เข้าปีที่ 18 กับการเดบิวต์ในอาชีพที่รักของเป๊ก – ผลิตโชค อายนบุตร ที่เรื่องราวระหว่างทางประกอบสร้างตัวตนของเขาให้เป็นที่รักจนถึงทุกวันนี้

Photographer: Thanut Treamchanchuchai

Stylist: Teeratut Somudomsup

Author: Pacharee Klinchoo

อาการหลังปล่อยซิงเกิ้ล Touch My Body

“หัวใจมันกลับมาเต้นแรงอีกครั้งหนึ่งครับ เพราะสองสามปีแล้วที่ผมไม่ได้มีผลงานให้แฟนๆ ได้ชมได้ฟังกัน เลยรู้สึกว่า พอปล่อยเพลงนี้ไป หลายคนก็โอเคกับเพลงของผม ผมได้ไปอ่านคอมเมนต์นะครับ ดีใจที่ได้กลับมาเจอทุกคน และจะได้กลับมาร้องเพลงให้ทุกคนได้ฟังอีกครั้งหนึ่งนะครับ

“ถ้าผมได้ออกอัลบั้มเต็มจริงๆ หัวใจคงเต้นแรงกว่าเดิมอีกแน่นอน จริงๆ พี่ๆ ทีมงานก็ถามผมนะว่าผมเหนื่อยไหม อยากจะออกแค่ซิงเกิ้ลเฉยๆ ไหม แต่ผมตอบอย่างไม่คิดเลยครับว่า ผมอยากออกอัลบั้มเต็มอยู่แล้ว เพราะอัลบั้มคือการรวมหลายๆ เพลงของผมเป็นหนึ่งอัลบั้ม ผมจะได้มีอีกอัลบั้มหนึ่งสะสมเอาไว้ดูตอนแก่ว่าผมได้ออกอัลบั้มนี้ด้วยนะ จริงๆ ทำแค่ทีละซิงเกิ้ลก็ได้นะ นานๆ ที ค่อยๆ ทยอยออก แต่ผมอยากออกอัลบั้มจริงๆ นะครับ”

ความยากของ Touch My Body

“เพลงนี้เมโลดี้มันขึ้นๆ ลงๆ เยอะ เดี๋ยวท่อนนี้ต่ำ ท่อนนี้สูง ท่อนนี้ใช้ head tone ท่อนนี้ใช้เสียงนาสิก ท่อนนี้ใช้เสียงต่ำ สลับไปสลับมา ค่อนข้างยากครับ ต้องซ้อมหนักเหมือนกันกว่าจะร้องได้เข้าปาก ก็นานพอสมควรครับกว่าจะอัดมาสเตอร์สำเร็จ

“เคยเล่นสดไปแล้วครับ ก็ยากจริงครับ เพราะมันจะมีความขึ้นๆ ลงๆ ของเมโลดี้ตามที่ผมบอกไปน่ะครับ ถ้าสุขภาพผมไม่แข็งแรง หรือผมกำลังเป็นหวัด เจ็บคออยู่ ก็น่าจะโหดน่าดูเหมือนกันนะครับ”

สิ่งที่ทำให้ยืนระยะมาได้ถึง 18 ปีในวงการบันเทิง

“โอ้… นั่นสิครับ ผมทันยุคออกเทปนะครับ ไม่ทราบว่าเคยเล่าให้ฟังแล้วหรือยังว่า ตอนที่ผมออกเทปอัลบั้มแรก เขาเก็บเทปพวกนั้นไว้ในโกดัง เพราะขายไม่ค่อยได้ พอผ่านไปสักหน่อย เขาก็จะเอาไปทำลาย เพราะไม่มีที่จะเก็บเลย ก็เอาไปทำลายโดยรถบด อะไรอย่างนี้ครับ เพราะตอนนั้นขายไม่ดีมาก จนมาถึงปัจจุบัน แฟนๆ ผมก็เรียกร้องให้เอากลับมา remaster ใหม่ ทำเทปขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง นี่เป็นเรื่องที่ผมดีใจและภูมิใจมากๆ ครับ ต้องขอบคุณแกรมมี่ที่ทำให้ผมขนาดนี้นะครับ เรื่องนี้เลยเป็นแรงผลักดันให้ผมรู้เลยว่า แฟนๆ ของผมที่ยัง support ผม และยังคิดถึงผมอยู่ ทำให้ผมอยู่ได้มานานขนาดนี้ และทุกคนทำให้ผมอยากร้องเพลงต่อไปเรื่อยๆ จริงๆ นะครับ”

สิ่งที่ทำให้เปลี่ยนใจไม่ยอมแพ้ไปในระหว่างเส้นทางการเป็นศิลปิน

“จริงๆ แล้วคนเรานะครับ พอเดินทางมาได้ระยะหนึ่งแล้ว เราจะเจอทางแยก ไปซ้าย ไปขวา หรือว่าเจอทางตัน มีช่วงหนึ่งครับ ที่ผมอยู่บนเส้นทางที่ต้องเลือกระหว่างซ้ายกับขวา เพราะค่อนข้างเห็นว่าข้างหน้าอีกไม่ไกลน่าจะเป็นทางตันแล้ว ผมก็เลยต้องจัดการกับตัวเองว่าจะเอาอย่างไรกับชีวิตต่อไป เพราะนี่คือทางที่ผมรัก ผมทำไประยะหนึ่งแล้ว และผมก็พอใจกับตัวเองแล้วว่าผมได้เป็นศิลปิน ได้ออกอัลบั้มไปแล้ว ถือว่าประสบความสำเร็จระดับหนึ่งแล้ว ก็ต้องมาคิดว่าจะเดินต่อไปทางไหน เพราะมันมีหลายทางให้เดิน เคยลองคิดครับว่าจะเปลี่ยนไปเดินทางสายอื่นไปเลย แต่ก็ยังคงรักการร้องเพลงอยู่เหมือนเดิมนะครับ แต่ก็ได้แค่คิดล่ะครับ เพราะหลังจากนั้นก็มีอะไรต่อมิอะไรเกิดขึ้นมากมาย จนผมเองก็งงไปหมดเลยล่ะครับ”

ก้าวพ้น social bullying ที่เผชิญได้จริงๆ อย่างไร

“ถ้าเป็นเรื่องจริง… แบบจริงๆ เลยนะครับ… คือไม่ได้ ผมได้แต่พร่ำบอกคนอื่น หรือฟังคนอื่นบอกผมว่า ‘ก็ไม่ต้องไปสนใจ ไม่ต้องไปอ่านสิ’ อะไรอย่างนี้… ‘มีคนชอบก็ต้องมีคนเกลียด’ อะไรอย่างนี้… ‘อ่านแล้วก็ไม่ได้เป็นอะไรที่สำคัญในชีวิตสักหน่อย อย่าไปแคร์เขาเลย’ อะไรอย่างนี้… แต่ถ้ามันมีอะไรมากระทบจิตใจน่ะครับ มันก็จะเกิดรอยสะกิด รอยแผลเป็น ที่บางทีกว่าจะหาย มันก็ใช้เวลาใช่ไหมครับ คนเรามันไม่ใช่คอมพิวเตอร์นะครับ ที่เวลาเจอเรื่องแรงๆ กระทบใจแล้วมันจะสามารถกดปุ่มลบได้ทันที ผมเป็นมนุษย์ ต้องใช้เวลาในการลืม พอกำลังจะลืมได้ ก็มีเรื่องใหม่เข้ามาอีกแล้ว เรื่องใหม่มันมาเรื่อยๆ จริงๆ ครับ ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยไป เพราะมันคือเรื่อง ‘ธรรมดา’ ของคนที่อยู่ตำแหน่งนี้ ก็เห็นๆ กันว่าคนอื่นก็โดน ใครๆ เขาก็โดนกัน ก็คงต้องทำใจไปครับ แต่ถ้าถามว่ารับได้จริงๆ ไหม ก็ยากเหมือนกันนะครับ ทั้งๆ ที่ก็ผ่านมาเยอะแล้วจริงๆ”

กำลังใจให้คนอื่นบนโลก social

“ผมจะไม่เก็บมาคิดตลอดเวลาว่า ‘คนด่าผม’ ทำยังไงดี ผมอาจจะมีนอยด์ๆ บ้าง แต่ไม่ใช่ว่านอยด์ตลอดทั้งวัน ทั้งเดือน ทั้งปี ก็จะพยายามลืมมันไปบ้าง แต่ก็จำได้ตลอดว่ามันมีแบบนี้นะ ผมจะมีพลังแบบว่าอยากจะมอบความสุขให้ทุกคนอยู่น่ะครับ ทุกคนที่ชอบผม คอยติดตามผม หรือชอบทัศนคติของผม ผมเลยชอบมอบพลัง หรือมอบเสียงหัวเราะให้คนอื่น ถ้าผมทำอะไรแล้วคนที่ชอบผมโอเค หรือผมสามารถทำให้เขามีความสุขได้ ผมก็จะทำครับ

“ถึงตัวผมเองจะลืมจริงๆ ไม่ได้ก็ตาม เพราะจริงๆ มันก็มีรอยแผลเป็น รอยจางๆ รอยอะไรต่างๆ ฝังลึกๆ อยู่ในใจผม แต่ผมก็ต้องทำเป็นลืมๆ มัน แอบไว้เบื้องหลัง แล้วก็มายิ้ม มาหัวเราะต่อหน้าคนอื่น บางทีผมได้ยินอะไรมา ก็มาคิดว่ามันเป็นแบบนี้จริงๆ เหรอ มันทำให้ผมไม่มั่นใจในตัวเองเลย แต่ผมก็ต้องประคองมันให้ดีที่สุด เวลามีงานที่ต้องเจอผู้คน ต้องเจอแฟนๆ ผมก็ต้องทำให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ต้องเป็นคนเข้มแข็งให้ทุกคนเห็นว่าผมก็ทำได้นะ ผมสามารถทำให้มันเลือนรางไปก่อนได้น่ะครับ”

การจัดการกับความรู้สึกอ่อนไหวของตัวเอง

“ไม่ยากหรอกครับ ก็แค่ทำใจ เพราะผมโดนเป็นประจำอยู่แล้ว พอเริ่มเข้าวงการผมก็โดนเลยครับ นี่ก็ 18 ปีแล้ว โดนทั้งบุลลี่ เรื่องนี่ๆ นั่นๆ ทุกคนก็รู้อยู่แล้วใช่ไหมครับ

“พอโดนมาตลอด ก็เลยเป็นความรู้สึกแบบว่า ‘อีกแล้วเหรอ’ เพื่อนๆ ผมเลยชอบบอกว่า ถ้ามีคอมเมนต์อะไรแบบนี้ ขอไม่ส่งให้ดูนะ เพราะส่วนตัวผมไม่ค่อยไปดูอะไรอยู่แล้ว ถ้ามีอะไรแบบนี้ เพื่อนขอไม่บอกก็แล้วกัน แต่บางครั้งเพื่อนก็อดไม่ได้ แวะมาบอกว่ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น เพื่อนอยากให้รู้ แต่เพื่อนก็ไม่รู้ว่าจะบอกยังไงไม่ให้ผมนอยด์ เพื่อนก็ถามก่อนแล้วนะว่าผมจะนอยด์มั้ยถ้าได้อ่าน ผมก็บอกว่า เอามาดูก่อน… พออ่านปุ๊บ ก็นอยด์ปั๊บเลยจริงๆ เพื่อนก็จะบอกว่า ‘เฮ้อ… ไม่น่าให้อ่านเลย’ อะไรแบบนี้ครับ”

สิ่งที่จะแก้ไข ถ้าสามารถย้อนอดีตกลับไปได้ 10 ปี

“จริงๆ ก็ไม่มีอะไรอยากแก้ไขนะครับ เพราะตั้งแต่เด็กๆ ผมก็เดินตามความฝันมาอย่างหนัก ผมเป็นเด็กคนหนึ่งที่อยากจะเป็นศิลปิน อยากจะร้องเพลง อยากจะมีอัลบั้มเป็นของตัวเอง เพื่อนๆ ที่เรียนด้วยกันรู้หมดครับว่าผมเหนื่อยมาก เพราะเรียนเสร็จผมต้องนั่งรถมาที่แกรมมี่ มาเรียนต่อ มาซ้อม มาฝึกฝนสิ่งที่จะทำให้ผมเป็นศิลปิน เพื่อนๆ ทุกคนก็ให้กำลังใจโดยบอกว่า ถ้าออกอัลบั้มได้จริงๆ เดี๋ยวทุกคนซื้อเลย คนละสิบชุด เพื่อนๆ ให้กำลังใจตลอดครับ

“สมัยนั้นเลิกเรียนก็ไม่ได้ไปเดินห้างกับเพื่อน ปกติเวลาเลิกเรียนจะเป็นเวลาพักผ่อนของนักเรียน เขาไปเที่ยวกัน ผมก็ไม่ค่อยได้ไป มาแกรมมี่ทุกวัน รถก็ติดมาก มาเรียนร้องเพลง เรียนการใช้ไมค์ เรียนเต้น เรียนทัศนคติ เรียนแบบโอ้โห… เรียนอะไรกันเยอะแยะ หลายปีเลยครับกว่าจะได้เดบิวต์ ไม่อยากแก้ไขอะไรเลยจริงๆ ครับ”

จุดหมายที่ตั้งไว้ในฐานะศิลปิน

“จริงๆ มันมีแค่ว่าได้เป็นศิลปิน และได้ออกอัลบั้มของตัวเอง แค่นั้นเลยครับ จุดหมายของผมมีแค่นั้นเลยจริงๆ อะไรที่ตามมาหลังจากนั้นเรียกว่าเป็นของแถม หรืออะไรที่ไม่คาดคิด จริงๆ ผมอยากจะขอบคุณอะไรทุกอย่างที่ผลักดันให้ผมมาถึงจุดนี้ได้ในวันนี้นะครับ ผมไม่เคยหวังว่าจะได้มาไกลขนาดนี้ ผมรู้สึกว่าอยู่ตรงนี้มันก็เหนื่อยเหมือนกันนะครับ มันมีอะไรที่คนคาดหวังเยอะมาก

“ผมมาไกลเกินที่ผมเคยฝันไว้มากเลยครับ การได้มาอยู่ตรงนี้ถือเป็นพื้นที่ที่พิเศษมาก ได้มีประสบการณ์เยอะแยะมากมายที่ไม่เคยคิดว่าจะได้ทำ อย่างวันนี้ผมได้มาถ่ายแฟชั่นเซ็ตกับลอฟฟีเซียล ออมส์ ครั้งที่สามแล้ว ถือว่าเป็นเกียรติมากสำหรับผมนะครับ ผมอยากขอบคุณพี่ๆ ที่ให้เกียรติผมนะครับ ผมจำได้ว่า สมัยก่อน ตอนที่ออกอัลบั้ม ออกซิงเกิ้ลแบบไม่มีใครรู้ ผมเป็นศิลปิน ผมก็อยากจะโปรโมทตัวเองบ้าง เลยไปบอกพี่ๆ เขาว่าขอเอาเพลงไปลงแม็กกาซีนอะไรหน่อยสิ พี่ๆ ทุกคนก็บอกว่า ‘ขอหน้าเดียวยังไม่ได้เลยนะ’ ดังนั้นอย่าหวังว่าจะได้ขึ้นปก มันไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว แฟชั่นนี่ยิ่งไม่มีทางไปกันใหญ่ ตอนนั้นน่ะครับ แค่ได้โปรโมทไม่กี่บรรทัดเท่านั้นล่ะ ผมจำได้ว่าผมถามพี่ๆ เขาว่า ‘เขาให้แค่นี้จริงๆ เหรอ’ จนวันนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นคือผมได้ถ่ายแฟชั่นกับแม็กกาซีนแล้วนะครับ ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องตลกนะครับ ผมเคยคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่วันนี้พี่อยากให้ผมลงแม็กกาซีนของพี่ ผมดีใจมาก รู้สึกว่าตัวเองโชคดีจังเลย”

ความในใจถึงเหล่านุชชี่และนุชเชสของคุณหลวงผลิต

“ผมมาถึงจุดนี้แบบไม่คาดคิดใช่ไหมครับ มันเหมือนการเกิดใหม่อีกครั้งหนึ่ง ตอนแรกผมกำลังจะเฟดตัวไปแบบไม่ให้มีใครรู้ อย่างที่บอกไปว่าอยู่ตรงทางแยก แต่จู่ๆ ผมก็กลับมาเดินใหม่ได้อีกครั้งหนึ่ง โดยไม่มีการเตรียมตัวเลย เป็นสถานการณ์ที่คาดไม่ถึง และอะไรก็ตามที่เกิดขึ้น มันก็เกิดจากพลังของแฟนๆ ที่สนับสนุนผม ไม่ว่าจะเป็นการให้กำลังใจผม หรือการชอบผมในแบบที่เป็นผม ผมอยากจะขอบคุณแฟนๆ ทุกคนที่อยู่ด้วยกันมา ตั้งแต่ตอนที่ไม่มีใครรู้จัก มาจนถึงวันนี้ ขอบคุณทุกคนจริงๆ ครับที่สนับสนุนผม รักผมในแบบที่ผมเป็น และสนับสนุนผลงานของผมมาตลอดจริงๆ ขอบคุณมากครับ”

สตรีมเพลง Touch My Body ได้แล้วทุกช่องทางออนไลน์

Make Up: Pornpichit Khumnguen 

Hair: Thanupol Phoothepamornkul

Model: Peck – Palitchoke Ayanaputra

Assistant Photographer: Suratham Thapphasut

Assistant Stylist: Pattaradanai Niyavemanont