The Perfect Collaboration

Share This Post

- Advertisement -

ภาษาอังกฤษเหมือนๆ กัน “สำหรับผม กระบวนการทำงานกับ SM Entertainment คือง่ายมากๆ เพราะเขาจะบอกมาเลยว่า 1-2-3-4-5 อย่างไรบ้าง ส่วนวิธีการทำงานของผมก็เป็นสไตล์นี้เหมือนกัน โอเคตรงไหน ไม่โอเคตรงไหนก็แก้กันตรงๆ พอกระบวนการมันชัดเจน คุยกันง่าย ทำให้การทำงานไวมากๆ เลยครับ ใช้เวลาทำทั้งเพลงแค่เดือนนิดๆ เองครับ รวมถ่ายเอ็มวีด้วย”

แล้วมิวรู้ไหมว่าทำไมทั้งมิวและซูโฮถึงเลือกเพลงนี้โดยไม่ได้นัดหมาย “สิ่งที่ผมชอบจากเพลงนี้คือ beat กับ melody ที่มีความเป็นป็อปร็อคสูงมาก เพลงที่ผมทำมาไม่มีป็อปร็อคเลย ทั้งๆ ที่ผมชอบเพลงป็อปร็อคมากอยู่แล้ว เลยเลือกเพลงนี้เพราะมีความเป็นตัวเองสูงมาก และตอนที่ผมไปเจอซูโฮที่เกาหลี ได้คุยกันก็รู้ว่าเขาชอบเพลงร็อคอยู่แล้ว บีทกลองในเพลงนี้จะชัดมากว่าเป็นจังหวะร็อคเลยครับ เลยเลือกเพลงตรงกันมา

“ซูโฮน่ารักมากเลยครับ” เสียงของมิวจริงใจจนเราสัมผัสได้ และเชื่อว่าแฟนๆ ก็คงสัมผัสได้จากงานแถลงข่าวเช่นกัน “ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอกัน ผมกับซูโฮก็ text คุยกันตลอดการทำงาน แนะนำกัน คุยกันตลอดเวลาจริงๆ” แล้วการทำงานครั้งนี้ มิวคิดว่าได้ปลดปล่อยอะไรในตัวเองบ้างไหม “การได้มีโอกาสมาทำงานกับซูโฮ ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของผมแล้วนะ” มิวตอบแบบไม่ต้องคิด “เพราะผมฟังเพลงเขามานานมากๆ แล้ว ในวงการเพลง เขาโด่งดังมาก่อนผมเยอะแยะมากมาย ผมเพิ่งเข้าวงการเพลงมาได้ประมาณปีสองปี การได้มาร่วมงานกับเขาและ SM Entertainment ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จนะครับ”

ถ้าใครติดตามมิวมาตลอดคงจะเห็นได้แล้วว่าเขาจริงจัง กับการทำงานแต่ละเพลงขนาดที่เรียกได้ว่าจู้จี้จุกจิก แต่ในเมื่อเขาจั่วหัวมาว่าเพลงนี้นั้นมีความลื่นไหลกว่าปกติ มันแปลว่าอะไรกันนะ “กระบวนการอัดคือผมอัดที่ไทย ซูโฮอัดที่เกาหลี และส่งงานไปประกอบเข้าด้วยกันผ่านโปรดิวเซอร์ของทั้งฝั่งเราและฝั่งนั้น พอตอนเพลงมิกซ์ออกมาแล้วผมรู้สึกเลยว่าผมชอบเพลงนี้ไปแล้ว 90% มันเลยผ่านง่ายมากจริงๆ อย่างเพลง Summer Fireworks นี่มิกซ์รอบแรกมาผมชอบแค่ราวๆ 30-40% เองนะ เพลงนี้มันไม่ใช่แบบนั้นเลย มันแก้นิดเดียวแล้วผ่านเลยจริงๆ”

จะเรียกว่าเป็นจังหวะ รสนิยม เคมีที่ตรงกัน หรืออะไรก็แล้วแต่ มิวหวังว่าเพลงนี้จะ “เป็นเพลงที่แฟนๆ น่าจะสามารถเปิดฟังได้ทุกช่วงเวลา” ทั้งในส่วนของเนื้อหาเพลงก็เรียกได้ว่าเป็นเพลงรัก ออดอ้อน อ่อนหวาน จนเราอดสงสัยไม่ได้ว่าการใช้ศิลปินผู้ชายสองคนร้องเพลงรักคู่กันจะกลายเป็นเพลงจีบกันไหม มิวหัวเราะตาหยี “ตอนแรกผมก็เอ๊ะเหมือนกันแหละครับตอนได้เนื้อหาเพลงมา แต่มันก็แปลกนะครับว่าเวลาเอาท่อนมาต่อกันมันคล้ายเป็นเสียงคนเดียวร้อง เพราะเสียงเราค่อนข้างใกล้กันมาก เลยกลายเป็นเข้ากันไปเลยครับ”

The Next Phase

Turn Off the Alarm ถือเป็นเพลงลำดับที่สี่ และเพลงปิดโปรเจ็กต์ Mew Suppasit Global Collaboration Project 2022 หลังจากนี้มิวก็จะปล่อยเพลงเดี่ยว และเตรียมเข้าเฟสอัลบั้มที่สองอย่างเต็มตัว “ผมมีคอนเซ็ปต์ชื่ออัลบั้มที่สองอยู่ในหัวแล้ว แต่ยังบอกตอนนี้ไม่ได้ครับ จะค่อยๆ ทยอยปล่อยออกมาเรื่อยๆ และคงจะปล่อยอัลบั้มเต็มได้ในปีหน้านะครับ”

มิวอธิบายกับเราว่า ถึงแม้ว่าเพลงที่เขาทยอยปล่อยออกมาจะเป็นส่วนหนึ่งของอัลบั้มที่สอง แต่เขาเชื่อว่าแฟนๆ จะยังจับคอนเซ็ปต์อัลบั้มโดยรวมไม่ได้ เพราะจะต้องรอเพลงทั้งหมดออกมาถึงจะรู้ได้ทั้งหมด และนั่นเป็นสิ่งที่มิวตั้งใจไว้ให้เป็นแบบนั้น “ผมเริ่มคิดแล้วครับว่าอัลบั้มที่สามและสี่จะเป็นอย่างไรบ้าง” ดังนั้น โปรเจ็กต์ Global Collaboration จึงอาจจะต้องพักไปก่อน เพราะมิวจะเอาพลังงานกลับมาลงที่อัลบั้มตัวเองแบบเต็มๆ “ผมก็ยังจะคงคอนเซ็ปต์เดิมว่าอยากจะลองสำรวจตัวแนวเพลงไปเรื่อยๆ เหมือนเดิม แต่ผมอยากจะมีเพลงที่มีความป็อปแมสๆ อยู่ด้วย เพราะตอนนี้มีแต่เพลงตามใจตัวเองอยู่มากๆ เลยครับ”

และในระหว่างการสำรวจแนวเพลง และสำรวจตัวเองไปในระหว่างการทำงานนี้ มิวได้ค้นพบเสียงของตัวเองเข้าบ้างหรือยัง “ตอนแรกผมก็งงอยู่ว่าตัวผมอยู่ช่องเสียงไหนกันแน่ ในอัลบั้มแรก ช่องเสียงของผมในแต่ละเพลงจะเปลี่ยนไปหมดเลย แต่ในอัลบั้มที่สอง ทุกคนน่าจะเริ่มเห็นแล้วว่าผมจะมีช่องเสียงประจำที่เป็น signature เข้ามาแล้ว ผมรู้สึกว่าผมค่อนข้างสบายใจกับการใช้เสียงนี้ ผมอยากให้ทุกคนลองฟังดูว่าจะนึกถึงผมหรือเปล่าถ้าได้ยินช่องเสียงนี้น่ะครับ”

สตรีมเพลง Turn Off the Alarm ได้แล้วทุกช่องทางออนไลน์

- Advertisement -