พูดคุยกับ Pierre Bouvier และ Sbastien Lefebvre แห่ง Simple Plan กับความเปลี่ยนแปลงในวงการดนตรี และความมั่นคงไม่เปลี่ยนไปของวง

Share This Post

- Advertisement -

Author: Pacharee Klinchoo

Photographer: Ponpisut Pejaroen

ก่อนที่วง Simple Plan จะขึ้นเวทีคอนเสิร์ต Simple Plan – The Harder Than It Looks Tour – Live in Bangkok 2023 หลังจากห่างหายจากแฟนๆ ชาวไทยไปกว่า 7 ปี ลอฟฟีเซียล ออมส์ ได้มีโอกาสแว่บเข้าไปพูดคุยกับ Pierre Bouvier (ร้องนำ) และ Sbastien Lefebvre (กีตาร์) แม้ว่าบทสนทนาครั้งนี้จะเกิดขึ้นเพียงระยะเวลาสั้นๆ แต่มันก็ทำให้เราเข้าใจได้เลยว่าเหตุใดวง Simple Plan ถึงยืนระยะมาได้ยาวนาน แม้ว่าแฟนเพลงจะเติบโตก้าวข้ามเพลงของพวกเขาไปแล้วก็ตาม

Different Era, Same Method

ในฐานะคนที่เคยจับเทปอัลบั้ม No Pads, No Helmets…Just Balls ของ Simple Plan มากับมือแล้ว ต้องยอมรับว่าวงการดนตรีหมุนเร็วอย่างเหลือเชื่อ จากม้วนเทปในวันนั้น มาถึงแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งในวันนี้ เราอดสงสัยไม่ได้ว่ากระบวนการทำเพลงในแต่ละยุคแตกต่างกันมากขนาดไหน จึงขอให้เขาสาธยายให้เราฟัง ‘อย่างสั้นๆ’ เท่าที่เวลาเราพอจะมี “สั้นๆ เหรอครับ ได้เหรอ” เซบาสเตียนพูดกลั้วหัวเราะ ทำให้เราหัวเราะตามไปด้วย

“การทำเพลงสำหรับพวกเรา ไม่ว่าจะยุคไหน มันก็เหมือนกันหมดล่ะครับ” ปิแอร์ตอบด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงาน “ผมว่าสิ่งที่แตกต่างคือจังหวะปล่อยเพลงมากกว่าครับ แล้วก็การที่เราได้เห็นปฏิกิริยาจากแฟนเพลงด้วยครับ นอกเหนือไปจากสองเรื่องนั้น ผมบอกได้เลยครับว่ากระบวนการทำเพลงของพวกเราค่อนข้างเหมือนเดิมมาตลอด เป็นกระบวนการเดิมๆ ที่พวกเราคุ้นเคยอยู่แล้ว มีแค่โลกเท่านั้นล่ะครับที่เปลี่ยนไป จริงๆ นะครับ” โอเค… เราว่าเราเข้าใจแล้วล่ะ ถ้าสิ่งที่แตกต่างคือกระบวนการช่วงการปล่อยเพลง ความคาดหวังของพวกคุณที่มีต่อเพลงที่ปล่อยไป เปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหน “เอาเป็นว่า การได้รับรางวัลแผ่นเสียงทองคำหรืออะไรแบบนั้นไม่ใช่ความคาดหวังที่ผมคิดว่าสำคัญมากๆ อีกต่อไปแล้วนะ ไม่ใช่แน่ๆ” ปิแอร์ตอบทันที

“ตอนที่พวกเราปล่อยอัลบั้มแรก และปล่อยเพลงแรกออกมาน่ะ” เซบาสเตียนเล่าย้อนอดีต “พวกเราทำมิวสิควิดีโอใช่ไหมครับ เราก็ต้องเดินสายไปตามสถานีวิทยุ อ้อนวอนให้พวกเขาช่วยเปิดเพลงของเรา ต้องออกทัวร์ เล่นเพลงของพวกเราเพื่อดูปฏิกิริยาของแฟนๆ ต่อเพลงที่เราปล่อยไปแล้ว ถ้าเราโชคดี อีกสักสองสามเดือนถัดมา พวกเราก็จะได้รู้ว่าเพลงนั้นๆ ทำงานกับแฟนๆ ขนาดไหน แต่ในยุคปัจจุบันนะ หลังจากปล่อยเพลงออกไปไม่เกิน 24 ชั่วโมงก็รู้แล้วแหละว่าคนชอบมันไหม เพราะคุณได้เห็นยอดสตรีม เห็นคอมเมนต์ของแฟนๆ เท่านั้นก็รู้แล้ว นั่นเป็นสิ่งที่แตกต่างที่สุดสำหรับพวกเรา มันคือวิธีที่คุณสามารถโปรโมทเพลงตัวเอง และเห็นและเห็นรีแอ็กชั่นของแฟนๆ ได้แบบทันที อันนี้ล่ะจุดที่แตกต่างที่สุด” เขายิ้มบาง “แต่จุดหมายของพวกเราเวลาแต่งเพลง เขียนอะไรบางอย่าง หรือแม้กระทั่งปล่อยมันออกมา มันเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ พวกเราต้องการแน่ใจว่าเราปล่อยเพลงที่ดีที่สุดที่พวกเราจะทำได้ในตอนนั้นออกมา ทุกเพลงต้องเป็นเพลงที่พวกเราจะภูมิใจ และมันจะเป็นเพลงที่อยู่คู่กับวงเราไปได้ตลอด หลังจากนั้น เราทำได้แค่เพียงภาวนาล่ะครับว่าแฟนๆ จะชอบเพลงพวกนั้นเหมือนที่พวกเราชอบครับ”

It’s All About the Fans

ในฐานะที่เราเคยอินกับท่อน ‘I’m sorry I can’t be perfect.’ จากเพลง Perfect และ ‘I’m just a kid and life is a nightmare.’ จากเพลง I’m Just a Kid มาก่อน จนวันนี้ เราเติบโตก้าวข้ามสภาวะในใจนั้นมาจนกระทั่งเรา ‘not sorry I can’t be perfect.’ และ ‘I’m not a kid and life isn’t a nightmare anymore.’ แล้ว เราอดสงสัยไม่ได้ว่าสมาชิกวงสามารถขึ้นเล่นเพลงเก่าๆ ที่พวกเขาเติบโตผ่านเพลงเหล่านั้นมาแล้วด้วยความรู้สึกเช่นไร และพวกเขาจัดการกับความรู้สึกในใจที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรได้บ้าง “ไม่เห็นต้องจัดการอะไรนะ” ปิแอร์ยักไหล่ ส่วนเราเลิกคิ้ว “สำหรับผมไม่ต่างเลยนะ ผมปลื้มใจเสียด้วยซ้ำไป ผมชอบจะตายเวลาแฟนๆ รู้จักเพลงของพวกเรา ผมชอบที่เพลงพวกนั้นมีความหมายอะไรบางอย่างกับคนอื่น เวลาเราร้องเพลงอย่าง ‘I’m just a kid and life is a nightmare.’ ตอนพวกเราอายุเกิน 40 กันหมดแล้ว มันก็ยังคงทำงานกับผมได้เหมือนเดิม เพราะแฟนๆ ทุกคนยังคงมีความสุขกับเพลงที่ผมเล่น นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า ‘ดนตรี’ ไงครับ มันไร้กาลเวลา”

เรายิ้มบางๆ กับคำตอบของเขา ก่อนที่เซบาสเตียนจะเสริมขึ้นมา “ผมชอบที่เห็นแฟนๆ มาออกันหน้าเวที ทุกคนมีความสุขกับเพลงที่พวกเราเล่น โดยเฉพาะวันนี้ ที่เรากำลังขึ้นเล่นที่กรุงเทพฯ แฟนเพลงบางคนเพิ่งจะมีโอกาสได้ดูพวกเราเล่นสดเป็นครั้งแรก แปลว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่พวกเขาจะได้เห็นพวกเราเล่นเพลงนั้นสดๆ ต่อหน้าพวกเขา ถึงพวกเราจะเล่นเพลงนั้นมาเป็นพันครั้งแล้ว มันก็ไม่เป็นไรเลย มันไม่ใช่เรื่องของพวกเราครับ มันเป็นเรื่องของพวกเขา เพราะสำหรับแฟนเพลงบางคนแล้ว นี่คือการฟังสดเป็นครั้งแรก และความรู้สึกที่พวกเขาส่งมาให้กับวงคือความรู้สึกที่ดีมากจริงๆ ครับ”

จบคำตอบของเขา รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าของเรา และของเขาด้วย… วินาทีนั้น เราว่าเราสามารถสื่อสารกันได้อย่างเงียบๆ ว่าพวกเขา ‘แคร์’ แฟนเพลงของพวกเขามากแค่ไหน และสำหรับแฟนเพลงแล้ว เพลงต่างๆ ที่พวกเขาปล่อยออกมานั้น ปลอบประโลม และช่วยเหลือใครต่อใครไว้มากแค่ไหน ใช่แล้ว… แฟนเพลงหลายคนคงอยากจะบอกเขาต่อหน้าว่า ‘THAT song literally saved my life.’ 

Rock Never Dies

เราปิดบทสนทนากับทั้งคู่ด้วยการขอความเห็นของพวกเขาต่อบทบาทของเพลงร็อคในเทรนด์ของแนวทางดนตรีในปัจจุบัน “เพลงร็อคเริ่มกลับมาเปิดตามวิทยุอีกแล้วนะครับ มันเจ๋งจะตาย” เซบาสเตียนตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ แฝงไว้ด้วยความดีใจ “มันเจ๋งจริงๆ แหละ” ปิแอร์ตอบรับ “ในโลกยุคปัจจุบัน ทุกคนมีโอกาสโปรโมทตัวเองมากขึ้นแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ นักดนตรีและศิลปินรุ่นใหม่ๆ พยายามผลักดันตัวเองให้ผ่านข้อจำกัดต่างๆ ที่เคยกักคนรุ่นก่อนไว้ คุณก็รู้ใช่ไหมว่าทุกสัปดาห์มีเพลงใหม่ๆ ถูกปล่อยออกมามากขนาดไหน คุณจะทำให้ผลงานของคุณพิเศษได้อย่างไรกันล่ะ คุณก็ต้องทำตัวเองให้พิเศษมากๆ ท่ามกลางคลื่นเหล่านี้ คุณต้องแตกต่างจากคนอื่นมากๆ สิ่งนี้เป็นตัวผลักดันให้ทุกคนกล้าที่จะทำเพลงให้แตกต่างและน่าตื่นเต้นให้ได้มากที่สุด แล้วเพลงใหม่ๆ นี่สั้นลงมากเลยนะ (หัวเราะ) สองนาทีสิบห้าวินาที อะไรแบบนี้ แต่ผมคิดว่ามันเจ๋งจะตาย เราอยู่กันมาหลายยุคมากแล้วจริงๆ เนอะ” ท้ายประโยคของเขาจบลงด้วยแววตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับจะย้อนไปสู่อดีตที่เขาผ่านมา

เอาล่ะ… จบจริงๆ แล้ว เรายิ้มให้เขา มีอะไรอยากฝากแฟนๆ ไหม เผื่อ Jeff Stinco (กีตาร์) และ Chuck Comeau (กลอง) เพื่อนร่วมวงที่ไม่ได้มาสัมภาษณ์วันนี้ด้วยเลย “อันดับแรกเลยนะ ต้องขอโทษทุกๆ คนด้วยที่ไม่ได้มาประเทศไทยบ่อยๆ” ปิแอร์ยิ้ม “และพวกเราตื่นเต้นมากที่ได้กลับมาขึ้นเวทีกันอีกครั้งหนึ่ง หวังว่าทุกคนจะยังชอบอัลบั้มใหม่ของพวกเราอยู่นะ พวกเราจะเล่นเพลงฮิตจากทุกอัลบั้ม เพื่อทุกคน และสัญญาครับว่าจะกลับมาให้เร็วกว่าเดิมในครั้งหน้า”

- Advertisement -