คุยกับมีน – พีรวิชญ์ กับชีวิตหลังเลิกเล่นซีรีส์วาย พร้อมความท้าทายใหม่ใน Mondo หนังที่พูดถึง chatbot ก่อนมี ChatGPT!

Author: Neeraj Trirongaubon

Photography: Courtesy of Sahamongkol International

สารภาพตามตรงว่าเรามักจำหน้าของมีน – พีรวิชญ์ อรรถชิตสถาพร สลับกับนักแสดงหน้าตี๋รุ่นใหม่อีกหลายคน ในยุคที่ดาราวัยรุ่นผุดขึ้นมากเหมือนเห็ดในป่าร้อนชื้น และซีรีส์วายเป็นแกงหม้อใหญ่ที่ทุกคนอยากตักตวงผลประโยชน์จากความนิยมนี้เอาไว้ให้มากที่สุด แต่ไม่ใช่กับมีนที่เขาประกาศว่าเลิกเล่นซีรีส์วายเมื่อ 3 ปีที่แล้ว นี่ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญเพราะเหมือนกับเป็นการนับหนึ่งใหม่อีกครั้งในวงการบันเทิง

แม้ว่ามีนจะรับบทบาทนักแสดงนำในภาพยนตร์เรื่อง ‘MONDO รัก | โพสต์ | ลบ | ลืม’ ของมะเดี่ยว – ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ซึ่งมีกำหนดฉายในวันที่ 10 สิงหาคมนี้ แต่ประวัติเขาในวิกิพีเดียอัพเดทถึงปีที่แล้วเท่านั้น สะท้อนว่า ‘มัมหมี’ ของเขาไม่ได้แอคทีฟเมื่อเทียบกับดาราคนอื่นๆ (โดยเฉพาะในซีรีส์วาย) เส้นทางที่เลือกแล้ว และความสามารถที่ต้องพิสูจน์ เป็นสิ่งที่เขาต้องรับผิดชอบ มีนจะทำได้ไหมกับความโด่งดังของดารารุ่นใหม่โดยไม่ต้องเกาะขบวนไปกับซีรีส์แบบชายชอบชาย

คุณล่ะ คิดว่าเขาจะทำได้ไหม

หนังของพี่มะเดี่ยวเรื่องไหนที่มีนชอบมากที่สุด

“ผมรู้จักเรื่องแรกเลยคือ รักแห่งสยาม (2550) แต่จริงๆ ชอบ 13 เกมสยอง (2549) มาก รู้สึกว่าพี่มะแกเป็นคนมาก่อนกาลนิดนึง ไม่รู้ว่าเขามีไอเดียนี้มาจากไหน มักจะมีแนวคิดใหม่ๆ ที่อนาคตอันใกล้จะมีสิ่งนั้นเกิดขึ้น”

แล้วครั้งแรกของการร่วมงานกับพี่มะเดี่ยวเป็นยังไงบ้าง

“ก่อนที่จะมาร่วมงานเรื่องนี้ มีเพื่อนในสังกัดผมคนนึงได้ไปแจมโปรเจ็คท์เล็กๆ กับพี่มะเดี่ยว แล้วก็ได้ยินชื่อเสียงมาว่า พี่มะเดี่ยวโหดมาก ดุมาก ตอนแรกเราก็กังวล แต่พอเราไปร่วมงานจริงๆ ไม่ได้รู้สึกว่าพี่เขาน่ากลัวขนาดนั้น อาจเพราะว่าสไตล์การทำงานค่อนข้างคลิกกัน ผมเป็นคนที่ทำอะไรจริงจัง อยากพัฒนาตัวเราให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ แชร์กับพี่มะเดี่ยวเยอะมากๆ แล้วก็สู้กับพี่มะเดี่ยวเยอะมากเหมือนกัน มีมุมที่พี่มะเดี่ยวใจดีกับเราและคาแรคเตอร์เราด้วย สมมติเทคนี้เขาบอกผ่านแล้ว แต่ผมขอลองเล่น เขาก็ให้โอกาส เขาเป็นผู้กำกับที่เข้าใจตัวละครมาก แล้วก็เข้าใจเราในฐานะนักแสดงด้วย เข้าใจภาพรวมทั้งหมดที่จะสื่อสาร ว่าอยากจะเล่าอะไร”

คิดว่าเราได้อะไรมากที่สุดจากการทำงานกับพี่มะเดี่ยว

“เรื่องการสื่อสารกับผู้กำกับ เพราะผมกับพี่มะเดี่ยวสื่อสารกันค่อนข้างเยอะ ตัวละครทำแบบนี้ดีไหม ลองทำแบบนี้กันไหม บางซีนผมทำไม่ตรงตามบทเลย เพราะมันคือการลอง แต่ก็ไม่รู้ว่าสุดท้ายเขาจะเลือกใช้เทคไหน ส่วนในเรื่องมอนโด สิ่งที่ได้เรียนรู้เลยก็จะเป็นการเล่นกับ CGI เพราะยากมาก! (หัวเราะ) ต้องจินตนาการเองว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ทีมก็ดีมาก คอยวาดรูปตัวอย่างให้ดูคร่าวๆ ว่าจะเป็นประมาณนี้นะ หน้าที่ของเราก็คือจินตนาการ เชื่อมั่น มีซีนหนึ่งที่ต้องผ่าน 10 สถานที่ในซีนเดียว ซึ่งผมต้องคอยสร้างอารมณ์ให้มันต่อเนื่อง คือผมแค่หันไปหันมา พูด 3-4 คำ แต่สถานที่มันเปลี่ยนเป็นสิบที่เลย แล้วไม่ได้ถ่ายต่อกัน แต่เว้นช่วงเป็นอาทิตย์ อันนี้ก็คือความยากของเราที่ต้องทำการบ้าน”

คนดูจะได้เห็นอะไรใหม่ๆ จากมีนใน ‘MONDO รัก | โพสต์ | ลบ | ลืม ไหม

“จะได้เห็นคาแรคเตอร์ที่ต่างออกไปแบบไม่ใช่เราเลย ตัวละคร ‘หวัง’ ที่ผมได้รับเป็นผู้ผลิต AI ชื่อ ‘มอนโด’ ขึ้นมา มันน่าสนใจตรงช่วงที่ถ่ายทำทุกคนยังไม่รู้จัก ChatGPT ด้วยซ้ำ พอมันเกิดขึ้นจริงผมก็ว่าสิ่งนี้มันเปลี่ยนโลกได้เลยนะ แต่ก็อยากชวนให้ทุกคนลองมาดูแล้วแชร์ความคิดเห็นกับ AI ในเรื่องนี้ เพราะมอนโดมันเป็นหนังรักที่พูดถึงการตัดสินใจของคนยุคปัจจุบัน ในวันที่เทคโนโลยีเข้ามามีผลในการตัดสินใจของเรามากขึ้นในฐานะผู้ช่วยในการตัดสินใจโดยที่เราก็ไม่รู้ว่ามันเป็นใคร คิดว่าทุกคนจะเข้าถึงมันได้ไม่ยาก”

ถ้าย้อนกลับไปหามีนใน 3 ปีก่อน ช่วงที่เรากำลังมีชื่อเสียงเพราะซีรีส์วาย แล้วต้องมารับบทนี้ จะเล่นได้ไหม

“(คิด) ถามว่าได้ไหม ก็ได้แหละ แต่อาจจะต่างกันไป ผมว่าสุดท้ายแล้ว ด้วยอาชีพของเรา มันก็พบเจออะไรมา วิธีการแสดงหรือความเข้าใจตัวละครก็อาจจะต่างไป อีก 5 ปี ผมกลับมาเล่นตัวละครนี้ มันก็เปลี่ยนไป ผมว่ามันไม่มีดีหรือไม่ดีหรอก อยู่ที่ว่าเราจะสื่อสารมันออกมายังไง”

ชอบคำว่า ‘ด้วยอาชีพของเรา’ เพราะรู้มาว่ามีนไม่ได้สนใจการแสดงแต่แรก

“แต่ก่อนไม่เคยมีเรื่องวงการบันเทิงอยู่ในหัวเลย ไม่ดูละครด้วยซ้ำ แต่ชอบดูโฆษณา ผมโตมากับเกมเพราะที่บ้านเปิดร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ แล้วก็เล่นกีฬา วันหนึ่งตอน ม.5 มีโอกาสเข้ามาครั้งแรก ก็แค่รู้สึกว่าว่างอยู่ ทำดูก็ไม่เป็นไร อาจจะดูแปลก (หัวเราะ) อยากรู้ว่าขีดจำกัดของตัวเองอยู่ตรงไหน พอลองก็รู้สึกว่ามันไปได้อีก จนกระทั่งวันที่ได้รู้จักกับการแสดงมากขึ้นก็รู้สึกว่ามันสนุกดี ชอบ แล้วก็ชื่นชอบมาเรื่อยๆ ใช้เวลาหลายปีเหมือนกัน”

มีหนังเรื่องนึงที่มีนต้องทำตอนเรียนอยู่ปี 4 แต่ไม่ได้ทำเพราะโควิดมาก่อน เนื้อหามันเกี่ยวกับอะไร

“ตลกมากเลย เกี่ยวกับผู้ชายคนหนึ่งที่จู๋เขาหายไป (หัวเราะ) ผมอยากสื่อสารเรื่องราวเกี่ยวกับเพศ มีช่วงหนึ่งที่กลุ่มคนหลากหลายทางเพศถูกนำไปเล่นเป็นบทตลก เราก็พยายามบอกว่า เฮ่ย จริงๆ แล้วเขาไม่ควรเป็นได้แค่นั้น ควรมีบทบาทที่เหมาะสมกับเขา ไม่ต้องแคร์เรื่องเพศ แล้วผมก็รู้สึกว่าวันหนึ่งทุกคนซีเรียสและพยายามพูดเกี่ยวกับประเด็นนี้ด้วยท่าทีที่จริงจังเกินไป ส่วนตัวผมโอเค แต่สำหรับคนบางกลุ่มเขารู้สึกว่าทำไมต้องจริงจังขนาดนี้ คำถามคือเราสามารถคุยประเด็นนี้ในท่าทีเล่นๆ ได้ไหม ไม่ได้บอกว่าเราจะทำให้เป็นเรื่องตลกขบขัน แต่อยากคุยประเด็นนี้ด้วยท่าทีที่มันสบายขึ้น ซึ่งบทดราฟท์แรกของเรื่องนี้ที่ผมเขียนมา ทุกคนด่าผมหมดเลย ผมก็มีเพื่อนที่มีความหลากหลายเยอะนะ แต่คิดว่าที่เราโดนด่าเพราะเป็นผู้ชายแล้วมาทำเรื่องแบบนี้ โดนด่า โดนหมดเลย ทุกคนไม่เก็ทด้วย จริงๆ เรฟมันจะออกมาคล้ายหนังเรื่อง Jojo Rabbit (2562 โดยไทก้า ไวติติ) แนวดาร์คคอมเมดี้ แต่สุดท้ายไม่ได้ทำเพราะโควิด จะออกกองอยู่แล้วอีกภายในไม่ถึงเดือน”

ทำไมถึงคิดว่าทำหนังตลกได้ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ตลก

“นั่นน่ะสิ ผมเห็นคนที่เขาทำงานตลกกันเขาก็ไม่ใช่คนตลกนะ (หัวเราะ) คือผมรู้สึกว่าคอมเมดี้เป็นทางที่เราไม่ถนัดที่สุด เลยอยากทำ คนอื่นเขาทำดราม่ากันหมดแล้วและมันไม่ค่อยท้าทายเท่าไร ผมว่าคอมเมดี้ท้าทายมากกว่า เลยอยากลองดู”

พอไม่ได้ทำหนังจบ เลยมาทำสารนิพนธ์ในหัวข้อ ‘วิดีโอ สตรีมมิ่ง’ เราไม่เชื่อในสื่อยุคเก่าแล้วหรือเปล่า

“ผมยังเชื่อในทีวี ในโรงหนัง ในละครเวทีอยู่ ผมรู้สึกว่าออนไลน์มันทำได้หลากหลาย แต่อรรถรสในการดูมันก็ยังต่างกันอยู่ดี สุดท้ายแล้วคนในประเทศไทยหรือคนทั่วโลกก็ยังอยากได้รับอรรถรสที่แตกต่างกันในการรับสื่อ ดังนั้นว่าโรงหนัง ทีวี วิทยุ เวที ไม่มีทางตาย มีแต่มันจะเพิ่มคุณค่ามากขึ้น ซึ่งการที่มันมีคุณค่ามากขึ้นอาจทำให้กลุ่มคนทำงานเล็กลง แต่คนกลุ่มนี้จะมีคุณภาพมากขึ้น ต้องทำออกมาให้ดีถึงจะอยู่ได้”

แล้วพอมีนเข้าวงการจากบทตัวประกอบ เวลาเป็นตัวเล็กๆ นัดเช้าถ่ายบ่าย บางทีก็ยกกอง รู้สึกยังไง

“รู้สึกเบื่อ (หัวเราะ) ทุกวันนี้ผมว่าก็ยังรู้สึกเหมือนเดิมนะ ยอมรับเลยว่าเบื่อที่ต้องไปรอ แล้วทำอะไรไม่ได้”

ในฐานะที่เราชอบงานเบื้องหลัง จบฟิล์มมาด้วย ถ้าเลือกพัฒนาวงการบันเทิงได้ จะทำอะไรเป็นอย่างแรก

“ผมรู้ว่ารัฐบาลมีงบอยู่ก้อนหนึ่งสำหรับให้วงการภาพยนตร์ ผมอยากให้เอางบก้อนนี้เนี่ย โยนให้ใครทำก็ได้ กระจายไปให้มันหลากหลายกว่านี้ คนไทยชอบบอกว่าหนังไทยย่ำอยู่กับที่ คนทำหนังก็บอกว่าทำหนังใหม่คนไทยก็ไม่ดู สุดท้ายคนไทยก็ยังดูผี-พระ-ตลก แล้วมันผิดที่ใคร งั้นเราก็โยนเงินทิ้งๆ ขว้างๆ ไปเลยไหม เพื่อให้มันเกิดสิ่งใหม่ๆ ไม่จำเป็นว่าสิ่งนั้นต้องดีหรือไม่ดีนะ แต่รู้ว่ามันคือสิ่งใหม่ ให้คนรู้ว่าหนังไทยยังมีความหลากหลายอยู่ โยนไปสัก 10 เรื่อง มันอาจจะมีเรื่องหนึ่งที่เห็นอนาคตก็ได้ ให้เห็นความเป็นไปได้ ผมรู้สึกว่าตอนนี้สมการของการสร้างหนังไทยคือค่ายก็อยากได้เงิน คนทำหนังนอกกระแสก็อยากได้กล่อง แต่ไม่มีใครสร้างเพื่อความหลากหลาย ผมรู้สึกว่านี่แหละคือโจทย์สำคัญที่ยังไม่ค่อยมีในประเทศไทยเท่าไหร่”

ความสุขของมีนตอนนี้เกิดจากอะไร

“คือแพสชั่นในการทำงาน ผมรู้สึกว่าการทำงานละครต้องอยู่กับตัวละครและทีมงานกลุ่มคนเดิมๆ เป็นเวลานาน บางครั้งก็ยอมรับว่ามีจังหวะที่แพสชั่นมันหายไป เพราะรู้อยู่แล้วว่าเราจะเจออะไร แต่ความสุขของผมคือตื่นเต้นกับเรื่องใหม่ๆ ที่จะได้เจอ เราจะทำได้ไหม เรารู้สึกว่าอยากทำให้ดี ให้คนจดจำ”

ถ้ามีเวลา 10 วันได้อยู่กับตัวเอง ไม่มีงาน ไม่มีคนโทรตาม ไปไหนไม่มีใครรู้จัก อยากทำอะไร

“ผมจะไปเป็นคนไร้บ้าน (หัวเราะ) เป็นโฮมเลสที่มีสติปัญญาครบนะ ผมอยากไปเห็นมนุษย์คนอื่นโดยที่เขาไม่ต้องมาสนใจว่าเราเป็นใคร เป็นโอกาสที่ดีที่เราจะได้รู้จักกับตัวตนอื่นๆ ที่อยู่บนโลกใบนี้โดยที่ไม่ต้องแคร์อะไรมาก ไม่มีอะไรมาวุ่นวายอยู่รอบตัวเรา”

‘MONDO รัก | โพสต์ | ลบ | ลืม’ เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ ตั้งแต่วันที่ 10 สิงหาคมนี้เป็นต้นไป