Design Moments: ส่องเทรนด์งานออกแบบในงาน Milan Design Week 2023

Share This Post

- Advertisement -

Author: Suriya Garudabhandu

Photography: Courtesy of the Brands

หนึ่งฉากเด็ดในหนังเรื่อง The Devil Wears Prada คือซีนที่มิแรนดา พรีสต์ลี บก.นิตยสารแฟชั่นตัวร้าย อธิบายถึงความเชื่อมโยงของเสื้อกันหนาวเฉิ่มๆ ที่นางเอกของเรื่องสวมใส่ กับเดรสสีฟ้า cerulean blue ที่ Oscar de la Renta โชว์บนรันเวย์ในปี 2002 สื่อให้เห็นถึงความสำคัญของการสร้างสรรค์เสื้อผ้าบนรันเวย์แฟชั่นโชว์ที่หลายคนคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ แต่จริงๆ แล้วสร้างผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อรูปแบบการบริโภคสินค้า เศรษฐกิจ และการจ้างงานในอุตสาหกรรมเสื้อผ้าที่มีมูลค่ามหาศาล

ถ้าแฟชั่นวีคในมิลานส่งอิทธิพลต่ออุตสาหกรรมแฟชั่น คงไม่ผิดที่จะกล่าวว่า งาน Milan Furniture Fair หรือที่เรียกกันคุ้นปากว่า ‘มิลานแฟร์’ คืออีเว้นท์สำคัญที่กำหนดเทรนด์ต้นน้ำของอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์และสินค้าไลฟ์สไตล์ของคนทั่วโลก

ช่วงเวลาประมาณกลางเดือนเมษายนของทุกปี คนในอุตสาหกรรมออกแบบ ผู้ซื้อ ผู้ผลิต นักธุรกิจ รวมถึงเหล่านักออกแบบและสื่อมวลชนจากทั่วทุกมุมโลก จะมาชุมนุมกันอย่างพร้อมเพรียงเพื่อเจรจาซื้อขายเฟอร์นิเจอร์และสินค้าตกแต่งบ้าน และอัพเดตเทรนด์สินค้าดีไซน์ในอนาคตกันที่เมืองมิลาน

สำหรับ Milan Furniture Fair ปี 2023 นับเป็นการจัดงานครั้งที่ 2 หลังจากที่หยุดจัดงานไปหลายปีเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 หลายคนคาดว่า หลังจากฟ้าเปิด บรรยากาศเริ่มคลี่คลายกลับมาเป็นปกติแล้ว งานมิลานแฟร์ครั้งนี้น่าจะคึกคักเหมือนครั้งก่อนๆ แต่เอาเข้าจริงแล้วจำนวนผู้ร่วมงานปีนี้ยังไม่หนาแน่นเท่าในช่วงที่พีคสุดๆ (ช่วงปี 2016-2018) แต่ถ้าเมื่อเทียบกับปีที่แล้วก็ถือว่าหนาแน่นขึ้นเยอะ ยืนยันได้จากราคาที่พักในมิลานที่พุ่งสูงขึ้น 2-3 เท่าตัว ซึ่งนับว่าเป็นสัญญาณที่ดี

หนึ่งสัปดาห์ของ Milan Design Week ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่มิลานผู้คนพลุกพล่านที่สุดของปีก็ว่าได้ คราวนี้เราแทบไม่เห็นคนใส่แมสก์กันแล้ว นี่อาจเป็นสัญญาณว่าบรรยากาศกลับคืนสู่โหมดปกติแล้ว แบรนด์ใหญ่ๆ เริ่มกลับมาหลังจากหยุดพักไปหลายปี เช่น แบรนด์ระดับโลกอย่าง Samsung และ Lexus เข้ามายึดพื้นที่ทำเลทองใน SuperStudio ย่าน Tortona อย่างไรก็ดี เรามีความรู้สึกว่านี่ยังเป็นการโยนหินถามทาง ดูท่าทีและผู้คนก่อน เพราะดูไม่ค่อยลงทุนลงแรงกับการจัดแสดงเท่าที่ควร ถ้าเทียบกับยุคก่อนโควิด

จุดกำเนิด

Milan Furniture Fair ถือเป็นงานแสดงสินค้าเก่าแก่ที่จัดมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1960s เริ่มต้นจากกลุ่มผู้ผลิตสินค้าเฟอร์นิเจอร์ในอิตาลีรวมตัวกันจัดงานแสดงสินค้าในเมืองมิลาน เมื่องานประสบความสำเร็จ มีผู้แสดงสินค้าจากทั่วโลกเข้าร่วมมากขึ้น ขนาดของงานก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งราวปี 1970 แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ Cassina ปิ๊งไอเดียจัดงานที่โชว์รูมตัวเองที่อยู่ในย่านใจกลางเมือง จากนั้นแบรนด์อื่นๆ ก็เริ่มทำตาม ทำให้เกิดอีเว้นท์คู่ขนานกันระหว่าง Milan Furniture Fair ในศูนย์แสดงสินค้า และกิจกรรมที่เกิดขึ้นในเมือง ขยายเป็นย่านดีไซน์กระจายทั่วเมือง เช่น ย่าน Tortona, ย่าน Brera ร้านรวงต่างๆ ก็ถือโอกาสร่วมใจจัดกิจกรรม กลายเป็น Milan Design Week ซึ่งประสบความสำเร็จมาก จนกระทั่งกลายเป็นโมเดลต้นแบบให้กับหลายเมืองทำตาม เช่น London Design Week, Tokyo Design Week รวมถึง Bangkok Design Week ที่จัดขึ้นในบ้านเราด้วย

งาน Milan Furniture Fair ครั้งนี้มีสิ่งที่น่าสนใจเกิดขึ้นมากมาย หลายแบรนด์จัดเต็ม เรียกได้ว่าทุ่มทุนมหาศาล ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นแบรนด์เจ้าบ้านอิตาลี คงเพราะอัดอั้นมาหลายปี พื้นที่แสดงสินค้าของแบรนด์ชั้นนำอย่าง B&B Italia, Kartell, Flexform, Flos ทำออกมาได้ยิ่งใหญ่อลังการ แต่คนที่แย่งซีนได้อย่างน่าสนใจคือ Tom Dixon ที่นำหุ่นแขนกลมานำเสนอโคมไฟแก้วเป่าคอลเลกชั่นใหม่ของเขา ซึ่งทำให้เราเซอร์ไพรส์ไม่น้อย เพราะว่าก่อนหน้านี้ (ก่อนที่จะเกิดโควิด) เรามีโอกาสได้พูดคุยกับดีไซเนอร์ชาวอังกฤษผู้นี้ เขาบ่นว่าการจัดงานที่มิลานแฟร์แต่ละครั้งนั้นแพงเหลือเกิน มีความคิดว่าจะเลิกมางานนี้ในอนาคตอันใกล้ แต่การกลับมาแบบจัดเต็มของเขา หลังโควิดครั้งนี้ เป็นเครื่องยืนยันถึงความสำคัญของงานมิลานแฟร์ที่มีต่ออุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ได้อย่างดี

แบรนด์แฟชั่นร่วมแจมงานดีไซน์วีคกันคึกคัก

เป็นที่รู้กันว่ามิลานเป็นเมืองแห่งแฟชั่นอยู่แล้วแบรนด์แฟชั่นใหญ่หลายแบรนด์จึงถือเอาช่วงนี้ประชาสัมพันธ์แบรนด์ตัวเองผ่านงานดีไซน์ในรูปแบบต่างๆ เริ่มต้นจากแบรนด์ใหญ่Louis Vuitton เปิดตัวคอลเลกชั่นเฟอร์นิเจอร์ชั้นสูง Objets Nomades ดึงเอานักออกแบบตัวท็อปอย่างพี่น้อง Campana จากบราซิล และ Marcel Wanders จากเนเธอร์แลนด์ มาออกแบบเฟอร์นิเจอร์คอลเลกชั่นประจำปีนี้ โดยจัดแสดงที่บูติกใจกลางเมืองย่าน Montenapoleone แน่นอนว่ามีคนรอต่อคิวเข้าชมยาวเหยียด

Christian Dior เปิดตัวคอลเลกชั่นเฟอร์นิเจอร์ Monsieur Dior และ Miss Dior ออกแบบโดย Philippe Starck เป็นเก้าอี้อะลูนิเนียมรูปทรงโมเดิร์นเส้นสายอ่อนช้อย เจือกลิ่นอายคลาสสิกอันเป็นลายเซ็นเฉพาะตัวของดีไซเนอร์ชาวฝรั่งเศสผู้นี้ การนำเสนอก็เรียกได้ว่าไม่ธรรมดา เก้าอี้หลายสิบตัวถูกแขวนให้ลอยอยู่บนอากาศ ล้อมรอบจอภาพทรงกระบอกขนาดใหญ่ มันดูอลังการราวกับฝูงเก้าอี้กำลังเต้นบัลเลต์

ในขณะที่แบรนด์แฟชั่นจากสเปน Loewe ก็ยังคงสื่อสารเรื่องราวของแบรนด์ผ่านงานคราฟท์อย่างต่อเนื่อง โดยคราวนี้นำเสนอเก้าอี้ที่ถูกดัดแปลงด้วยเทคนิคงานการสานด้วยวัสดุต่างๆ ภายใต้แนวคิด Loewe Chairs

สำหรับเจ้าบ้านอิตาลีก็ไม่น้อยหน้า มีงานดีไซน์ใหม่ๆ ที่น่าสนใจมาให้ชมกันเพียบเช่นกัน อย่างแฟชั่นเฮาส์ Fendi Casa จับมือกับ Louis Poulsen ออกคอลเลกชั่นโคมไฟที่คาดว่าแฟนๆ งานดีไซน์ยุคมิดเซนจูรี่ต้องร้องว้าว ส่วน Bottega Veneta นำเสนอกระเป๋าหนังสีเขียวดีไซน์แปลกตา ‘Vieni a Vedere’ ออกแบบโดยปรมาจารย์ดีไซเนอร์ Gaetano Pesce โดยนำเสนอผ่านศิลปะแบบจัดวางที่ออกแบบให้เหมือนกับถ้ำ

งานออกแบบไทยใน Milan Design Week

อย่างที่ได้กล่าวไป Milan Design Week เป็นช่วงเวลาสำคัญของคนในอุตสาหกรรมออกแบบ นอกเหนือจากแบรนด์ใหญ่ๆ ที่มักจะใช้พื้นที่นี้ในการสร้างภาพลักษณ์แล้ว บรรดานักออกแบบอิสระ สถาบันจากหลากหลายประเทศ ต่างก็ใช้เวทีนี้ในการสื่อสารและแสดงศักยภาพ เช่น ดีไซน์มิวเซียมจากเกาหลีใต้ กลุ่มคนทำงานสร้างสรรค์จากโตเกียวและจาการ์ตา เป็นที่น่าดีใจที่ประเทศไทยก็เป็นส่วนหนึ่งของ Milan Design Week คราวนี้ด้วยเช่นกัน

Slow Hand Design เป็นนิทรรศการงานออกแบบที่จัดขึ้นโดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ยึดหัวหาดใจกลาง SuperStudio ณ ถนน Tortona ย่านดีไซน์ใจกลางเมืองที่คึกคักที่สุดก็ว่าได้ โดยผู้จัดต้องการใช้พื้นที่นี้เป็นเวทีในการนำเสนอผลงานของนักออกแบบไทยสู่สายตาชาวโลก และในปีนี้มาภายใต้แนวคิด Not a Virgin – materials through Thailand’s innovative designs that sustain the global environment ซึ่งได้ภัณฑารักษ์มือฉมังอย่างอาจารย์เอกรัตน์ วงษ์จริต ศิลปินผู้ได้รับรางวัลศิลปาธร มานำเสนอการใช้ชีวิตท่ามกลางงานดีไซน์ในอนาคตยุคหลังโควิด ยุคสมัยที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความยั่งยืน ทั้งในเชิงของกระบวนการผลิต การออกแบบ และวัสดุที่ใช้ โดยงานนี้รวมเอางานดีไซน์ที่สร้างสรรค์ด้วยวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม วัสดุรีไซเคิล (non-virgin materials) หลากหลายรูปแบบ ตัวอย่างเช่น วัสดุตกแต่งผนังทำจากผักตบชวา เก้าอี้จากเศษหนังเหลือใช้ รองเท้าหนังสุดเก๋ทำจากเปลือกผลไม้ ไปจนถึงชุดถ้วยชามที่ทำจากกากกาแฟและใยมะพร้าว เรียกความสนใจให้ผู้ชมที่ผ่านไปมาได้จำนวนมาก

นอกจากนี้ เรายังได้เจอกับลักชัวรี่แบรนด์สัญชาติไทย Alexander Lamont มาร่วมออกงานในย่าน Brera โดยคราวนี้มาพร้อมกับคอลเลกชั่นใหม่ Malabares (เป็นภาษาสเปน แปลว่าการสร้างสมดุล) เป็นงานออกแบบที่สะท้อนถึงความผันผวนของโลกในช่วงโควิดผ่านเฟอร์นิเจอร์รูปทรงอสมมาตรแต่ดูสมดุล ใช้เทคนิคงานคราฟท์อันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ เช่น กรุหนังปลากระเบน (shagreen) และฟางย้อม (straw marquetry) มาสร้างสัมผัสที่หรูหรา

ส่องลูกแก้วทำนายเทรนด์งานออกแบบยุคหลังโควิด

จากการที่ได้สัมผัสงานจัดแสดงงานออกแบบหลายๆ ที่ใน Milan Design Week ‘งานคราฟท์’ ยังคงเป็นธีมหลักที่หลายแบรนด์ให้ความสำคัญ โดยเฉพาะแบรนด์ระดับลักชัวรี่ ซึ่งก็ไม่ได้แตกต่างจากเทรนด์ในช่วงก่อนโควิดสักเท่าไหร่ แม้ว่าโรคระบาดจะทำให้พฤติกรรมคนเปลี่ยน แต่มนุษย์ก็ยังคงให้ความสำคัญกับงานฝีมือ คุณค่าที่สืบทอดกันมายาวนานนับพันปีไม่อาจทำให้หายไปในช่วงพริบตา

เทคโนโลยีใหม่ๆ ในงานออกแบบมีให้เห็นบ้าง แต่ค่อนข้างบางตา แม้ว่ากระแสของ AI จะกำลังเข้ามา disrupt หลายธุรกิจ แต่การนำมาปรับใช้ในอุตสาหกรรมออกแบบเพื่อผลิตสินค้าเชิงกายภาพอาจจะต้องใช้เวลาสักพักใหญ่ๆ อย่างไรก็ดี ก็ยังมีงานล้ำๆ ให้ชมกัน ตัวอย่างเช่น งานศิลปะติดตั้ง Sympathetic Resonance โดยบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก Google มอบหมายให้ Google Design Studio นำเสนองานออกแบบเชิงทดลองที่ใช้คลื่นเสียงและอัลกอริทึม มาสร้างสรรค์ฟอร์มของน้ำให้มีผิวสัมผัสที่แปรผันไป ออกแบบโดยศิลปิน-เทคโนโลจิสต์ Lachlan Turczan

สำหรับเทรนด์ระดับมหภาคที่ปรากฏชัดเจนคือเรื่องการออกแบบเพื่อความยั่งยืน แทบทุกแบรนด์ให้ความสำคัญกับประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่แบรนด์เฟอร์นิเจอร์สำหรับตลาดกลางอย่าง IKEA ผู้ผลิตอิเล็กทรอนิกส์อย่าง Samsung ไปจนถึงแบรนด์ลักชัวรี่ไฮเอนด์อย่าง B&B Italia ตลอดจนงานออกแบบของเหล่าดีไซเนอร์คลื่นลูกใหม่จากทั้งฝั่งยุโรปและเอเชีย ที่นำเสนอไอเดียงานออกแบบที่ยั่งยืนกันอย่างคึกคัก

แม้ว่างานมิลานแฟร์จะได้ผ่านช่วงรุ่งเรืองสุดขีดมาแล้ว แต่ก็ยังเป็นอีเว้นท์ที่สำคัญที่สุด ไม่เฉพาะแต่เพียงในกลุ่มคนอุตสาหกรรมออกแบบ แต่รวมถึงคนทำธุรกิจทั่วไปด้วยเช่นกัน ที่นี่คือพื้นที่ปล่อยของ เวทีแสดงศักยภาพ ช่วงเวลาที่หัวกะทิในวงการสร้างสรรค์ทั่วโลกมารวมตัวกัน ถ้าคุณเป็นคนทำธุรกิจที่อยากก้าวหน้ากว่าคนอื่นๆ ไม่ควรพลาดที่จะมาสัมผัสงานนี้ แต่เราแนะนำให้จองตั๋วเครื่องบินและที่พักเนิ่นๆ ล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 6 เดือน

- Advertisement -