Off The Grid: หลากเรื่องเกี่ยวกับดิว – จิรวรรตน์ สุทธิวณิชศักดิ์ ผู้ชอบตั้งคำถามกับตัวเอง

Share This Post

- Advertisement -

Photographer: Ponpisut Pejaroen

Stylist: Teeratat Somudomsup

Author: Pimpilai Boonjong

ดิวกับเร็น

ชื่อของดิว – จิรวรรตน์ เป็นที่รู้จักครั้งแรกตอนที่มีข่าวว่าเขาได้รับเลือกให้แสดงเป็นเร็น หนึ่งในตัวละครหลักในซีรีส์ F4 Thailand: Boys Over Flowers ซึ่งรีเมกมาจากมังงะเรื่องดัง “ส่วนตัวเราก็ชอบให้คนจำว่าเราเป็นตัวละครนี้นะ เพราะมันเป็นตัวละครที่มีความคล้ายกับเรา มันเป็นคาแร็กเตอร์ที่เราก็ชอบนำออกมาใช้ในชีวิตของเราในบางโอกาส ถ้ามองจากสิ่งที่แสดงออกก็ดูไม่ค่อยใช่คนที่พบได้ทั่วไปในชีวิตจริงเท่าไหร่ ใครมันจะไปแสดงออกอย่างนั้นกัน แต่ถ้ามองภายในจิตใจ คนแบบนี้มันมี และมีอยู่เยอะด้วย แค่วิธีการแสดงออกมันจะไม่เหมือนข้างใน ซึ่งผมเข้าใจมันหมดเลยนะ“ผมว่าเร็นดูแสนดีด้วยบริบทของมัน แม้จะไม่ได้สมหวัง แต่เขาก็ยังเป็นคนดี ซึ่งในความเป็นจริงก็อาจจะหาได้น้อยนะ จะมีสักกี่คนที่เป็นคนดีจนจุดสุดท้าย ผมเคยคิดเหมือนกันนะว่า ถ้าเรามีเงินเท่าเร็น จะทำอะไรหรือตัดสินใจอะไรเหมือนเร็นไหม แต่สิ่งที่ผมคงไม่ทำ ผมคิดว่าผมคงดีจนจุดสุดท้ายไม่ได้แบบนั้น แบบหวังดีสุดๆ แค่อยากให้นางเอกมีความสุข ในชีวิตจริงก็ยังไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้ด้วยว่าเราจะเป็นคนดีสุดๆ ได้ไหม ก็เลยไม่แน่ใจ”

F4 Thailand

เป็นเวลาสองปีได้แล้วที่ดิวได้ใช้ชีวิตเป็นกลุ่มแก๊งกับเพื่อนนักแสดงใน F4 Thailandแม้ซีรีส์จะฉายจบไปได้หนึ่งปีแล้ว แต่การเดินหน้าพบปะกับแฟนๆ ผ่านกิจกรรมแฟนมีตก็ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง “ที่ประทับใจก็คือการได้เจอแฟนๆ นี่แหละ ซึ่งแฟนๆ แต่ละประเทศก็มีวิธีการแสดงออกต่างกัน อย่างที่ญี่ปุ่น เขาพยายามเขียนภาษาไทย มันอาจจะผิดๆ ถูกๆ บ้าง แต่สารที่มันออกมามันซึ้งกว่าปกติอย่างป้ายนึงที่บอกว่า ‘ดีใจที่ F4 เป็นสี่คนนี้’ ซึ่งพี่ไบร์ทเป็นคนเห็นแล้วชี้ให้เราดูมันทัชใจเราทั้งสี่คน เพราะที่ผ่านมาพวกเราพยายาม เหนื่อยมาเยอะ แล้วก็ตั้งคำถามกับตัวเองนับตั้งแต่วันที่เราแคสต์บทนี้มา หรือแม้แต่วันที่ผลงานออกฉายเราก็ยังถามตัวเอง แต่แล้วก็มีคนหนึ่งตอบคำถามให้เราว่า ดีใจที่ F4 เป็นสี่คนนี้ ก็เลยเป็นจุดที่ทัชใจที่สุด”

งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ทัวร์แฟนมีตในฐานะ F4 นั้นก็ดำเนินมาถึงครั้งสุดท้ายที่เกาหลีเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา แน่นอนว่าความรู้สึกใจหายย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา “มันอาจจะไม่มีอะไรแบบนี้อีกก็ได้ โอกาสที่เราสี่คนจะได้ทำงานด้วยกัน ได้ขึ้นเวทีด้วยกัน มันอาจจะน้อยลง มันก็เลยใจหาย เราก็เลยอยากเก็บความรู้สึกนี้ไว้ให้อยู่กับเรานานที่สุด… แต่ในจุดหนึ่ง ก็อาจจะถึงเวลาต้องไปเป็นคาแร็กเตอร์อื่นแล้ว เราอาจจะเก็บความเป็น F4 ความเป็นเร็นนี้ไว้ข้างในแล้ววันนึงอาจจะเอาออกมาใช้ แต่นั่นแหละ… นี่อาจจะเป็นแรงผลักดันสำหรับสิ่งใหม่”

พระเอกเต็มตัว

สำหรับปีนี้ ดิวจะมีผลงานให้เราได้ชมกันถึงสามเรื่อง ทั้งเรื่อง Home School ที่ถ่ายทำต่อเนื่องและใกล้จะได้ชมในอีกไม่นานนี้ รวมถึงอีกผลงานใหม่ ‘Faceless Love รักไม่รู้หน้า’ ที่เขาจะได้ประชันฝีมือกับนักแสดงรุ่นพี่อย่างเก้า – สุภัสสรา และพีช – พชร ซึ่งจะเปิดกล้องครึ่งปีหลัง และผลงานที่เพิ่งเปิดกล้องไปเมื่อไม่นานนี้อย่าง ‘เพราะเธอคือรักแรก’ ประกบคู่กับพรีม – ชนิกานต์ ซึ่งดิวเล่าว่า “คาแร็กเตอร์ใน ‘เพราะเธอคือรักแรก’ ดูจะใกล้ตัวเองขึ้นไปอีก แล้วมันก็ต่างจากเร็นด้วย และด้วยความที่มันเล่าเรื่องตั้งแต่เป็นนักเรียนไปจนถึงตอนทำงาน เลยรู้สึกว่าเหมือนได้เข้าไปใช้ชีวิตเป็นตัวละครและใส่ความเป็นเราเข้าไป แล้วเรื่องนี้เราเป็นพระเอกด้วย ซึ่งเราก็ยังไม่เคยได้เป็นพระเอกมาก่อน ก็ไม่รู้ว่ามันจะออกมาเป็นยังไง ถ้าถามว่าคาดหวังเยอะไหม ผมก็คาดหวังเยอะกับสิ่งต่างๆ นะ มันรู้สึกกดดัน มีความเครียดแล้วก็ความหมกมุ่น ในหัวมันจะคิดซ้ำๆ เกี่ยวกับเรื่องนั้น”

การแสดง

“ผมว่าการแสดงเหมือนการแปลงร่างไปเป็นคนหนึ่งและทำให้คนดูเชื่อว่าเราเป็นคนนั้น รู้สึกว่าอาชีพนี้มันยากแล้วก็วิเศษ คือหลายอย่างมันแปลกไปหมด การเข้าไปเป็นตัวละครและเชื่อในบทนั้นๆ การจะเข้าถึงบทมันกลับต้องใช้ความสบายใจ ความไม่เครียดก่อนที่จะเข้าฉาก ไม่งั้นเราอาจจะไม่เชื่อในบทร้อยเปอร์เซ็นต์ มันน่าจะต่างจากอาชีพอื่นๆ ที่ต้องใช้ความตั้งใจ ความหมกมุ่น ทำซ้ำๆ ผมเองก็พูดไม่ได้ว่าเข้าใจในหลักการ แต่มองว่ามันเป็นวิธีที่แปลกที่จะไปถึงบทนั้น”จนถึงตอนนี้ สิ่งที่เขารู้สึกว่ายากที่ต้องเผชิญหน้ากับมันก็คือซีนที่ต้องร้องไห้ “อาจเพราะเราไม่ได้เป็นคนเซนสิทีฟขนาดนั้น แล้วในชีวิตจริงเราคงไม่ร้องเพราะเรื่องนั้นเหมือนตัวละคร มันมีหลายๆ เรื่องที่เราไม่ร้องจนเราอาจจะลืมการร้องไห้ไปแล้วมั้ง ถ้าไม่นับในคลาสการแสดง เราร้องไห้น้อยมาก เราอาจจะเสียใจมากแต่ร้องไห้ไม่ออก แต่ความที่บทมันต้องร้องไห้ มันเลยเป็นจุดที่ยากจริง”

ศิลปะ

สิ่งหนึ่งที่เขาผูกพันสุดๆ ก็คงต้องยกให้ศิลปะ “ผมวาดรูปมาตั้งแต่อนุบาลสองแล้ว พอเพื่อนบอกว่าเราวาดสวย ยิ่งได้รับคำชม เราก็ยิ่งชอบ อยากต่อยอด อยากทำสิ่งนั้นต่อไป ปัจจุบัน ผมก็ดรอว์อิ้งได้ สเก็ตช์ด้วยปากกาก็ได้ ใช้สีน้ำ สีโปสเตอร์ อะครีลิกก็ได้ แต่ความที่ผมชอบใช้เงา ผมก็เลยชอบพวกสีฝุ่น เอาคาร์บอนมาบดแล้วก็เอามาระบาย ผมเคยฝันอยากเป็นนักวาดการ์ตูนด้วยนะ รู้สึกว่าเราสร้างโลกนึงขึ้นมาได้โดยใช้แค่ปากกา มันเป็นอาชีพที่วิเศษมากเลย”ถ้าจะมีสิ่งหนึ่งที่ศิลปะสอนเราเกี่ยวกับชีวิต… “พอเรียนศิลปะไปถึงจุดหนึ่งเราจะมีความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ต่อให้วาดรูปสิ่งเดียวกันมันก็จะออกมาไม่เหมือนคนอื่น แล้วถ้าเราเจอเอกลักษณ์ของตัวเองแล้วก็จะไม่สามารถเทียบกับใครได้ว่าใครวาดสวยกว่ากัน ผมว่ามันวัดค่าไม่ได้ การใช้ชีวิตก็เหมือนกัน ทุกคนมีเส้นทางของตัวเอง และตัวเราเองก็มีแค่คนเดียว ผมก็เลยคิดว่าชีวิตมันคล้ายศิลปะนั่นแหละ ถ้าเรามีความเป็นตัวเอง ชอบอะไรก็ทำแบบนั้นจนเป็นเอกลักษณ์ของเราเอง จนถึงจุดหนึ่งเราก็ไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบกับใคร ซึ่งผมว่ามันดีนะ”

แฟชั่น

“ผมเข้าวงการจากการเป็นนายแบบ แต่ประสบการณ์ก็ไม่ได้เยอะมาก ส่วนตัวผมว่าโลกแฟชั่นมันมีความไม่สิ้นสุด เหมือนวาดรูปเลยครับ สิ่งต่างๆ มีความแตกต่างและเอกลักษณ์ พอเอาบางอย่างมารวมกันมันก็อาจจะกลายเป็นสิ่งใหม่อย่างคนที่เขาทำครีเอทีฟ ที่จับเอาสิ่งต่างๆ มารวมกัน ผมยังคิดเลยว่าเขาต้องมองภาพยังไงถึงออกมาเป็นภาพที่สวยได้ เขาต้องใช้อะไร เขามีตาทิพย์หรือเปล่า“ส่วนสไตล์ผม ถ้าไม่ใช่วันทำงาน ผมชอบใส่สีเอิร์ธโทนนะ สีที่อยู่ตรงกลางระหว่างสีเข้มกับสีอ่อน บางทีผมก็ชอบสีเข้ม มันดูเรียบร้อยแต่ดูสบาย หรือบางทีชอบเลเยอร์เสื้อกับแจ๊กเก็ตนะ แต่เป็นแจ๊กเก็ตที่ไม่ต้องเวอร์มาก มันดูมีความเป็นตัวผมดี”

เดินทาง

“จริงๆ ผมไม่ค่อยเดินทางนะ ผมชอบอยู่บ้านมากกว่า แต่ถ้าไปต่างประเทศไปซึมซับบรรยากาศ ผมก็ชอบนะ ผมชอบคิดว่า ถ้าเราเกิดที่นั่นและใช้ชีวิตที่นั่นตั้งแต่เกิด เราจะเป็นคนยังไง คือคนเราก็เกิดได้ครั้งเดียว ที่เดียว ความทรงจำวัยเด็กมันก็มีได้รอบเดียว มันเปลี่ยนไม่ได้ มุมมองตอนเด็กเราก็เปลี่ยนมันไม่ได้คือถ้าเลือกได้จริงก็อยากลองเป็นคนเมืองหนาวนะ เพราะเรามาจากเมืองร้อน อยากลองเดินลุยหิมะไปเรียนดูบ้าง”

คำถาม

“ผมตั้งคำถามกับตัวเองเยอะนะ ผมชอบคุยกับตัวเอง เราโอเคหรือยัง เราทำถูกหรือเปล่า ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องของความเหมาะไม่เหมาะนี่แหละ”

เวลา

“ผมไม่ได้อยากย้อนเวลานะ เพราะถ้าแก้ไขมันก็จะกระทบไปหมด ไม่อยากรู้อนาคตด้วย เพราะมันเป็นการสปอยล์ ก็อยู่กับเวลาปัจจุบัน อยู่แบบลุ้นๆ ไปกับมัน”

ความภูมิใจ

“ความเป็นตัวเองนี่แหละ”

Make-Up: Piyachet Thanachotruechuwong

Hair: Sukwasa Khadphab

Model: Jirawat Sutivanichsak

Videographer: Panlit Voravutvityaruk

Assistant Stylist: Kittisak Chullawichit

Assistant Photographers: Manosit Boonnon / Wiroon Wuttiphongdecha

- Advertisement -