บทสัมภาษณ์และการเติบโตขึ้นทุกวันกับ ‘Three Man Down’
Photographer: Napat Gunkham
Stylist: Teeratat Somudomsup
หลังจากที่ปล่อยเพลง ‘ปล่อยให้เวลา’ ‘น้อง’ และ ‘ไหนว่าเลิกแล้ว’ ออกมาให้แฟนๆ เห็นทิศทางการเติบโตของวงไปเรียบร้อยแล้ว ลอฟฟีเซียล ออมส์ ก็ชวนกิต – กฤตย์ จีรพัฒนานุวงศ์, ตูน – พีรพล เอี่ยมจำรัส, เส็ง – วิศรุต ปฐมสิริไพศาล และเต – เตธนันท์ วงศ์ปรีชาโชค มาคุยกันถึงเรื่องการเติบโต เปลี่ยนแปลง และบางสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างทางการเป็น Three Man Down
ทิศทางเดิม การตีความใหม่
“เป็นทิศทางเดิมนะครับ” กิตรับบทตัวเปิดเมื่อเราตั้งข้อสังเกตว่า เพลง ‘ปล่อยให้เวลา’ นั้น วงดูเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งเนื้อหาเอ็มวี และดนตรี “แต่เป็นอีกมุมมองหนึ่งมากกว่า จริงๆ แล้วพวกเราก็เคยทำเพลงแบบนี้อยู่แล้วนะ แต่ช่วงก่อนๆ พวกเรายังสนุกกับสิ่งอื่นอยู่ พอมาตอนนี้ เราอยากทำสิ่งนี้ มันก็ยังเป็นตัวพวกเราเหมือนเดิมน่ะครับ”
เตรีบเสริมว่าพาร์ทดนตรีที่เราเห็นว่าเปลี่ยนไปนั้น มันคือ DNA เดิมๆ ของวง “มันอยู่ในสายเลือดครับ” เสียงเขาหนักแน่น “เพราะเราใช้สกิลล์เก่าๆ ของเรามาประยุกต์ใช้ให้เพลงมันฟังดูโมเดิร์นเฉยๆ อัลบั้มแรกอาจจะฟังไม่ใช่แบบนี้ เพราะเราอาจจะทำทุกอย่างไปตามความเชื่อของเราในยุคนั้น แต่กับความเชื่อในยุคนี้ มันเหมือนย้อนกลับไปเอาวัยเด็กของเราคืนมา ผมเลยรู้สึกเหมือนเราย้อนกลับไปเล่นดนตรีเหมือนวัยรุ่นอีกครั้งน่ะครับ” ซึ่งเส็งก็รีบต่อทันทีว่า “พวกเราชอบเพลงร็อคอยู่แล้วครับ” ตูนสำทับว่า “ตอนนี้ก็ทำเพลง ทำดนตรีตามใจตัวเอง เอาวัยเด็กของพวกเรากลับมาอีกครั้ง”
Three Man Down เรียกได้ว่าเป็นวงร็อคที่ยืนระยะมาได้สักพักแล้ว พวกเขาคิดว่าอะไรเป็นสิ่งที่ทำให้วงยังเป็นวงอยู่ในทุกวันนี้กันนะ “ผมว่าพวกเรามีคาแรกเตอร์ที่คล้ายกัน แต่ไม่เหมือนกัน ทุกคนมีความฝันใกล้ๆ กัน แต่มีความชอบ และความถนัดไม่เหมือนกัน มันเลยทำให้วงเราเป็นส่วนผสมที่มีหลายรสชาติ คนหนึ่งก็ชดเชยอีกรสชาติที่อีกคนหนึ่งหายไป ทั้งเรื่องดนตรีที่ทำให้เราสามารถช่วยแทนกันได้ในแต่ละท่อน ถือเป็นข้อดีนะครับ เพราะถ้าเราเหมือนกันหมด คนอื่นอาจจะไม่เข้าใจเราก็ได้นะครับ” เตตั้งข้อสังเกต “และ DNA ของวงมันค่อนข้างมีความเป็นเพื่อนสูงอยู่แล้วนะครับ มันเลยรู้สึกว่าคุยกันได้ ชดเชยกันได้ ช่วยเหลือกันได้ทั้งในเรื่องการทำงาน และการอยู่ร่วมกันนะครับ” นี่คือคำตอบจากเต
“จริงๆ แล้ว Three Man Down เป็นวงที่วางแผนล่วงหน้าไม่ไกลมากนะครับ ปีต่อปีเท่านั้นเอง” ตูนตอบคำถามที่ว่าด้วยความพึงพอใจของสมาชิกที่มีต่อภาพลักษณ์ของวงในปัจจุบัน “พวกเราค่อยๆ ขยับไปทีละอัลบั้ม อัลบั้มแรกก็มองว่าจะทำเพลงป็อปร็อค ซาวด์เฉียบๆ ก็ทำตามแผนนั้นที่วางไว้ ส่วนตอนนี้ เราเปลี่ยนแผนใหม่ ลองใส่ส่วนผสมใหม่ๆ เข้าไป ฉะนั้น ถ้าจะถามว่าวงเราเป็นวงประเภทไหน ผมไม่อยากจะไปจำกัดความหรอกครับ เพราะแนวดนตรีมันเปลี่ยนไปได้ตลอด วงดนตรีวงหนึ่งสามารถขยับไปในทิศทางใหม่ๆ ได้ ไม่ว่ามันจะได้รับผลตอบรับที่ดี หรือแย่ มันก็ควรจะขยับนะครับ”
“ส่วนตัวผมรู้สึกว่าพวกเราพอใจกับการเดินทางของ Three Man Down มาเรื่อยๆ อยู่แล้วนะครับ” เส็งเสริม “เพราะมันเกิดจากตัวเราจริงๆ ทุกแผนที่เราคิด เราได้เช็คพ้อยท์กันมาเรื่อยๆ เราไม่เคยไม่รู้สึกไม่โอเคกับวง เพราะสิ่งที่เราเคยคุยกัน มันยังคงเป็นแนวทางนี้อยู่ครับ” ซึ่งเตก็รีบสำทับว่า “ถ้าวันหนึ่งเราไปไม่ถึงจุดเช็คพ้อยท์ที่เราคุยกันไว้ เราอาจจะหาวิธีการที่มันสร้างสรรค์ขึ้น เพื่อไปถึงจุดเช็คพ้อยท์ให้ได้น่ะครับ” และเส็งก็ไม่ยอมน้อยหน้า “หรือหาทางเดินแยกออกไป เพื่อให้มันต่อไปให้ได้ และถ้าเราไปถึงจุดใหม่ พวกเราก็จะพอใจอยู่ดีครับ เพราะมันคือการตัดสินใจของวงน่ะครับ”
“ผมมองว่าสุดท้ายแล้ว DNA ของ Three Man Down คือทุกคนอยากเล่นดนตรีน่ะครับ” กิตสรุปจบ “ทุกคนอยากทำงานเกี่ยวกับดนตรี เวลาคนเรามันอยากจะไปในทิศทางไหน มันก็จะหาลู่ทางไปให้ได้ล่ะครับ มันคือความตะเกียกตะกายอย่างหนึ่ง ผมคิดว่าการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งซ้ำๆ ผลลัพธ์มันก็จะดร็อปลงเป็นเรื่องปกติ แต่การเลือกทำอะไรที่หลากหลาย ผลลัพธ์อาจจะดีขึ้นบ้าง แย่ลงบ้าง แต่มันก็จะเปิดหนทางอื่นๆ ให้เราก้าวต่อไปได้น่ะครับ”
ตัวตนเดิม กับความเสี่ยงที่มากับการเปลี่ยนแปล
งอีกหนึ่งปรากฏการณ์ที่เราเห็นจากการทำเพลงของวงที่ยืนระยะมานาน คือการที่วง ‘ต้องเลือก’ ระหว่างการทำเพลงในแบบที่เป็นตัวเอง 100% แบบที่แฟนคลับชอบและเดาทางได้อยู่แล้ว หรือลองแหวกแนวใหม่ๆ ไปเลย วงคิดว่าวงจะเลือกอะไร
“จริงๆ ตอนนี้ที่ทำอยู่ก็เป็นตัวเอง 100% เลยนะ” ตูนตอบทันที “ตั้งแต่อัลบั้มแรกเลยแหละ” กิตสำทับ ซึ่งตูนก็ต่อทันที “จริงๆ พวกเราเลิกคิดทำเพลงเพื่อคนอื่นตั้งแต่เพลง ‘ฝนตกไหม’ แล้วนะ เพลงนั้นเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของวงเลยนะ ก่อนหน้านี้พวกเราเคยคิดว่า เพลงต้องแต่งขึ้นมาเพื่อคนอื่น พวกเราเคยคิดว่าจะแต่งเพลงที่เหมาะกับทุกคน แต่เพลงพวกนั้นไม่เคยประสบความสำเร็จเลย พอเพลง ‘ฝนตกไหม’ มันประสบความสำเร็จ พวกเราเลยใช้ความรู้สึกนี้ในการทำเพลงมาตลอด คือทำเพลงที่มีด้านที่คนฟังชอบ และมีอีกด้านที่เป็นตัวเรา เป็นสิ่งที่เราชอบไปด้วย พวกเราเลยคิดว่าตอนนี้พวกเราทำตามใจตัวเองตั้งแต่แรกน่ะครับ”
“ผมอยากให้คนมองในมุมนี้มากกว่านะ” เส็งขัดขึ้นมา “คนเรามักจะคิดว่า ถ้าทำอะไรแปลกไปจากเดิมๆ มันจะไม่ใช่ตัวเราใช่ไหมครับแต่ผมกลับมองว่าความเป็นตัวเราคือสิ่งที่ออกมาจากตัวเรา ท้ายสุดแล้วสิ่งที่เราทำ มันก็คือความเป็นตัวเราในมุมใดมุมหนึ่งอยู่นั่นล่ะครับ” ซึ่งตูนก็รีบเสริมทันที “อย่างที่บอกไปล่ะครับ เราอยากให้คนได้ลองสัมผัสอะไรใหม่ๆ ไปเรื่อยๆ ไม่อยากทำซ้ำแบบเดิม เพราะรู้สึกว่าการทำอะไรซ้ำๆ เหมือนเดิมมันคือการทำอะไรแย่ๆ แต่การก้าวไปข้างหน้า มันมีผลสองอย่างไม่ดีขึ้นก็แย่ลง แต่ทำเหมือนเดิม มันก็ผลลัพธ์เดิมจริงๆ น่ะครับ”
“การทำเหมือนเดิม ผลลัพธ์มักจะไม่ได้ดีขึ้น” กิตยอมรับ ซึ่งตูนก็สนับสนุนเขา “ผมว่ามันไม่ท้าทายด้วยล่ะครับ กับการทำอะไรซ้ำๆ” กิตเพิ่มเติม “จริงๆ ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเสมอในทุกๆ วัน แต่เราอาจจะอยู่ในสังคมที่ไม่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงเท่าไหร่นะ เพราะทุกการเปลี่ยนแปลงคือความเสี่ยง”

เสน่ห์ของการแสดงสด และเสน่ห์ของ Three Man Down
“ผมคิดว่าคอนเสิร์ตมันคือ magical moment นะครับ” เตยิ้มเมื่อเราตั้งข้อสังเกตว่าทุกการขึ้นคอนเสิร์ตของ Three Man Down นั้นให้ความรู้สึกแตกต่างกันเสมอ “อย่าว่าแต่คอนเสิร์ตเลย” กิตเสริม “หนังเรื่องเดิม คุณดูอีกครั้ง คุณก็รู้สึกไม่เหมือนเดิม ถูกปะล่ะ มันไม่มีอะไรเหมือนเดิมหรอกครับ
“พวกเราอาจจะเล่นเหมือนเดิมก็ได้นะ แต่วันหนึ่งคุณมาดูเต อีกวันคุณมาดูเส็ง คุณก็รู้สึกไม่เหมือนเดิมละ” กิตพูดต่อเนิบๆ “มุมที่คุณยืน เสียงที่คุณได้ยิน สิ่งนั้นแหละคืองานศิลปะ งานศิลปะมันอยู่ที่การตีความผ่านความรู้สึก ณ โมเมนต์นั้นๆ เพราะฉะนั้น องค์ประกอบทุกอย่างส่งผลต่อความรู้สึกของคุณ
หมดล่ะครับ”
แล้วเสน่ห์ของวงคืออะไรล่ะ ในความเห็นของสมาชิกวง “เพราะเราไม่เหมือนกัน” เตตอบทันที “มันเป็นส่วนผสม เป็นฟันเฟืองที่มีคาแรกเตอร์ให้มองได้หลายมุม ทุกคนแตกต่างกัน แต่พอมองภาพรวมเป็นคำว่า Three Man Down มันคือสิ่งเดียวกัน”
“ถ้าเปรียบพวกเราเป็นฟันเฟืองอย่างที่เตว่านะ” กิตเสริม “มันก็คือหลักการเดียวกับเครื่องจักร เรื่องการทดแรง คือถ้าเฟืองทุกตัวใหญ่หมด เครื่องจักรอาจจะหมุนไม่ไหว วงเราอาจจะเหนื่อย เพราะทุกคนใหญ่ไปหมด ความคิดมันล้น ก็เหนื่อยกันไปเอง” ซึ่งเตก็แย้งทันที “ผมมองว่ามันขึ้นอยู่กับ material ของฟันเฟืองนะ กิตอาจจะเป็นฟันเฟืองเงิน ผมเป็นฟันเฟืองไม้ เส็งเป็นฟันเฟืองทอง ส่วนตูนเป็นฟันเฟืองอะคริลิก แต่ทั้งหมดมันหมุนให้นาฬิกาเรือนนี้ไปในทิศทางเดียวกัน สุดท้ายแล้ว นาฬิกาจะเดินได้หรือไม่ได้ มันคือพวกเราว่าเราแสดงประสิทธิภาพของฟันเฟืองแต่ละตัวที่แตกต่างกันไปตาม material ได้มากแค่ไหนมากกว่านะ”
ในท้ายที่สุดแล้ว เสน่ห์ของวงก็ขึ้นอยู่กับคนที่มองมาอยู่ดีนั่นแหละ “จริงๆ แล้วผมพูดเองไม่ได้หรอกนะ” เตว่า “เรื่องเสน่ห์ต้องให้คนอื่นพูด เพราะแต่ละคนก็มอง Three Man Down ไม่เหมือนกัน ให้คนอื่นเป็นคนตอบแล้วกันครับ”
อนาคตที่ไม่มีใครมองเห็น
“การได้เล่นดนตรีไปเรื่อยๆ ในแบบที่เราอยากจะเล่น การได้ทำในสิ่งที่เราอยากจะทำไปเรื่อยๆ กับบรรยากาศรอบตัวที่รู้สึกว่าวงเรายังเป็นที่ต้องการอยู่ครับ” นั่นคือภาพอนาคตของวงที่กิตเห็น “ผมเชื่อว่าหลายๆ คนก็อยากทำแบบนี้ในบั้นปลายชีวิตล่ะครับ ได้ทำงานที่รักกับคนที่รัก เพื่อให้เราและคนที่เรารักมีความสุขล่ะครับ”
“ในอนาคตมันอาจจะมีความท้าทายใหม่ๆ เกิดขึ้นในวงการดนตรีไทยก็ได้นะ” เตเสริม “เราไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร แต่ถ้าวันนั้นมันมีโอกาส และมีพวกเราอยู่ตรงนั้น ผมเชื่อว่าThree Man Down จะพร้อมประโจนเข้าไปสู่ความท้าทายใหม่ๆ เหล่านั้นแน่นอน พวกเราอาจจะพังก็ได้ ก็ต้องรอติดตามกันต่อไปนะครับ”
โอเค… อนาคตอาจจะมองไม่ชัดนัก แต่แฟนคลับตรงหน้าล่ะ “ก็เหมือนเดิมเลยครับกับแฟนคลับ” น้ำเสียงของกิตอบอุ่น “เราให้ทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของเมืองนี้ ส่วนหนึ่งของวงนี้เหมือนเดิมครับ อยากจะขอบคุณเสมอมาที่เข้าใจพวกเรา บางคนอาจจะหมุนเวียนมาชั่วคราว บางคนอาจจะอยู่มานานตั้งแต่เพลงแรก บางคนอาจจะเพิ่งเข้ามา แต่ผมขอบคุณทุกคนที่ยังอยู่ตรงนี้ ไม่ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าพวกเราจะแยกกันวันไหน วงจะแยกกันไปก่อน หรือแฟนคลับแยกจากเราไปก่อน ไม่ว่าใครจะแยกไปก่อน ผมอยากให้ความรู้สึกตอนนี้เป็นพลังบวกเวลาย้อนกลับมานึกถึงเสมอ ในวันที่คุณอายุ 60 ปีแล้ว ลูกหลานมาเปิดเพลงนี้ให้คุณฟัง คุณจะได้พูดเต็มปากว่าปู่เคยไปดูคอนเสิร์ตของวงนี้ช่วงวัยรุ่นมานะ อยากให้ความรู้สึกด้านบวกแบบนี้ยังอยู่เสมอไปเมื่อนึกถึงโมเมนต์ที่ได้มาคอนเสิร์ตเราครับ”
“ย้อนกลับไปคำตอบเดิมของผมครับ” เตสรุปจบ “Three Man Down คือฟันเฟืองครับ ผมรู้สึกว่าแฟนคลับคือฟันเฟืองจำนวนมหาศาลที่หมุนไปตามวงล้อหลัก คือพวกเราสมาชิกวง บางคนอาจจะออกไปพัก หรือออกไปเลย แต่ก็จะมีฟันเฟืองที่ทำให้วงล้อนี้สามารถหมุนไปเรื่อยๆ ด้วยแรงที่คงที่ หรือเร็วขึ้นได้เสมอ ผมขอบคุณทุกคนที่เสียแรง เสียเวลา และเสียสละอะไรส่วนตัวบางอย่างมาเพื่อสนับสนุนวง ผมขอบคุณเสมอครับ”
– Author: Pacharee Klinchoo –
สตรีมเพลง ‘ปล่อยให้เวลา’ ‘น้อง’ และ ‘ไหนว่าเลิกแล้ว’ ของ Three Man Down ได้แล้วทุกช่องทางออนไลน์
Make Up: Thotsapol Wongbanchang
Hair: Jatupong Chumjam