Hommes Interview : Always Be Open to New Opportunities
Author: PACHAREE KLINCHOO
Photography: PONPISUT PEJAROEN
“ผมรู้สึกทึ่งกับความเป็นหมอภาคย์ตั้งแต่ที่เขาไปออกรายการวาไรตี้ที่มีคนถามแกว่า ‘พี่ภาคย์จะฟิตขนาดนี้ไปเพื่ออะไร จะสะสมเหรียญตราจากการฝึกคอมมานโดต่างๆ จนเกลี้ยงทุกหลักสูตรที่มีอยู่ในประเทศนี้ไปเพื่ออะไร’ และพอเกิดเหตุการณ์ 13 หมูป่าติดถ้ำนี้ขึ้นมา มันก็เหมือนกับ flashback ไปตอบคำถามทั้งหมดนั้นได้ว่า ‘ก็นี่ไง เพราะว่า sh*t happens!’ นี่ล่ะครับ” บลูม – วรินทร ญารุจนนทน์ ผู้รับบทพันเอก นายแพทย์ ภาคย์ โลหารชุน (หมอภาคย์) ในซีรีส์เรื่อง Thai Cave Rescue สร้างโดย Netflix เล่าให้เราฟังเมื่อเราขอให้เขาบรรยายความเป็นหมอภาคย์ในความคิดของนักแสดงอย่างเขา “ในตอนนั้น ใครจะไปรู้ได้ล่ะครับว่าเขาจะเป็นชิ้นส่วนจิ๊กซอว์ถูกชิ้นที่เป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างความเป็นแพทย์และความเป็นทหารอยู่ในคนเดียวกัน เขาเป็นคาแรกเตอร์ที่มีความเป็นหยินและหยาง ภายนอกเขาดูแข็งแกร่งดุดัน แต่ภายในเขามีความอ่อนโยนนุ่มนวล คุณสมบัติที่น่าทึ่งในตัวของหมอภาคย์คือความพร้อม พร้อมรับกับอะไรก็ตามที่โลกจะโยนมาให้ เพราะฉะนั้น เมื่อแกรับทราบว่ามีเด็กๆ ติดถ้ำอยู่ พอมาถึงหน้างาน แกก็พร้อมที่จะบอกสถานการณ์กับ คนที่อาจจะไม่เข้าใจในมุมมองของความเป็นแพทย์ว่าจะสามารถเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง และเมื่อแกเข้าไปในถ้ำ แกก็มีอีกภาคหนึ่งออกมา นั่นคือภาคความเป็นพ่อ และความเป็นพี่ชาย”
และเพื่อถ่ายทอดความเป็นหยินและหยางในตัวของหมอภาคย์ออกมาให้หมดจดที่สุด บลูมเองก็เตรียมความพร้อมก่อนไปแคสติ้งได้แบบเล่นใหญ่ไม่แพ้หมอภาคย์ตัวจริง “ตอนแรกที่ผมได้รับการบ้านมาจาก casting director ผมก็พาตัวเองไปใกล้ๆ กับที่ที่มันมีน้ำ เริ่มจากสระว่ายน้ำของหมู่บ้าน สวนสาธารณะ เอาตัวไปอยู่ใกล้ๆ กับบึง กับทะเลสาบ แต่ก็รู้สึกว่ายังไม่ใช่ ในที่สุด ผมก็ขับรถไปถ้ำที่จังหวัดราชบุรีที่ใกล้กรุงเทพฯ ที่สุด กำบทเข้าไปนั่งท่องในนั้น ขากลับออกมานี่ตัวเปียกไปหมด เพราะมันร้อนมาก ไม่มีลมผ่าน ผมต้องการความรู้สึกที่ไม่มีคน ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ มีแต่เสียงก้องๆ มีความชื้น ทุกลมหายใจที่สูดเข้าไปคือกลิ่นดิน กลิ่นความชื้น แค่เสียงน้ำหยดก็ได้ยินแล้ว ไปลองกินน้ำจากหินงอกหินย้อย เพื่อทำความเข้าใจบทสนทนาระหว่างหมอภาคย์กับ น้องดอมที่นั่งปรับทุกข์กันในถ้ำนั้น เป็นช่วงบทที่หมอภาคย์จะปรับทุกข์ออกมาในส่วนที่ละเอียดอ่อนที่สุดในความเป็นทหาร เขาโยนหมวกทหารทิ้งไปเพื่อปรับทุกข์ กับน้องดอมว่าลูกชายเขาก็อยากให้เขากลับบ้านเร็วๆ เช่นกัน ผมรู้สึกถึงความแข็งแกร่ง และความอ่อนโยนในตัวหมอภาคย์ ที่เป็นสิ่งที่ท้าทายกับผมว่า ผมจะสื่อสารจิตวิญญาณแบบนี้ออกมาได้อย่างไร และในวันที่ผมรู้ว่าผมได้รับคัดเลือก มันก็เป็นคำถามมาตลอดว่าทำไมถึงเป็นผม”
และคำถามในหัวของบลูมนั้นก็ติดอยู่ในหัวเขาไปจนกระทั่งปิดกล้องเขาเพิ่งมาได้รับคำตอบจากคุณปุ้ย (ศุภกานต์ ยินดี) casting director เข้าในวันที่เขาถ่ายเสร็จสิ้นไปแล้ว แต่ด้วยเหตุผลบางประการทำให้เขาสงวนคำตอบนั้นไว้กับตัว “ผมคิดว่ามันเป็นคำตอบสำหรับผมคนเดียวครับ ผมไม่สามารถเอาไปแชร์กับคนอื่นได้จริงๆ”
ในเมื่อเขาตัดสินใจเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความทรงจำส่วนบุคคล เราจึงขอให้แชร์ความทรงจำอะไรในกองถ่ายที่เขาพอจะแชร์กับเราได้บ้าง “ผมเอาพรินเตอร์ไปที่เชียงรายด้วยครับ” เขาเล่าแบบสบายๆ แต่เราเลิกคิ้วพร้อมปล่อยขำแบบกลั้นไม่ทัน “มันมีการเปลี่ยนบทเล็กๆ น้อยๆ อยู่แทบจะทุกๆ สามสี่วัน บทมันจะอัพเดทตลอดเวลาด้วยเหตุผลที่น้องคนหนึ่งในทีมนักแสดงหมูป่าติดโควิด บวกกับการถ่ายทำภายใต้บรรยากาศโควิด ทำให้เราไม่รู้เลยว่าจะต้องหมุนคิวขึ้นมาเมื่อไหร่ ทำให้ผมตัดสินใจเอาพรินเตอร์ไปพรินท์บทเองกันพลาด เพราะบทของหมอภาคย์ที่มีทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษนั้นเป็นบทที่ไม่ง่าย และผมรู้สึกว่าอยากจะพร้อมตลอดเวลาครับ”
และเรื่องหลักที่เขาเรียนรู้จากการได้รับบทหมอภาคย์ในครั้งนี้คือเรื่องเดียวกับที่ทำเขาประทับใจหมอภาคย์ตั้งแต่แรกนั่นเอง “ผมคิดว่าความพร้อมของชีวิตเป็นสิ่งจำเป็นเสมอครับ” เขาตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมีดินถล่ม มีน้ำท่วม มีวินาศภัยอะไรก็ตามเกิดขึ้น ผมรู้สึกว่าการทำงานครั้งนี้เป็นบทสะท้อนระหว่างผมกับหมอภาคย์ว่า ย้อนกลับไประยะเวลาหนึ่งก่อน เกิดเหตุการณ์นี้ หมอภาคย์ฟิตร่างกายไว้ราวกับเตรียมพร้อมมาตลอด ในขณะเดียวกัน การที่บทนี้หล่นลงมาใส่หัวผม ผมไปซ้อมบทในถ้ำ และได้รับคัดเลือก มันทำให้ผมรู้ว่าชีวิตนี้ผมไม่มีทางเลือกอื่นใดเลย นอกจากจะต้องพร้อมรับบทแบบนี้ตลอดเวลา ผมก้าวจากนักแสดงที่ไม่เคยมีประสบการณ์การถ่ายทำต่อเนื่องด้วยคิว 30+ แบบนี้มาก่อน ผมเคยถ่ายโฆษณา เคยถ่ายภาพยนตร์มาบ้าง แต่เป็นบทเล็กๆ เท่านั้น ผมไม่เคยคิดว่าผมจะทำได้ แต่พอผมได้รับโอกาสแสดงเรื่องนี้ ไม่ใช่แค่ผมต้องทำได้ แต่ผมต้องทำได้ดีด้วยครับ
“ผมคิดว่าอาชีพนักแสดงเป็นอาชีพที่แปลก และอันตรายด้วยนะ” เขารำพึงเมื่อเราถามว่าโอกาสที่ได้รับครั้งนี้นับว่าเป็นหมุดหมายหรือจุดเปลี่ยนอะไรในชีวิตนักแสดงของเขาหรือเปล่า “เพราะเราจะวางความคาดหวังไว้ในที่ที่มันสูง และเราก็ต้องทำงานหนักด้วยในการวิ่งเข้าไปหาประตูทุกบานที่มี และผมก็จะคาดหวังกับตัวเองโดยการทำตัวให้พร้อมได้อย่างนี้ต่อๆ ไป คือในทุกวันที่ตื่นมาผมจะต้องมีความหวังว่ามันจะมีอะไรเข้ามาเสมอ… ยังไงดีนะ” เขานิ่งไปสักพัก เรารอ “ผมไม่ได้พูดแบบนี้ทั่วๆ ไปนะ ขอพูดเฉพาะตรงนี้ ผมถ่ายโฆษณาเยอะมาก และวันหนึ่งผมก็ถูกเรียกไปแคสติ้งโฆษณาสองตัว สองโลเคชั่น ซึ่งมันก็มีเหตุผลอยู่ร้อยอย่างที่ผมจะไม่ไปแคสติ้งโฆษณาสองตัวนี้ แต่ผมก็ตัดสินใจไปแคสติ้งทั้งสองงาน และก็ไม่ได้สักงาน แต่สิ่งที่ผมได้รับมา และมาเฉลยตอนที่ผมถ่ายเสร็จแล้วก็คือ คุณปุ้ยได้คอนแทคต์ของผมมาจากการที่ผมไปแคสติ้งงานที่สองนี่ล่ะครับ”
ไม่ว่าจะเป็นหมอภาคย์ หรือบลูม การนั่งรอโอกาสเฉยๆ ดูเหมือนจะไม่ใช่วิถีของพวกเขาเสียแล้ว และเราก็เชื่อว่าความพร้อมในการที่จะจารึกอะไรบางประการของพวกเขานั้นคงจะไม่หยุดแค่เหตุการณ์ครั้งนี้และซีรีส์เรื่องนี้อย่างแน่นอน
สตรีมซีรีส์เรื่อง Thai Cave Rescue ได้แล้วที่ Netflix