Fat Fox and Moon Journey & The Journey of Chanathip
ด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารอันไร้พรมแดนในปัจจุบัน ทำให้การชมงานศิลปะเป็นเรื่องสะดวกง่ายดายขึ้น จากที่ก่อนหน้านี้เราต้องเดินทางออกจากบ้านไปหาชมงานตามหอศิลป์ต่างๆ แต่ทุกวันนี้เราสามารถชมงานจากการแค่ขยับปลายนิ้ว ศิลปินหลายคนเปลี่ยนพื้นที่จากการแสดงงานในหอศิลป์มาแสดงบนโซเชียลมีเดียให้เราติดตามกันมากมาย ในจำนวนนั้นมีศิลปินคนหนึ่งที่เราติดตามผลงานของเขาในโลกออนไลน์มาระยะหนึ่ง ด้วยความที่เราถูกใจผลงานแกะสลักไม้ตัวละครหลากหลายที่ล้วนแล้วแต่เปี่ยมเสน่ห์ น่ารักน่าชัง แต่งแต้มด้วยสีสันสดใส ถึงแม้จะเป็นผลงานแกะสลักไม้ที่เต็มไปด้วยรายละเอียดประณีตบรรจง แต่ก็ยังหลงเหลือร่องรอยของการแกะไม้เอาไว้ให้เห็นราวกับเป็นฝีแปรงของศิลปินก็ไม่ปาน ทำให้ผลงานของเขาดูมีความอบอุ่น เปี่ยมอารมณ์ความรู้สึก ผลงานเหล่านี้ถูกนำเสนอในเพจที่มีชื่อว่า ‘Fat Fox and Moon Journey’ โดยชนาธิป ชื่นบำรุง ผู้จบการศึกษาจากภาควิชาภาพพิมพ์ คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร หากแต่หันเหมาทำงานแกะไม้ในภายหลังถึงแม้ชนาธิปจะลงผลงานให้ชมอย่างสม่ำเสมอทางเพจของเขา แต่สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น และดูงานออนไลน์ในจอก็ไม่เท่ากับได้เห็นของจริง เมื่อเขามีนิทรรศการแสดงเดี่ยวเป็นครั้งแรกอย่าง ‘The Journey of Chanathip’ ในพื้นที่จริงอย่าง Old Town Gallery เราจึงไม่พลาดโอกาสที่จะไปชมผลงานของเขาให้เห็นกับตา และหยิบฉวยเอาเรื่องราวของเขามาเล่าสู่ให้ฟังกัน ณ บัดนาว
“เราเริ่มต้นแกะไม้จริงจังเมื่อ 12 ปีที่แล้ว ก่อนหน้านี้เราสอนศิลปะอยู่ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา 5 – 6 ปี แล้วก็กลับมาอยู่กรุงเทพฯ มาเป็นอาจารย์พิเศษที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร แล้วก็ออกมาทำงานบริษัท ไปๆ มาๆ ก็รู้สึกเบื่อที่จะออกจากบ้าน คิดว่าเราทิ้งสิ่งที่เราเรียนมาไปหมด เราเห็นรุ่นพี่ เห็นเพื่อน เห็นน้องๆ เป็นศิลปินกันหมด เราอยากเป็นศิลปินกับเขาบ้าง ก็เลยต่อเฟรมเองเพื่อเขียนรูป เขียนเยอะมาก แต่ก็ไม่ได้แสดงที่ไหน สมัยนั้นยังไม่มีโซเชียลมีเดีย ทำไปทำมาก็รู้สึกว่าไม่ใช่ความสุขที่แท้จริงเท่ากับการที่เราเอาเศษไม้ที่เหลือจากการต่อเฟรมเองมาแกะสลักเล่นด้วยมีดคัตเตอร์ แล้วรู้สึกเพลิดเพลินกว่า รู้สึกตอบโจทย์ตัวเองกว่าการทำงานศิลปะที่เคยคิดเอาไว้ แกะเสร็จก็เอาให้เพื่อน ให้แฟน ก็เริ่มทำมาเรื่อยๆ ยาวมาสิบกว่าปีแล้ว”
“ความจริงการแกะไม้เป็นการเติมเต็มความสุขที่ฝังรากมานานตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว ตอนเรียนเราเครียดกับศิลปะ เครียดกับครูบาอาจารย์ เครียดกับงานเรียน ที่ต้องเป็นอาร์ตจ๋า เราเบื่อ ก็เลยแกะไม้เล่นเพื่อคลายเครียด พอกลับมาทำงานศิลปะอีกก็ยังไม่ใช่อีก การแกะไม้ก็เลยกลายเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขและคลายเครียดมากกว่า”
“เราเรียนศิลปะภาพพิมพ์มา ไม่ได้เรียนประติมากรรม แต่พอจบมาแล้วเราชอบประติมากรรม ไปทำงานประติมากรรมทรายพักหนึ่งด้วย ช่วงนั้นออกจากงาน เราก็ไม่อยากกลับไปทำงานประจำ แต่พอว่างงานก็ไม่มีสตางค์ จะเป็นศิลปินเขียนรูปขายก็ยากลำบาก เราเองก็โนเนม ไม่รู้จักใคร และไม่มีใครรู้จักเรา ก็กลับมาหาอะไรที่เราเคยทำแล้วชอบอย่างการแกะไม้ ทำเสร็จเอาไปฝากขายที่คาเฟ่ของเพื่อน ก็ขายไม่ค่อยได้ แต่ก็ยังไม่เลิกทำ ก็ยังเพียรแกะไม้อยู่ แต่ก็ไปสมัครงานที่สวนสยาม ถึงแม้อายุเราเยอะ เขาก็ยังรับ เพราะโปรไฟล์เราดี เราเคยทำงานอยู่กับไชโยโปรดักชั่นส์ ทำงานประติมากรรมทรายร่วมกับศิลปินต่างชาติ ได้ลงสื่อต่างๆ เป็นกระแสอยู่พักหนึ่ง แต่ก็ไม่ยั่งยืน เพราะประติมากรรมทรายทำเสร็จแล้วแป๊บเดียวก็พัง ก็ได้งานซ่อมหุ่นไดโนเสาร์ที่สวนสยาม ทำอยู่สองวันก็ลาออก ทั้งๆ ที่ที่ทำงานดีมาก สวัสดิการก็ดี แต่เราอยากแกะไม้ เราไม่สนใจว่าจะขายได้หรือขายไม่ได้ ช่างมัน จะอาร์ตหรือไม่อาร์ต ช่างมัน”
“เราจำได้ว่าเริ่มกลับมาทำงานแกะไม้ชิ้นแรกๆ ตอนปี 2010 ตอนนั้นยังทำเป็นตัวละครที่เราชื่นชอบจากการ์ตูนญี่ปุ่น เติมเต็มสิ่งที่เราเคยขาดหายไปตอนเด็กๆ พวกหุ่นยนต์เกรทมาชินก้า, เทตสึจิน หุ่นเหล็กหมายเลข 28, ไอ้มดแดง, เจ้าหนูปรมาณู, หน้ากากเสือ พอดีช่วงนั้นเริ่มมีโซเชียลมีเดียแล้ว แกะเสร็จแล้วก็โพสต์ลงเฟซบุ๊กลงอะไรไป ไม่ได้โพสต์ขายด้วย ด้วยความหน้าบาง ไม่กล้าขายของ จนวันนึง เราโพสต์งานแกะไม้รูปหน้ากากเสือ ก็มีคนมาติดต่อขอซื้อทางเฟซบุ๊ก คนนั้นใช้ชื่อว่า Boyd Kosiyabong เขาบอกว่าอยากได้งานแกะไม้หน้ากากเสืออันนี้ เราจะขายไหม ตอนนั้นเรายังไม่มั่นใจว่าเขาคือพี่บอย โกสิยพงษ์ จริงๆ ไหม เข้าไปส่องโปรไฟล์ก็ดูเหมือนจะเป็นตัวจริง เราก็ขายเขาไป ช่วงนั้นก็เลยบูมมาก เพราะพอแกะอะไรมาเกี่ยวกับตัวละครการ์ตูนญี่ปุ่น สองสิงห์อวกาศเอย อะไรเลย พี่บอยเขาซื้อหมดเลย แกะเสร็จ โพสต์ปุ๊บ เขาจะมาพิมพ์ว่า ‘จอง’ ทุกครั้ง ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ราคา พี่บอยซื้อเสร็จแล้วก็เอาไปตั้งโชว์ที่ค่ายเลิฟอีส ศิลปินที่ค่ายมาเห็นก็ตามมาซื้อกับเรา ตอนแรกเราก็ขายไม่แพง เพราะเราคิดว่างานเราไม่ใช่ศิลปะ เป็นแค่ของเล่น ราคานี้ก็โอเคแล้ว”
“พอแกะไปสักพัก เราก็เริ่มอยากสร้างคาแรกเตอร์ของตัวเอง ก็เริ่มคิดว่าเราน่าจะออกแบบคาแรกเตอร์เฉพาะตัวขึ้นมา ก็คิดเป็นคาแรกเตอร์ชื่อ Fat Fox ซึ่งมีที่มาจากตัวเราเอง ที่เหมือนเป็นหมาป่าในนิทานหนูน้อยหมวกแดง เพราะเราคิดว่าตัวเองไม่ใช่คนดี แล้วตอนนั้นก็มีปัญหาครอบครัว ปัญหาส่วนตัวต่างๆ ก็เลยทำออกมาเป็นคาแรกเตอร์หมาจิ้งจอก ที่เป็นตัวละครเจ้าเล่ห์ เป็นจิ้งจอกอ้วนๆ ไม่สมบูรณ์แบบ เราก็เล่าเรื่องราวชีวิตของตัวเองผ่านจิ้งจอกตัวนี้ ช่วงนั้นชีวิตกำลังอยู่ในขาลง เลิกกับแฟนที่คบมานาน ไม่มีแรงบันดาลใจ เบื่อ หมดกำลังใจจะมีชีวิตอยู่ มีช่วงหนึ่งก็ทำออกมาเป็นเหมือนจิ้งจอกตัวกำลังจะผูกคอตาย แต่จู่ๆ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาในชีวิต มาให้กำลังใจ ช่วยเหลือโน่นนี่ ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่เราขาดหายไป เหมือนเป็นแสงสะท้อนจากดวงจันทร์ เป็นแสงเดียวที่เรามีในยามที่ชีวิตมืดมนอยู่ตอนนั้น เราก็เลยสร้างเป็นคาแรกเตอร์ชื่อ Moon คือเด็กหญิงดวงจันทร์ที่เป็นแสงสว่างแห่งความหวังอันเดียวที่เรามี ก็เลยกลายเป็นที่มาของคาแรกเตอร์ Fat Fox & Moon ขึ้นมา เหมือนเราทำเพื่ออุทิศให้กับน้ำใจและความช่วยเหลือของเขา ตอนนี้เขาก็มาเป็นผู้จัดการส่วนตัวให้เรา คอยดูแลงานเราเบื้องหลัง ไม่ว่าจะเป็นการขายงาน การตลาด การทำโปรโมท ดูแลเพจเฟซบุ๊กและอินสตาแกรม ติดต่อลูกค้าต่างชาติ ตอนนี้ก็มีบริษัทอาร์ตทอยไต้หวันมาติดต่อขอเอาคาแรกเตอร์ Moon ตัวนี้ไปทำเป็นของเล่นด้วย” เอกลักษณ์เฉพาะตัวอีกประการในผลงานแกะไม้ของชนาธิปที่แตกต่างจากนักทำงานแกะไม้คนอื่นก็คือ แทนที่เขาจะใช้อุปกรณ์แกะสลักไม้ตามปกติอย่างเครื่องมือแกะสลักไม้ หรือสิ่วแกะสลักไม้ เหมือนชาวบ้านชาวช่องเขา แต่ชนาธิปกลับใช้อุปกรณ์ธรรมดาๆ ที่หาได้ทั่วๆ ไปอย่างคัตเตอร์ มาใช้แกะสลักไม้แทน แต่คัตเตอร์ธรรมดาๆ นี่แหละ ที่เมื่อมาอยู่ในมือของชนาธิปแล้ว ก็กลับกลายเป็นอุปกรณ์อันเปี่ยมประสิทธิภาพไม่แพ้อุปกรณ์แกะสลักไม้ชั้นดีเลยแม้แต่น้อย”
“ที่เราใช้คัตเตอร์แกะเพราะมันสะดวก ความจริงเราก็มีแฟนคลับส่งอุปกรณ์แกะไม้ดีๆ มาให้ใช้ มาให้ช่วยรีวิวนะ แต่เราก็ไม่ใช้ ก็ใช้แต่คัตเตอร์เหมือนเดิม เพราะเราใช้ไม้สนแกะสลัก ที่เลือกใช้ไม้สนเพราะตอนที่เริ่มทำเราไม่มีสตางค์ เหมือนที่บางคนเคยบอกว่า ‘ถ้ารักจะทำงานศิลปะแล้วไม่มีเงินซื้อสีซื้ออุปกรณ์ ก็ให้กรีดเลือดมาเขียนรูป’ เราไม่รู้ว่ามีคนทำอย่างนั้นจริงๆ หรือเปล่านะ แต่เราอยากแกะไม้ แต่ไม่มีสตางค์ เราก็ไปร้านเฟอร์นิเจอร์แถวคลองเตย ไปขอซื้อเศษไม้ที่เขาเหลือจากทำเฟอร์นิเจอร์มาแกะ พอดีไม้พวกนั้นเป็นไม้สนที่ใช้ตีลัง ทำพาเลท เป็นไม้เศรษฐกิจ โตง่าย แต่ข้อเสียของมันคือจะยุ่ยง่ายเวลาใช้สิ่วแกะสลัก ต้องใช้อุปกรณ์ที่คมกริบจริงๆ แบบคัตเตอร์ถึงจะแกะได้ เราก็เลยเลือกใช้คัตเตอร์ทำงาน อีกอย่างเราเป็นคนขี้เกียจลับเครื่องมือด้วย เพราะเครื่องมืออื่นๆ พอใช้แล้วก็ต้องลับ เสียเวลา ใช้คัตเตอร์ก็แค่หักใบมีดทิ้งหรือเปลี่ยนใบมีดแค่นั้นเอง ช่วงหลังๆ เราก็เลยเปิดเวิร์กช็อปสอนแกะไม้ด้วยคัตเตอร์ด้วย”
“ตอนนี้เราแกะไม้เพื่อความสุขของตัวเองจริงๆ หลักฐานก็คือเราไม่รับทำตามออร์เดอร์ เพราะถ้ารับออร์เดอร์ก็ต้องทำตามคนอื่นสั่ง ก็เหมือนกลับไปทำงานบริษัท กลายเป็นลูกจ้างเขาอีกรอบ ตอนนี้เรามีอิสรเสรี อยากไปไหนก็ไป อยากแกะไม้เมื่อไหร่ก็แกะ ไม่มีใครมาสั่งให้ทำ ใครชอบก็ซื้อ ไม่ชอบก็ไม่ต้องซื้อ เท่านั้นเอง นี่แหละคือชีวิตที่เราต้องการ”
– Author: MutAnt –