นั่งคุยกับไมค์ – พิรัชต์ นิธิไพศาลกุล ในวันที่เขาตัดสินใจลองทำตามใจตัวเองดูสักครั้งหนึ่งในชีวิต

Share This Post

- Advertisement -

Photographer: Wasu Sukatocharoenkul

Stylist: Napat Roongruang

Author: Pacharee Klinchoo


เสื้อคอกลมผ้าฝ้าย กางเกงผ้าขนสัตว์ จาก Zegna

Life in Your 30s

ต้องยอมรับว่าเรายังไม่ทันลบภาพเด็กหนุ่มหัวทอง ตัดผมทรงรากไทร คู่หูดูโอ้สายป็อปนาม ‘กอล์ฟ-ไมค์’ ออกไปจากหัวได้ แต่ในวันนี้ ไมค์ – พิรัชต์ นิธิไพศาลกุล ก้าวออกจากภาพจำนั้น และสารพัดมรสุมชีวิตที่พัดพาเขาขึ้นๆ ลงๆ มาเป็นชายหนุ่มวัย 34 ปี ดวงตากึ่งเศร้าตรงหน้าเรา “แพลนของปีนี้ก็คือ no plan ครับ” คือประโยคเปิดบทสนทนากับเราเมื่อเราถามถึงแผนการชีวิตของเขา หลังจากที่แว่วข่าวว่าเขาจะกลับมารับงานในประเทศไทยอย่างเต็มตัวอีกครั้ง หลังจากหายหน้าหายตาจากแฟนๆ ชาวไทยไปสักพัก “เพราะทุกอย่างมันวนลูปเดิม ทุกอย่างเป็นแบบแผนหมด ถูกวางไว้ในกรอบหมดแล้ว และมันเป็นแบบนี้มาตลอดตั้งแต่เด็ก จนถึงตอนนี้ ที่ผมอายุ 33 ย่าง 34 ปีแล้ว ปีนี้… ผมก็เลยคิดว่าแผนของผมคือไม่มีแพลนนั่นล่ะครับ”

ชีวิตในวงการบันเทิงของไมค์เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เขาอายุ 11 ปี และนับตั้งแต่นั้นเขาก็ไม่เคยก้าวขาออกจากวงการนี้ได้อีกเลย เรียกได้ว่าทุกจังหวะก้าวของชีวิตเขาถูกจับจ้องมาตลอด “ปีนี้ผมจะทำอะไรก็ได้ที่ผมอยากทำ อะไรก็ได้ที่ทำแล้วมีความสุข และได้ปลดปล่อยตัวเองครับ” ฟังดูเหมือนจะเป็นแผนการที่ง่ายสำหรับหลายคน แต่เมื่อเราถามคำถามง่ายๆ ว่า แล้วสิ่งที่เขาทำแล้วมีความสุขคืออะไร ไมค์กลับนิ่งเงียบไปนานจนเราตกใจ “เอาจริงๆ ผมไม่รู้นะ” เขานิ่ง “ผมแค่มอง ณ โมเมนต์นั้นเลยว่า ตอนที่ผมกำลังหายใจอยู่ รู้สึกอยากทำอะไรในตอนนั้น เช่น อยากกินอะไร ก็ไปกิน หรืออยากไปประเทศไหน ก็ไปเลย ไม่ต้องมีเหตุผลอะไรมารองรับทั้งสิ้น” เขาชะงักไปสักครู่ ราวกับจะพยายามต่อสู้กับอะไรบางอย่างในตัวเอง “แต่ส่วนหนึ่ง ผมก็ติดนิสัยเดิมๆ ของผมนะ คือถ้าไปไหนก็ต้องได้งานกลับมาสักงาน เหมือนการไปไหนต้องเกิดผลอะไรสักอย่างหนึ่งให้ได้”

ส่วนหนึ่งในการกลับมารับงานในประเทศไทยของไมค์นอกจากความคิดถึงของแฟนๆ ชาวไทยแล้ว ไมค์ยังสารภาพว่า “ผมคิดว่าผมต้องก้าวข้ามผ่านความกลัวอะไรบางอย่างไปให้ได้ครับ” แม้ว่าตัวเองจะพูดเต็มปากเต็มคำ แต่พอเราถามว่า ‘ความกลัว’ ในใจของเขาคืออะไร ไมค์กลับใช้เวลาจมกับความคิดของตัวเองเนิ่นนาน “กลัวอะไรเหรอฮะ” เขารำพึงเบา “หลายอย่างเลย เป็น phobia เลยครับ กลัวทุกการเคลื่อนไหว ทุกการกระทำของตัวเองเลยก็ว่าได้ครับ ปีนี้เลยอยากจะแคร์สายตาคนอื่นให้น้อยลง และปล่อยตัวเองให้สบายมากขึ้น ไม่กดดันตัวเองจนเกินไปครับ”

Reflections of (Other People’s) Lives

เท่าที่ฟังมา ไมค์ดูแคร์คนอื่นมากกว่าตัวเองเยอะมากเลยนะ เราตั้งข้อสังเกต เขาเพียงแต่ยิ้มรับ “หลังๆ ผมเพิ่งรู้ตัวว่าผมเหมือนกระจก เวลาอยู่กับใคร เขาเป็นคนแบบไหน ผมก็จะ blend in ไปแบบนั้น ผมเลยเหมือนจะปรับคาแรกเตอร์ให้เข้ากับคนที่ผมพบเจอตลอดเวลา ผมเลยไม่รู้แล้วว่าตัวตนที่แท้จริงของผมเป็นแบบไหนแล้วครับ” ไมค์อธิบายเพิ่มเติมว่าไม่ใช่ว่าเขาเปลี่ยน ‘ตัวตน’ของตัวเองไปเรื่อยๆ เพื่อให้เข้ากับคนอื่นได้ แต่ ‘ตัวตน’ ของเขาก็คือความที่เขาเปลี่ยนตัวตนไปเรื่อยๆ นี่แหละ

สารภาพว่าเราฟังแล้วอดเลิกคิ้วไม่ได้ ไมค์เพียงยิ้มน้อยๆ ตามแบบที่เราคุ้นชิน “ผมเลิกคิดไปนานมากแล้วล่ะครับว่าตัวผมรู้สึกอย่างไรจริงๆ” เขานิ่งไปสักพัก “ผมคิดว่าแต่ละคนเป็นน้ำที่มีหลากหลายสีเนอะ ส่วนตัวผมเป็นแก้วเปล่าที่ใครจะใส่น้ำอะไรเข้ามาก็ได้ และมันเป็นแบบนั้นมาตั้งนานแล้ว พอหมดวัน ผมก็แค่เทน้ำพวกนั้นออก กลายเป็นแก้วน้ำเปล่าหนึ่งใบ ซึ่งตอนนี้ผมก็กำลังพยายามหาน้ำของตัวเองอยู่ ซึ่งยังไม่รู้หรอกครับว่ามันคืออะไร แต่ผมก็ยังหาต่อไปนะ” น่าสนใจนะ… เคยมีสักแว้บมั้ยที่คิดว่าตัวเองเจอ ‘น้ำ’ ของตัวเองแล้ว “ไม่นะฮะ” เสียงของเขาหนักแน่น “ผมคิดว่าตราบใดที่ผมยังเดินเส้นทางเดิมอยู่ ผมคงไม่มีวันเจอหรอกฮะ”

ถ้ารู้ว่าเดินเส้นทางเดิมแล้วจะไม่เจอสิ่งที่หวัง แถมปีนี้ยังตั้งมั่นแล้วว่าจะทำตามใจตัวเองมากขึ้น ก็ดูเหมือนชัดเจนแล้วนะว่าตัวเองจะเดินออกนอกกรอบที่อยู่มาตั้งแต่ 11 ขวบแล้ว เราตั้งข้อสังเกต “เอาตรงๆ นะ ต่อให้ผมออกไปจริงๆ ผมก็เดินกลับมาเองอยู่ดีนั่นแหละ โดยที่ผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ” อีกครั้งที่เราเลิกคิ้ว และเขายิ้ม “ผมว่ากรอบนี้อาจจะกลายเป็น safe zone ของผมโดยที่ผมไม่รู้ตัวก็ได้ เพราะผมอยู่กับมันมานานมาก… มากจนเป็นความเคยชินไปแล้วนะครับ”

สรุปว่าแก้วเปล่าก็คือ safe zone ในทางหนึ่ง แต่ไมค์เองก็อยากจะหา ‘น้ำ’ ของตัวเองเหมือนกัน ฟังดูยากนะ “ผมเป็นแบบนี้ล่ะครับ มันเลยค่อนข้างยากและซับซ้อนนิดนึง” ไมค์ยอมรับ “เหมือนมีคนสองคนที่มีความต้องการแตกต่างกันในตัวผม คนหนึ่งคิดว่าอยู่อย่างนี้ก็ดีแล้ว แต่อีกคนก็ไขว่คว้าการผจญภัยข้างนอก มันคือสภาวะ push and pull ในตัวผมตลอดเวลาเลยครับ”

Something Can’t Be Unseen

แม้ว่าไมค์จะยอมรับว่าการเดินเส้นทางเดิมคงไม่ทำให้เกิดผลลัพธ์ใหม่ๆ ได้ และเขายังรู้ตัวอีกว่าถ้าต้องการจะเปลี่ยนอะไรบางอย่างจะต้องเปลี่ยนตั้งแต่ mindset ในตัวเขาเอง แต่พอเราตั้งคำถามว่าเหตุใดเขาถึงไม่สามารถทำใจเปลี่ยน mindset ตัวเองได้เสียที ทั้งๆ ที่เขาเองก็รู้อยู่แก่ใจแล้ว เขานิ่งเงียบไปนาน ราวกับจะหาคำพูดที่เหมาะสมมาอธิบายสิ่งที่กัดกินอยู่ในใจเขา “ถ้าจะให้อธิบาย…” น้ำเสียงเขาลังเล “มันไม่ใช่ความกลัวที่ผมสร้างขึ้นมาเองนะ สมมติผมเห็นโดนัทชิ้นนี้ตกลงไปบนพื้น มันก็สกปรกแล้ว ถึงจะมีคนหยิบมันกลับขึ้นมาวางที่เดิม แต่ความรู้สึกของผมที่จะเดินไปหยิบ ไปกินมัน มันทำไม่ได้แล้วครับ ผมไม่สามารถ unsee มันได้จริงๆ ถ้าผมไม่เห็นว่ามันตกพื้นไปแล้ว ผมก็จะกินมันได้โดยไม่รู้สึกอะไร และอร่อยด้วยซ้ำ… มันเป็นความรู้สึกประมาณนี้ล่ะครับ สำหรับชีวิตผม คือผมเห็นโดนัทชิ้นนั้นตกพื้นไปแล้ว และผมก็ไปต่อกับตรงนี้ไม่ได้ ซับซ้อนไหมครับ” เขาหัวเราะ สีหน้ายิ้มแย้ม… แต่เป็นเราเองที่ไม่สามารถยิ้มไปกับเขาได้จริงๆ

งั้นเป็นไปได้ไหมว่า จริงๆ แล้วไมค์เองก็โอเคกับการตกอยู่ในสภาวะแบบนี้แล้วก็ได้ ซึ่งกับคำถามนี้ ไมค์เงียบไปนานมาก นานจนเราแอบกลัว แต่ในที่สุดเขาก็ตอบเราด้วยรอยยิ้มเดิม “ที่ผ่านมาผมคิดเยอะมากนะ” เขาถอนหายใจ “ทำยังไงดี แก้ยังไงดีรักษายังไงดี เพราะผมลองมาทุกวิถีทางแล้ว สุดท้ายแล้วเหลือทางเลือกเดียว ก็คือปล่อยวาง ทำตามใจตัวเองดู เผื่อว่ามันจะได้ผล” ซึ่งไมค์เองก็ยังไม่รู้ว่าทางเลือกสุดท้ายของเขานี้จะทำให้เขาก้าวพ้นสภาวะ ‘something can’t be unseen’ ที่เขาติดอยู่ได้ไหม เพราะเขาก็เพิ่งจะตัดสินใจเริ่มทำตามใจตัวเองเมื่อต้นปีที่ผ่านมานี้เอง

“ถ้าคนที่ติดตามผมอยู่น่าจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของผมแล้วนะครับ” เขายังคงรอยยิ้มเดิม “ผ่านทางการโพสต์โซเชียลมีเดียนี่ล่ะครับ เพราะจริงๆ แล้วการเลือกภาพมาโพสต์ลงโซเชียลมีเดียนี่สามารถบอกได้เลยนะครับว่าชีวิตคนโพสต์เป็นยังไงอยู่ มีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง ตอนนี้ผมก็พยายามโพสต์อะไรที่อยากจะโพสต์ อาจจะดูเป็นการเริ่มจากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่หลายคนอาจจะคิดว่าไร้สาระ แต่สิ่งเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้นี่แหละที่จะช่วยเยียวยาผมเองในเบื้องต้น หรือแม้แต่การตัดสินใจว่าปีนี้จะกลับมาอยู่ประเทศไทยมากขึ้น ก็คือการลองย้ายสถานที่ ลองเปลี่ยนบรรยากาศรอบข้างตัวเองดู จะได้รู้ว่าผมจะดีขึ้นไหม มันคือการทดลองอย่างหนึ่งล่ะครับ ถ้าทดลองแล้วมันได้ผลลัพธ์ที่ผมต้องการ ก็แปลว่าผมมาถูกทางแล้ว ก็ค่อยรอขยายผลต่อไปครับ”

แม้ว่าบทสนทนาระหว่างเรากับไมค์จะดูเหมือนวนไปวนมา แต่เรารู้ดีว่าไมค์กำลังพยายามทำตัวเป็นกระจกสะท้อนความอยากรู้อยากเห็นของเราในฐานะนักข่าวโดยการสรรหาคำต่างๆ มาบรรยายสภาวะกลุ่มก้อนทางอารมณ์ที่อยู่ในหัวเขาให้เราเข้าใจได้มากที่สุด เราก็ทำได้เพียงแค่ยิ้มรับความตั้งใจดีของเขา และถ่ายทอดกลุ่มก้อนเหล่านั้นออกมาให้ชัดเจนมากที่สุดตามที่เราพอจะทำได้ และเอาใจช่วยให้เขาหาทางออกจากอะไรบางอย่างที่ตัวเขาเองยังอธิบายไม่ได้เสียที


เสื้อคอกลมประดับคริสตัล จาก Balenciaga

Make Up: Sirima Khongtong 

Hair: Patipan Langkapayom

Assistant Photographers: 

Similan Prangprasert / Watchara Panthong

- Advertisement -