรียลลิสติก แม้ลวดลายจะเกิดจากลวดลายที่เป็นไอคอนิกของ Gucci แต่ถูกนำมาเรียงร้อยใหม่ในรูปแบบที่มีความคมชัดเหนือจริง อย่างลาย Horsebit ที่ขยายให้ใหญ่ขึ้นทำลวดลายให้เสมือน Horsebit ทำจากโครเมี่ยมผิวมันวาวมาต่อลายเข้าด้วยกัน หรือลวดลายdouble G ที่นำมาทำเหมือนลายถูกจับยืดแบบเงาสะท้อนบนระลอกผิวน้ำ หรือการคอลลาจลวดลายต่างๆ ให้เกิดเป็นลายใหม่ และลายนี้ยังถูกนำมาใช้เป็นลวดลายบนผนังห้องอันเป็นฝีมือของศิลปินชาวออสเตรเลีย Ed Davis ทั้งหมดถูกคุมด้วยโทนสีน้ำเงิน-ขาว โดยมีกระเป๋า Horsebit ดีไซน์ใหม่ที่เน้นความมินิมัลลิสม์มากยิ่งขึ้น แม้กระเป๋าจะเป็นลายดับเบิ้ลจี แต่ลายนูนของ Horsebit ที่มีขนาดใหญ่นั้นทำได้อย่างน่าสนใจมาก น่าจะเป็นอีกหนึ่งกระเป๋าฮิตของฤดูร้อนหน้าอย่างแน่นอน
Gucci Horsebeat Society มีรายละเอียดของศิลปินที่มาร่วมงานดังนี้ Alessio Ascari ครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ชาวอิตาลีและภัณฑารักษ์ของ Spazio Maiocchi ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการของ Kaleidoscope นิตยสารศิลปะและวัฒนธรรมร่วมสมัยระดับโลก ผลงานของเขาที่ Spazio Maiocchi ได้รวบรวมเอาพลังความคิดสร้างสรรค์อันหลากหลายเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องอยู่เสมอ
Bolade Banjo ช่างภาพชาวอังกฤษผู้ทำงานเกี่ยวกับการเฉลิมฉลองและส่งเสริมคุณค่าของชีวิตมนุษย์ผ่านภาพถ่าย เขาใช้เทคนิคการถ่ายภาพแบบอนาล็อกเพื่อสร้างสรรค์งานศิลป์ที่จับต้องได้ผ่านการผสมผสานสีสันงานคอลลาจ และการเล่นกับโทนสี




ความโดดเด่นที่ลายพิมพ์ซึ่งมีกลิ่นอายของกราฟิกในยุค ’80s ที่นิยมซูเปอร์เรียลลิสติก แม้ลวดลายจะเกิดจากลวดลายที่เป็นไอคอนิกของ Gucci แต่ถูกนำมาเรียงร้อยใหม่ในรูปแบบที่มีความคมชัดเหนือจริง

Candela Capitán ศิลปินการแสดงและนักออกแบบท่าเต้นชาวสเปน เธอสร้างพื้นที่แห่งความฝันคู่ขนานกับความเป็นจริง เพื่อค้นพบสภาวะความตึงเครียดและความสุขของร่างกายที่เคลื่อนไหวสัมพันธ์กันกับร่างกายและวัตถุอื่นๆ รวมถึงตัวผู้ชม และเครื่องจักรต่างๆ
Ed Davis กราฟิกดีไซเนอร์ชาวออสเตรเลียและนักเซอร์เรียลลิสต์หัวขบถ รวบรวมนำเอาภาพที่มีอยู่แต่เดิมมาตัดเสริมเติมแต่งเพื่อเก็บรักษาไว้ผ่านรูปแบบใหม่ มุมมองของเขาครอบคลุมถึงศิลปะหลากหลายแขนง ตั้งแต่ศิลปะคอลลาจ งานออกแบบกราฟิก และการสร้างสรรค์ภาพอัตลักษณ์
Charlie Engman ช่างภาพชาวอเมริกันผู้ท้าทายแนวคิดการสร้างสรรค์ภาพถ่ายแบบดั้งเดิม ผลงานล่าสุดของเขาคืองานศิลปะจาก AI ที่เปี่ยมไปด้วยความแปลกใหม่น่าอัศจรรย์ใจ แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของเขาในการผลักดันขีดจำกัดของการสื่อสารด้วยภาพอย่างต่อเนื่อง
Sylvie Fleury ศิลปินมัลติมีเดียชาวสวิส ผลงานของเธอโดดเด่นด้วยการสื่อความหมายด้วยภาพอย่างท้าทาย และการเชื่อมโยงกันระหว่างแฟชั่นและศิลปะ ความปรารถนาและเฟทิชิซึม เธอเลือกนำเอาวัตถุอย่างเช่น รถยนต์ ไฟนีออน หรือพาเลตต์แต่งหน้ามาใช้ในบริบทของงานศิลป์ ทำให้ผู้ชมมองเห็นสิ่งต่างๆ เหล่านี้ในมุมที่ต่างไปจากเดิม
Anna Franceschini ศิลปินทัศนศิลป์ชาวอิตาลีผู้หลงใหลในการค้นหาความหมายและรูปแบบการจัดแสดงของวัตถุโบราณ เธอมุ่งมั่นที่จะขยายขอบเขตนิยามของงานประติมากรรมที่มีชีวิต ผ่านผลงานการรังสรรค์วัตถุแห่งความปรารถนาแบบเคลื่อนไหวได้ที่อยู่กึ่งกลางระหว่างงานศิลปะ แฟชั่น และภาพยนตร์
Gyuhan Lee นักออกแบบประติมากรรมจากเกาหลีใต้ผู้รังสรรค์ชิ้นงานที่เล่นกับแสงแบบมินิมัลลิสต์ เขาตั้งคำถามถึงบทบาทของขยะและการบริโภคผ่านการผสมผสานการใช้กระดาษรีไซเคิลเข้ากับฮันจิ งานฝีมือเก่าแก่ของเกาหลี
Harry Nuriev สถาปนิกและศิลปินมัลติมีเดียชาวรัสเซียจาก Crosby Studios ที่บรู๊คลิน ผลงานการตกแต่งภายในไปจนถึงศิลปะการจัดแสดงเสมือนจริงของเขาเน้นมอบประสบการณ์การเปลี่ยนแปลงที่ ‘แต่งแต้มพื้นที่’ และทำให้ผู้เข้าชม ‘เข้าถึงความรู้สึกใหม่’ ได้อย่างแท้จริง
Pitterpatter ศิลปินนักสร้างสรรค์ประติมากรรมและเฟอร์นิเจอร์ชาวอเมริกัน ผลงานโต๊ะ ‘Boot-legs’ อันโด่งดังของเขาเริ่มต้นขึ้นจากงานสไตล์กอริลล่าบนท้องถนนเมื่อต้นปี 2022 ก่อนจะกลายเป็นที่คลั่งไคล้ ด้วยการเล่นสนุกกับแฟชั่นล้อเลียนของจริง
Blatant Space ศิลปินดิจิตอลจากแคนาดาผู้ทดลองเกี่ยวกับการสร้างสรรค์และปรับแต่งรูปภาพ เขาออกแบบตัวละครแฟนตาซีสุดแปลกตาเหนือจินตนาการจากการเบลอเส้นแบ่งระหว่างความเป็นมนุษย์ สัตว์ และปัญญาประดิษฐ์ เพื่อนำพาผู้ที่ได้รับชมไปสู่โลกใบใหม่แห่งศิลปะ
งานสร้างสรรค์สุดตระการตาเฉลิมฉลองครบรอบ 70 ปีของการรังสรรค์รองเท้าโลฟเฟอร์ Horsebit อันเป็นเอกลักษณ์ ผ่านงานศิลปะการจัดแสดงโดยศิลปิน นักออกแบบ และครีเอทีฟระดับโลกกว่าสิบคน ถือเป็นกรอบเรื่องราวที่ใช้ในการนำเสนอคอลเลกชั่นผู้ชายในครั้งนี้ ได้จัดทำขึ้นอย่างพิถีพิถันและให้รายละเอียดถึงจุดเด่นของนิทรรศการอย่าง Horsebit ได้อย่างลุ่มลึก และสร้างความประทับใจให้กับผู้มีโอกาสได้มาชมนิทรรศการนี้เป็นอย่างมาก เป็นอีกโฉมหนึ่งของการตีความที่ทำให้เรามองเห็นความยิ่งใหญ่ของอดีตและความรุ่งเรืองของอนาคตที่จะมาถึง