จากเด็กสาวผมสีน้ำเงินผู้คัฟเวอร์ท่อนฮุคเพลง Hype Boy สู่ผู้ร่วมเข้าแข่งขันรายการ Queendom Puzzle หนทางสู่ดวงดาวของฝ้าย – สุมิตตา ดวงแก้ว นั้นไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินความทะเยอทะยานของเธอไปได้

Share This Post

- Advertisement -

Photographer: Napat Gunkham

Fashion Editor: Chanond Mingmit

Author: Pacharee Klinchoo

มาลงคอลัมน์ดิจิตอลอย่าง L’Officiel Hommes Crush พูดเรื่องทัศนคติของตัวเองในเรื่องความรักความสัมพันธ์หน่อย

“ถ้าเอาจริงๆ เรามองว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวนะ เมื่อก่อนก็เคยรู้สึกแหละว่ามีแฟนก็อยากจะอวดแฟน แต่พออยู่วงการนี้ไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกใหม่ว่าทำไมฉันต้องประกาศด้วยนะ เหมือนยิ่งเราโตขึ้น เรายิ่งรู้สึกอยากเก็บเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวให้ได้มากที่สุด ยิ่งคนรู้เรื่องความสัมพันธ์เราเยอะเท่าไหร่ ปัญหาจากข้างนอกมันจะเข้ามาแทรกระหว่างเรามากขึ้น และเรารู้สึกสบายใจกว่าด้วยนะถ้าเราไม่ต้องเปิดเผยเรื่องเหล่านี้มากมาย”

การรักษาความสัมพันธ์ส่วนตัวแต่ต้องอยู่ในแสงไฟตลอดเวลาแบบนี้ ฝ้ายรู้สึกว่ามันยากมากไหม

“มันก็ยากเหมือนกันนะ เพราะเรารู้อยู่แก่ใจว่า การอยู่ในพื้นที่สาธารณะ ปัญหาจากข้างนอกมันเยอะมากขนาดไหน ความเป็นพิษในสังคมสมัยนี้มันมากขึ้น และเราก็ไม่อยากให้คนของเรามาเจอ เรื่องแบบที่เราเจอ คือสังคมออนไลน์มันค่อนข้างน่ากลัวจริงๆ นะ เราไม่อยากให้เขามารับปัญหาไปด้วย เราก็เลยเลือกที่จะไม่เปิดตัวในที่สาธารณะค่ะ”

ฝ้ายมองอนาคตตัวเองในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งไว้อย่างไร ทั้งในเรื่องความรักและเรื่องการสร้างครอบครัว

“เราคิดว่าเราแต่งงานช้าแน่ๆ ตอนนี้เดาเอาว่าน่าจะแต่งตอนอายุ 37 เลย เพราะเรารู้สึกว่าเรายังมีความฝัน ยังมีสิ่งที่อยากจะทำอยู่เยอะมาก เราอยากใช้ชีวิตเนอะ อยากไปเที่ยวรอบโลก อยากมีเวิลด์ทัวร์เป็นของตัวเอง มีหลายที่ที่ยังอยากไปอยู่ ถ้าเกิดว่าเรามีลูก หรือเราตัดสินใจแต่งงาน มันอาจจะเหนี่ยวรั้งเราไว้ เพราะเราต้องเลี้ยงลูก เรารู้สึกว่าชีวิตเรามันสั้นมาก ตอนนี้เราอายุ 26 แล้วยังใช้ชีวิตไม่ค่อยคุ้มเลย”

อยากทำอะไรในฐานะศิลปินบ้าง

“เราอยากมีเวิลด์ทัวร์ อยากออกอัลบั้ม และอยากให้คนได้ฟังเพลงที่เรากลั่นกรองมาจากข้างในจริงๆ อยากให้คนที่ฟังเพลงเราเขารู้สึกว่ามันรักษาใจเขาได้ มันให้แรงบันดาลใจอะไรบางอย่างกับเขาได้ และอยากให้เขาชอบเพลงที่เราทำค่ะ”

ฝ้ายมีส่วนร่วมในการทำเพลงแต่ละเพลงมากขนาดไหน

“ทุกกระบวนการเลยค่ะ ตั้งแต่โปรดิวซ์ร่วม แต่งทำนอง แต่งเนื้อ แต่งท่อนคอรัส ทุกอย่างทำเองเกือบหมดเลยค่ะ อีดิตเสียงร้องก็ทำเองนะ”

เอาเนื้อหาจากชีวิตตัวเองมาใส่ขนาดไหน

“เยอะค่ะ น่าจะประมาณ 80% ได้เลย”

เวลาเอาเรื่องราวของตัวเองมาเล่าในเพลง เคยรู้สึกกลัวว่าจะโดนตัดสินบ้างไหม

“เรามองว่าเพลงเป็นพื้นที่ที่เราสามารถปลดปล่อยความรู้สึกตัวเองออกมาได้นะ เรารู้สึกว่ามันเป็นสถานที่อิสระของเรา เราเลยไม่ค่อยกลัวอะไรมากเท่าไหร่ ดนตรีของเรามันเหมือนเป็นสนามเด็กเล่นน่ะ มันคือที่เล่นของเรา เวลาเราทำเพลงกับพี่ๆ โปรดิวเซอร์คนไหน เราก็จะบอกว่า พี่ๆ ทำมาเลย ไม่ต้องตีกรอบอะไรมาก เราอยากให้อิสระในการทำเพลงนั้นๆ ไปด้วยกันกับทีมงานทุกคนน่ะค่ะ”

เวลาทำเพลง เริ่มต้นจากอะไรอันดับแรก

“เราเริ่มจากดนตรีกับอารมณ์ของเพลงก่อนเลยค่ะ แล้วค่อยแต่งทำนอง ใส่เนื้อเป็นลำดับสุดท้าย แต่ก็แล้วแต่คนทำด้วยนะคะ บางคนก็ขึ้นเนื้อหามาก่อน แล้วค่อยใส่ทำนอง และดนตรีมาหลังสุด แล้วแต่สไตล์คนเลยค่ะ”

เรื่องที่ฝ้ายเลือกจะเอามาเล่าเรื่อยๆ ในเพลงของตัวเอง ส่วนมากเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร

“เรื่องความรักค่ะ (ตอบทันที) และก็เรื่องชีวิตทั่วไป เพลงที่เรากำลังแต่งอยู่เนื้อหาเป็นประมาณว่าอยากจะออกจากกรอบของสังคมที่เราอยู่ตอนนี้ ไม่อยากทำอะไรเพื่อรับใช้ใครอีกต่อไปแล้ว อยากทำอะไรเพื่อตัวเองจริงๆ นี่น่าจะเป็นความในใจจริงๆ ของเราในตอนนี้นะ”

เห็นว่าฝ้ายกำลังจะไปทำงานที่เกาหลี (ในวันสัมภาษณ์ เธอเพิ่งได้รับคำคอนเฟิร์มว่าจะได้เข้าร่วมรายการ Queendom Puzzle อย่างเป็นทางการเมื่อไม่นาน และทุกอย่างยังคงเป็นความลับอยู่)

“ใช่ค่ะ เป็นรายการเซอร์ไววัลของประเทศเกาหลี ชื่อว่า Queendom Puzzle ตอนนี้เรายังไม่รู้ว่ามีผู้เข้าแข่งขันเป็นใครบ้าง เขาบอกว่ายังเป็นความลับอยู่”

เล่าให้ฟังหน่อยว่าทำไมถึงได้ร่วมงานนี้

“ตอนแรกเราก็คิดนะว่าเขาคือตัวปลอมหรือเปล่า เพราะทีมงานใช้ไอจีส่วนตัวทักหาผู้จัดการเราเรื่องนี้ เราเลยบอกผู้จัดการเราว่าให้เขาส่งอีเมล์อย่างเป็นทางการมาก่อนดีกว่าไหม พอเขาส่งมา ก็ได้คอลล์กันระหว่างค่ายเรากับค่ายเขา เขาบอกว่าเขาสนใจเราเพราะว่าเราคัฟเวอร์เพลง Hype Boy ของ NewJeans ซึ่งคลิปนั้นมันแมสมาก และดังมากที่ประเทศเกาหลี เขาเลยสนใจเรา เรารู้สึกเลยว่าเพลงนี้เปลี่ยนชีวิตเรามากจริงๆ

“ตอนแรกเราไม่ได้กะว่ามันจะมาขนาดนี้หรอก ตอนนั้นเป็นช่วงที่เรารู้สึกว่าเราค่อนข้างจะหมดไฟในการทำงานแล้วล่ะ แต่ว่าการทำคอนเทนต์ก็สำคัญอยู่ดีนะ ไม่อย่างนั้นคนจะลืมเรา เราก็เลยคัฟเวอร์ท่อนฮุคเพลง Hype Boy แบบสั้นๆ ออกไป ในตอนนั้นไม่ได้ทำจริงจังมากหรอกนะ แต่พอทำออกมาปุ๊บ มันก็แมสปั๊บ มีคนใช้ไปสองแสนกว่าคลิปทั้งในติ๊กต็อกและในรีลส์ของไอจี มีดาราเกาหลีใช้เสียงเราเยอะมากเลยนะ เลยมีคนของ AOMG เห็นคัฟเวอร์นี้แล้วชอบ เขาเลยพาเราเข้าไปหลังเวที พบกับศิลปินของค่าย AOMG ทั้งหมดที่มาแสดงในประเทศไทย ตอนแรกเราก็คิดว่าเราน่าจะได้เข้าไปพร้อมๆ กับศิลปินคนอื่น แต่ปรากฏว่ามีแค่เรากับคนเกาหลีอีกคนเท่านั้นเอง พอเราได้ไปเจอ Lee Hi และเขาบอกว่าเขาเคยเห็นคลิปคัฟเวอร์ของเรา ตอนนั้นเรากรี๊ดเลย เป็นความรู้สึกที่เซอร์เรียลมาก ใครจะไปคิดว่าศิลปินที่เราชอบจะเคยเห็นเราร้องเพลง มันคือประสบการณ์พลิกชีวิตจริงๆ นะคะ

“เรากำลังจะบินไปเกาหลีในอีกสองวันนี้แล้ว ตื่นเต้นมาก นี่ก็เพิ่งทำโชว์เปิดตัวของตัวเองเสร็จส่งเขาไป รายการนี้จะมีผู้เข้าร่วมรายการจาก 25 คน เหลือ 7 คนสุดท้าย สร้างเป็นยูนิตพิเศษ ออกอัลบั้มด้วยกัน โดยเขาจะเอาศิลปินที่เคยเดบิวต์มาแล้วมาเข้าร่วมรายการ จำนวนคนเลยไม่เยอะมาก ปีนี้เป็นปีแรกที่เขาเลือกศิลปินจากทั่วโลกมาผสมกัน และเป็นปีแรกที่จะเอาผู้เข้าแข่งขันรอบสุดท้ายมาเดบิวต์ร่วมกันในฐานะยูนิตพิเศษด้วยค่ะ”

ฝ้ายคาดหวังกับการทำงานครั้งนี้ขนาดไหน

“ตอนแรกคือไม่หวังเลย เพราะจริงๆ เราไม่ใช่คนชอบการแข่งขัน เพราะมันเครียด มันไม่มีความสุข เลยคิดแค่ว่าไปเอาแอร์ไทม์ ให้คนรู้จักเรามากขึ้น เพราะยังไงรายการมันก็ใหญ่ และมีคนดูทั่วโลก การได้มีโอกาสให้คนเห็นความสามารถเราเยอะขึ้นมันก็ดีนะ เลยคิดว่าจะไปแบบชิลด์ๆ ไม่อยากคาดหวัง เพราะไม่อยากผิดหวัง แต่ถ้าได้จริงๆ ก็คงจะดีใจมากๆ แหละ เขาบอกว่ามันควบได้ระหว่างการทำยูนิตพิเศษกับเขาและการทำเพลงโซโล่ของตัวเอง แต่ถ้าเขาบอกว่าไม่อนุญาตให้ทำโซโล่ เราอาจจะไม่ไปร่วมรายการเลยก็ได้นะ”

แปลว่าฝ้ายคิดว่าตัวเองชอบงานโซโล่มากกว่างานกรุ๊ปหรือเปล่า

“เราคิดว่าเราน่าจะเหมาะกับการเป็นศิลปินเดี่ยวมากกว่าเป็นสมาชิกในกรุ๊ปนะ แต่ถ้าได้อยู่ในกรุ๊ปและได้ทำโซโล่ไปด้วยเราก็ไม่ติดนะ ไม่เสียหาย เหมือนเป็นการเจาะตลาดคนฟังกลุ่มใหม่ไปด้วยเลย”

มีผลงานอื่นๆ นอกจากงานเพลงด้วยบ้างไหม

“เรากำลังจะมีซีรีส์เรื่อง ‘Mission Fan-Possible ภารกิจ(ลับ)ฉบับแฟนด้อม’ ฉายช่อง TrueID ค่ะ เป็นผลงานซีรีส์เรื่องที่สามของเรา ส่วนภาพยนตร์ก็น่าจะได้ฉายกลางๆ ปีนะคะ เรื่อง ‘RedLife – รัก ละ เลย’ ของค่าย BrandThink Cinema Studio ค่ะ เพิ่งเปิดกล้องไป แต่งานเพลงก็มีนะคะ กำลังจะออกซิงเกิ้ลใหม่ ส่วนอัลบั้มเต็มน่าจะปลายปี หรือไม่ก็ต้นปีหน้า ต้องรอดูอีกทีว่างาน Queendom Puzzle จะกินเวลาเราขนาดไหน”

ฝ้ายอยากออกอัลบั้มของตัวเองเลยใช่ไหม

“เราอยากทำอะไรเยอะแยะมากมาย แต่ต้องดูว่ารายการ Queendom Puzzle จะกินเวลาเรามากขนาดไหน ถ้าเราได้เดบิวต์จริงๆ เราต้องทำยังไงต่อ ในระหว่างนี้เราก็ทำเพลงของเราสะสมไปเรื่อยๆ เพราะเราก็ไม่รู้หรอกว่าอนาคตเราจะเป็นยังไง”

ฝ้ายรับมือกับแรงกดดันในการทำงานได้มากน้อยขนาดไหน

“รับมือได้แน่นอน เราเป็นคนประเภทให้บอกเราเถอะว่าอยากได้อะไร เดี๋ยวเราทำให้ เราไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เพราะเราเชื่อว่าไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้”

ความฝันสูงสุดในฐานะศิลปิน

“เราอยากขึ้นเวที Coachella ค่ะ (ตอบทันที) ไม่ต้องขึ้นเดี่ยวก็ได้ ไปเป็นกรุ๊ปก็ได้ เราไม่ได้คาดหวังว่าเราจะต้องเป็น Kendrick Lamar หรือ Ariana Grande นะ เราแค่รู้สึกว่า ณ จุดหนึ่งของชีวิตที่
เรามีความสุข มีคนร้องเพลงเราได้ เราก็โอเคแล้ว”

วันที่แฟนคลับร้องเพลงฝ้ายได้เป็นครั้งแรก ฝ้ายรู้สึกอย่างไร

“(หัวเราะ) ดีใจสิคะ เพราะทุกเพลงที่เราทำ เราเหนื่อยมากกว่าจะมันจะออกมาได้ เราอยู่กับมันทุกขั้นตอน อยู่จนหลอนกว่าจะออกมาได้ พอมีคนร้องได้ เราก็รู้สึกเลยค่ะว่าเราหายเหนื่อย”

ฝ้ายอยากบอกอะไรกับแฟนคลับ

“อยากให้ทุกคนช่วยซัพพอร์ตผลงานของศิลปินทุกคนเลยนะ รวมถึงเราด้วย เพราะเรารู้สึกว่าศิลปินสมัยนี้ทำงานยากขึ้น เพราะมีเรื่องของทุนนิยมเข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งการตลาดต่างๆ แมส-ไม่แมส ติ๊กต็อก-ไม่ติ๊กต็อก และศิลปินที่คุณติดตามต้องคิดตลอดนั่นแหละว่าจะต้องทำอย่างไรฉันถึงจะเกิด และถ้าฉันไม่ทำตามกระแสนิยม คนจะยังฟังฉันอยู่ไหม มันเลยเครียดจริงๆ นะ เราเลยอยากให้ทุกคนซัพพอร์ตศิลปะที่ศิลปินทุกคนตั้งใจทำออกมาจริงๆ ไม่ว่าเขาจะทำอะไรออกมาก็ตามน่ะ”

ฝ้ายบาลานซ์ความเป็นตัวเองกับกระแสทุนนิยมที่ฝ้ายพูดถึงอย่างไร

“เนี่ยแหละยาก… ซิงเกิ้ลที่สามของเรา (Pom Pom) เป็นซิงเกิ้ลที่เราหลงทางมากที่สุด เพราะเรามัวแต่ไปคิดถึงว่าจะทำยังไงให้มันแมส เริ่มไปติดกับทุนนิยม พอปล่อยออกมาจริงๆ ก็รู้สึกเลยว่าไม่เป็นตัวเองที่สุดแล้ว และก็เหนื่อยมาก รู้สึกได้เลยว่าหมดไฟมากจริงๆ”

ทิศทางของซิงเกิ้ลที่ 4 จะเป็นยังไงต่อไป

“เราจะไม่สนอะไร เราจะทำสิ่งที่เราชอบจริงๆ แบบไม่สนอะไรแล้ว เราจะทำสิ่งที่เรามีความสุขเท่านั้น พอแล้วจริงๆ ค่ะ”

อยากพูดอะไรกับแฟนคลับของตัวเองไหม

“ฝากติดตามเส้นทางชีวิตของเราด้วยนะคะ เราพยายามอย่างหนักที่จะพาตัวเองและเสียงดนตรีของเราไปให้ไกลมากที่สุด เราอยากให้ทุกคนซัพพอร์ตในทุกสิ่งที่เราทำ เพราะเราตั้งใจทำงานออกมาอย่างเต็มที่เสมอๆ ฝากดูแลเรา และฝากดูเราเติบโตไปไกลๆ นะคะ”

Assistant Photographers: Pak Lueng-on / Kasemcharn Tongkumsopa / Phongsak Wethee / Nuntanat Akaraphongkarn / Amornthep Kumjumpa

Hair: Kanok-orn Thangchaiyaphum

Make Up: Nithipak Palakawong Na Ayudthaya

- Advertisement -