AUDEMARS PIGUET Royal Oak Offshore 30 ปีแห่งการก้าวข้ามขีดจำกัด

ก้าวข้ามผ่านยุคสมัย จากแรงบันดาลใจที่พร้อมฉีกทุกกฎเกณฑ์ของนาฬิกา Royal Oak Offshore จาก Audemars Piguet  โดยในปี 1993  ทางแบรนด์ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับวงการนาฬิกา ด้วยการผนวกความคิดสร้างสรรค์ เพื่อต่อยอดผลงานจากนาฬิกา Royal  Oak ในวาระครบรอบ 20 ปี สู่การเปิดตัวนาฬิกา Royal Oak Offshore การปรับโฉมภาพลักษณ์ เสริมลุคบึกบึนทำให้นาฬิกาดูแข็งแกร่งขึ้น ตัวเรือนแบบโอเวอร์ไซส์ จนได้รับสมญานามว่า “The Beast” ในช่วงเวลานั้น

แนวคิดเบื้องหลังของ Royal Oak Offshore ที่ถูกผลักดันให้ก้าวล้ำนำเทรนในทศวรรษ 1990 จากความคิดริเริ่มของ เอ็มมานูเอล กีเอต์ (Emmanuel Gueit)  นักออกแบบยุคใหม่ ที่หยิบนำแรงบันดาลใจจากการแข่งขันเรือยอทช์นอกชายฝั่ง (Offshore Powerboat Racing) โดยตั้งเป้าผลิตนาฬิกาเพื่อเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่และผู้แสวงหาความตื่นเต้น โดยการออกแบบนาฬิกาคอลเลกชันนี้จะดูแตกต่างจากคอลเลกชันอื่นๆ ที่ออกแบบเชื่อมโยงกับชื่อ Offshore ซึ่งได้จดลิขสิทธิ์ไว้ก่อนที่จะดีไซน์นาฬิกาด้วยซ้ำ ด้วยรูปแบบที่แตกต่างจากนาฬิกา Royal Oak ที่ออกแบบมาก่อนหน้า โดย Gerald Genta รู้สึกช็อกในดีไซน์ของนาฬิการุ่นนี้ และยังกล่าวต่อว่านาฬิการุ่นนี้เหมือนช้างน้ำ (An Elephant in the sea) ด้วยขนาดตัวเรือนที่ใหญ่ถึง 42.0 มิลลิเมตร บนความหนา 14.05 มิลลิเมตร พร้อมขอบและเม็ดมะยมเคลือบยาง ถึงแม้ความตั้งใจแรกจะมาพร้อมฟังก์ชันเข็มทิศ ที่เชื่อมโยงกับการแข่งเรือยอทช์ แต่ในท้ายที่สุดนาฬิการุ่นนี้ก็ปรากฏมาพร้อมกลไกโครโนกราฟที่เชื่อมโยงกับโลกของกีฬาทุกแขนง

นาฬิกา Royal Oak Offshore ก้าวข้ามผ่านอุปสรรคและความท้าทาย ทางด้านคุณสมบัติในการกันน้ำได้ลึก 100 เมตร ของนาฬิกาโครโนกราฟ รวมไปถึงการผลิตสายที่มีข้อต่อทรงโค้งและรายละเอียดของการขัดลายเทคนิคเฉพาะของ Audemars Piguet แม้จะเริ่มจากต้นจากความยากลำบาก แต่ก็สามารถขจัดทุกปัญหา สู่การรังสรรค์ผลงานที่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ จนกลายเป็นนาฬิกาที่เข้าไปครองใจเหล่าดาราดังแสดงและเซเลบริตี้จากหลากหลายวงการ ยกตัวอย่าง อาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์, นักร้องดัง Jay-Z หรือตำนานนักบาสเกตบอลอย่าง เลอบรอน เจมส์ เป็นต้น

เส้นทางของ Royal Oak Offshore ยังคงเร้าใจ ได้เปิดประตูสู่วัฒนธรรมสตรีทให้กับ Audemars Piguet และวงการนาฬิกาในวงกว้าง โดยในปีนี้ที่จะเฉลิมฉลองครบรอบ 30 ปี จึงสร้างความเซอร์ไพรส์ด้วยผลงานสุดพิเศษ

ประเดิมรุ่นแรกอย่าง Royal Oak Offshore Selfwinding Chronograph มาในมาดขรึมด้วยตัวเรือนและสายที่ผลิตจากแบล็กเซรามิกเป็นครั้งแรก สอดรับกับหน้าปัดสีดำเปอตีต์ ทาพิสเซอรี (Petite Tapisserie) ลวดลายซิกเนเจอร์ที่มีเอกลักษณ์ ซึ่งปัจจุบันมีอยู่บนหน้าปัดนาฬิกาของ Royal Oak Offshore เพียง 3  รุ่นเท่านั้น ภายในบรรจุหัวใจที่ขับเคลื่อนการทำงานด้วยกลไกโครโนกราฟ คาลิเบอร์ 4404 พร้อมฟังก์ชันฟลายแบ็กที่เที่ยงตรงแม่นยำ ทำให้นาฬิกาเรือนนี้เผยบุคคลิกที่ดูสุขุมและร่วมสมัยในเวลาเดียวกัน

สำหรับใครที่ชอบความท้าทาย นาฬิกาอีกรุ่นของ Royal Oak Offshore Selfwinding Chronograph ขนาด 43.0 มิลลิเมตร คงตอบโจทย์ ด้วยการผสมผสานแบล็กเซรามิกกับเยลโลว์โกลด์ เกิดเป็นความคอนทราสต์ที่ดูเข้ากันได้อย่างเหนือความคาดหมาย สะดุดตาด้วยหน้าปัดเมกา ทาพิสเซอรี (Méga Tapisserie) ผสมผสานเท็กซ์เจอร์ ความลึกและเส้นสายที่หลากหลาย โดยเฉพาะโทนสีดำที่ทำหน้าที่เป็นพื้นหลังให้องค์ประกอบของเยลโลว์โกลด์ได้เปร่งประกายฉายแสงได้อย่างเต็มที่ ขับเคลื่อนด้วยกลไกคาลิเบอร์ 4401 มาพร้อมสายแบบทูโทนที่สอดรับกับเฉดสีบนหน้าปัดได้อย่างลงตัว

ROYAL OAK OFFSHORE SELFWINDING CHRONOGRAPH

การหลอมรวมระหว่างงานฝีมือ Craftmanship และเทคโนโลยีอันล้ำสมัย ถูกบรรจบบนผลงาน Royal Oak Offshore Selfwinding Flying Tourbillon Chronograph ร่วมสุดยอดฟังก์ชันของนาฬิกา มาพร้อมตัวเรือนเซรามิกสีดำขนาด 43.0 มิลลิเมตร เสริมลูกเล่นด้วยสีเขียวทำให้นาฬิการุ่นนี้ดูมีชีวิตชีวา ขับเคลื่อนการทำงานด้วยกลไกคาลิเบอร์ 2967 ประกอบจากชิ้นส่วน 525 ชิ้น สำรองพลังงานได้นาน 65 ชั่วโมง ตัวเรือนประกอบเข้ากับสายยางสีเขียวพร้อมตัวล็อคสายแบบ Interchangeable ที่สามารถปรับให้กระชับข้อมือ ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 100 เรือนเท่านั้น

ROYAL OAK OFFSHORE SELFWINDING FLYING TOURBILLON CHRONOGRAPH 43MM

เพื่อฉลองวาระครบรอบ 30 ปี ของผลงาน Royal Oak Offshore จึงได้เผยโฉม Royal Oak Offshore Selfwinding Chronograph บนตัวเรือนเซรามิก สืบสานประวัติศาสตร์และยกย่องนาฬิการุ่น Royal Oak Offshore “End of Days” ที่เปิดตัวเมื่อปี 1999 ภายใต้ความร่วมมือกับอาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์ ซึ่งเป็นการเริ่มต้นกับเซเลบริตี้จากหลากหลายวงการในการสร้างสรรค์นาฬิการ่วมกัน โดดเด่นด้วยการเลือกใช้โทนสีดำ ตัดกับรายละเอียดสีเหลืองของเข็มและขีดแสดงค่าเวลา ควงคู่มาพร้อมสายหนังลูกวัวสีดำที่ให้เนื้อสัมผัสเสมือนผ้าพร้อมแต่งเติมลูกเล่นด้วยตะเข็บข้างด้วยด้ายสีเหลือง ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 500 เรือน

สามารถชมรายละเอียดเชิงลึกเพิ่มเติมได้ที่ลิงก์นี้ >> Royal Oak Offshore 30th Anniversary