ไม่ว่าจะอยู่ในบทบาทใด เบล – สุพล ก็ทุ่มเทและใส่ใจต่อทุกสิ่งที่ทำเสมอ
Photographer: Napat Gunkham
คนหน้าไมค์/คนเบื้องหลัง
แม้เบล – สุพล พัวศิริรักษ์ จะห่างหายจากการเป็นคนหน้าไมค์ไปพักใหญ่ แต่เมื่อ ‘เท่าไหร่ก็ไม่พอ’ ซิงเกิลใหม่ของเขาปล่อยออกมา ก็จับอารมณ์ความรู้สึกผู้ฟังได้อยู่หมัด ไม่ต่างจากที่ผลงานก่อนๆ หน้าของเขาเคยทำไว้ เบลพูดถึงที่มาที่ไปของเพลงนี้ให้ฟังว่า “ตอนนั้น มันมีมวลความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในตัวผมเกี่ยวกับเรื่องความ ‘เท่าไหร่ก็ไม่พอ’ แล้วเมื่อถึงเวลาทำซิงเกิลนี้ก็รู้สึกว่ามองไม่เห็นเรื่องอื่นเลย เราต้องเล่าเรื่องนี้ แล้วมันก็เกิดสถานการณ์นั้นอยู่ด้วย เลยเอาคอนเทนต์นี้มาถ่ายทอดครับ” แม้จะได้เนื้อหาใจความมาแล้ว แต่เบลและทีมงานก็ใช้เวลาพอสมควรกับการหาสไตล์ดนตรีที่ใช่มาเพิ่มความสมบูรณ์ของซิงเกิลนี้ “ตอนแรกเราทำดนตรีเป็นแบบติดป็อปร็อกนิดหนึ่ง แต่ทำไปถึงจุดหนึ่ง เรารู้สึกว่า [พอเป็น] ร็อกหน่อยๆ เราไม่อินแล้วถึงแม้จะเริ่มต้นด้วยอย่างนั้น จริงๆ หลังๆ มานี้ ผมชอบฟังเพลงโซล อาร์แอนด์บี เพราะฉะนั้น ก็เลยรื้อดนตรีและหาส่วนประกอบใหม่ ทีนี้ โครงสร้างเพลงที่มีอยู่น่าจะเป็นแนวบริทป็อปได้ ผมเลยพยายามดึงความเป็นโซลที่ผมชอบมาใส่ผ่านการใช้เครื่องสาย โชคดีที่ครั้งนี้ได้อัดเครื่องสายสดๆ ทั้งหมด 12 เครื่อง ซึ่งผมไม่เคยอัดเยอะขนาดนี้มาก่อน… รู้สึกว่ามันเป็นโปรดักชันที่ออกมาสมบูรณ์แบบดั่งที่ใจเราอยากได้ในทุกๆ ขั้นตอน รวมถึงการบันทึกเสียงด้วยครับ” เบลเล่าอีกเหตุผลหนึ่งที่ซิงเกิล ‘เท่าไหร่ก็ไม่พอ’ ใช้เวลาทำนานคือบทบาทของเบลในการไปดูแลศิลปินคนอื่นๆ เราจึงถามเบลว่า ถ้าให้เลือกระหว่างการเป็นคนเบื้องหน้ากับคนเบื้องหลัง เจ้าตัวจะเลือกอะไร “ชอบทั้งสองอย่างเลย รู้สึกว่ามันเป็นคนละโจทย์ และเป็นความท้าทายคนละแบบ ถ้าทำงานของตัวเองก็จะคิดเอง ตัดสินใจเอง และรับผิดชอบผลลัพธ์เอง แต่ความยากที่ดูเหมือนไม่น่าจะยากคือทำให้ตัวเองคิดเยอะและเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเยอะ [อีกด้านหนึ่ง] พอทำงานให้คนอื่น เราก็จะเห็นชัดว่า [ศิลปินแต่ละคน] เขาควรจะทำอะไร ก็จะมีมุมอื่นๆ ที่เราไม่สามารถทำกับตัวเอง แต่ด้วยตัวตนความเป็นศิลปินคนนั้น มันเอื้อให้เขาทำได้ และเราก็สนุกกับการได้ทำโจทย์อื่นๆ ที่ไม่ใช่ตัวเองบ้างครับ” เบลตอบ นอกจากนี้ การได้เห็นรุ่นน้องของตัวเองกำลังจะได้ไปแสดงที่ต่างประเทศ ก็ทำให้เบลภูมิใจมิใช่น้อย “ดีใจกับน้อง [บิวกิ้น – พุฒิพงศ์ และพีพี – กฤษฏ์] ครับ เหมือนเราเริ่มทำงานเพลงกันมาตั้งแต่วันแรกๆ แล้วก็เขาก็เดินทางของเขามา และวันนี้ มันก็เป็นอีกก้าวหนึ่งที่เขาจะได้มีประสบการณ์ในการเล่นในมิวสิคเฟสติวัล [Summer Sonic 2022] ที่ญี่ปุ่น คิดว่าทั้งแฟนๆ และพี่ๆ รอบตัวเขาก็ดีใจไปกับเขาด้วยครับ”
บทเรียนชีวิตในวัย 40
เบลก็อายุเข้าเลขสี่ไปเมื่อปลายปีก่อน เราจึงถามเจ้าตัวว่าอะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดที่เขาได้ตระหนักหลังจากเข้าสู่วัยนี้ แม้เบลจะขัดเขินนิดหน่อยตอนที่ได้ฟังคำถาม แต่คำตอบของเขาก็ชัดเจนและหนักแน่นทีเดียว “ให้นึกเร็วๆ และชัดที่สุดตอนนี้ ผมรู้สึกว่าทุกอย่างคือเรื่องชั่วคราว แต่เรื่องชั่วคราวนั้นๆ จะสั้นหรือจะยาว มันก็แล้วแต่ แต่ถ้าคุณอยู่ในช่วงเวลาที่สวยงาม คุณก็ปล่อยตัวปล่อยใจ สนุกแล้วก็ซึมซับไปกับมัน และก็ต้องคิดว่าอย่าจมอยู่กับอะไรบางอย่างที่จบและผ่านไปแล้วครับ [เพราะ] สุดท้ายแล้ว ยังมีเรื่องดีๆ อีกมากมายที่ยังรอเราอยู่ครับ”
ทั้งนี้ ยังมีอีกสองสิ่งที่เขาได้เรียนรู้มากขึ้นในวัยนี้เรื่องแรกคือการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในชีวิต “พออายุมากขึ้น ก็รู้สึกว่ารับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้ดีขึ้น ไม่ได้บอกว่ามันง่ายขึ้นหรือไม่กระทบต่อความรู้สึกเราเลยนะ เพราะทุกๆ การเปลี่ยนแปลงมันสั่นสะเทือนเราอยู่แล้ว แต่พอประสบการณ์ชีวิตเรามากขึ้น ก็ทำให้จัดการมันได้ดีขึ้น” และเรื่องที่สองคือการกลับมาฟังผลงานของตนได้อย่างมั่นใจขึ้น “ที่ผ่านมา ผมจะไม่ค่อยฟังงานของตัวเองได้มากนัก [เพราะ] พอมองย้อนกลับไปจะชอบเห็นนั่นนิดตรงนี้หน่อย [ที่ไม่พอใจ] แต่ประมาณห้าปีหลัง ผมเริ่มชื่นชมผลงานตัวเองได้มากขึ้น [ดังนั้น เวลาทำเพลงใหม่ๆ] ผมก็อยากจะทำอะไรที่พอมองย้อนกลับมาแล้ว [เราเห็นว่าผลงานชิ้นนั้น] สมบูรณ์แบบที่สุดแล้วในเวลานั้นครับ
“ผมรู้สึกโชคดีที่ความฝันนี้ [การเป็นศิลปิน] ผมได้ทำมันจริงๆ และสามารถทำได้เรื่อยๆ จนถึงปีนี้ ก็ต้องขอขอบคุณทุกคนที่สนับสนุนผมตลอดมาครับ” เบลพูดทิ้งท้ายการสัมภาษณ์ครั้งนี้ก่อนที่จะไปถ่ายภาพต่อ “หวังว่าเราคงได้เจอกันบ้างในบางโอกาส และมีโอกาสทำเพลงให้ได้ฟังกันต่อไปเรื่อยๆ ครับ”
– Author: Peerachai Pasutan –