Hommes Interview : Another (Fool) Step to Take
จากวันที่คุยกันเรื่องซิงเกิ้ลแรกใน L’Officiel Hommes Music Issue เมื่อหลายปีก่อน วันนี้ เรากลับมานั่งคุยกับ 5 หนุ่มวง Fool Step อีกครั้งว่าด้วยเรื่องอัลบั้มแรกในชีวิตของวง
Photographer: Ponpisut Pejaroen
Stylist: Napat Roongruang
ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าทุกครั้งที่ได้ยิน (หรือกดเสิร์ช) ชื่อวง Fool Step อันประกอบไปด้วยสมาชิก 5 หนุ่มอย่างมาร์ค – ศิวปีติ์ มาไพศาลกิจ (ร้องนำ), แมค – สุภณัฐ พรวรวาณิช (กลอง), ฟร้อนท์ – สิทธวีร์ บุรพธานินทร์ (กีตาร์), ตัง – ไชยกร อมรรัตนานุเคราะห์ (เบส) และมิค – เสฎฐนันท์ พรวรวาณิช (กีตาร์) ผลลัพธ์ (หรือเรียกอีกอย่างว่า ‘ภาพจำ’) แรกที่แว้บขึ้นมาคือภาพของ 5 หนุ่มในชุดนักเรียนมัธยมปลายขาสั้นผู้ชนะการประกวดวงดนตรีจากงาน Hotwave Music Awards 2018 แต่นี่มันปี 2022 แล้ว… สมาชิกของวงต่างเติบโต ก้าวพ้นชุดนักเรียนมัธยมปลาย เปลี่ยนเป็นชุดนักศึกษามหาวิทยาลัยและสมาชิกบางคนก็พร้อมจะก้าวออกจากเครื่องแบบที่แสดงสถานะ ‘นักเรียน-นักศึกษา’ ตลอดกาลแล้ว การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่เราสัมผัสได้ตั้งแต่วันแรกที่เราคุยกับเขาจนถึงวันนี้ ก็คือพลังอันรุนแรงบางประการที่ส่งผ่านจากพวกเขามาถึงเราได้
“สำหรับอัลบั้มแรกนี้” มาร์ค นักร้องนำพี่ใหญ่ของวง เปิดบทสนทนากับเรา “พวกเราทำเพลงเก็บๆ กันมาราวๆ 20 เพลงตั้งแต่ปลายปีที่แล้วที่ค่ายบอกว่าอยากให้วงเรามีอัลบั้มครับ และจาก 20 เพลงนั้นก็คัดปล่อยออกมาเป็นซิงเกิ้ลเรื่อยๆ จนถึงกระบวนการขายอัลบั้มของเราให้กับค่าย และก็ช่วยกันคิดชื่ออัลบั้มครับ”





ในวันที่เราคุยกัน มาร์คบอกเราแล้วว่าอัลบั้มนี้จะชื่ออะไร ซึ่งเราคิดว่ามันช่างเป็นชื่ออัลบั้มที่ลงตัวกับความเป็นอัลบั้มแรกของวง Fool Step ที่มีแบคกราวด์เป็นเด็กหนุ่มชุดนักเรียนมัธยมปลายที่เราชินตาเป็นอย่างมาก แต่ในเมื่อชื่ออัลบั้มยังเป็นความลับอยู่ มาร์คจึงแย้มได้เพียงสั้นๆ ว่า “ถ้าเราปล่อยอัลบั้มในช่วงนี้ เรานี่แหละเหมาะสมที่สุดแล้วที่จะเล่าเรื่องที่คนในวัยเราสามารถเล่าได้ เนื้อหาของเพลงก็จะวนเวียนอยู่กับประสบการณ์ที่คนในวัยเราต้องเจอ ขอใช้คำว่า ‘เจอเยอะที่สุด’ เพราะในวัยอื่นอาจจะไม่เจอแบบนี้ก็ได้ครับ
“เอาจริงๆ ผมก็รู้สึกตกใจอยู่เหมือนกันนะครับ” มาร์คยิ้มเมื่อเราถามว่า จากวันปล่อยซิงเกิ้ลแรก จนวันนี้ที่เตรียมตัวปล่อยอัลบั้มแรกแล้วมันผ่านไปเร็วจนน่าตกใจขนาดไหนกัน “อาจจะเพราะมีโควิดเข้ามาคั่นทำให้เราเหมือนถูก skip เวลาที่เราควรจะได้ใช้ออกไปอีก พอผมไปทบทวนลิสต์เพลงต่างๆ ของวงเราที่ค่อยๆ เพิ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ ผมรู้สึกว่ามันเป็นเหมือนไดอารี่ชีวิตแต่ละช่วงของพวกเราครับ พอได้อยู่กับมันไปนานๆ ก็เริ่มตกตะกอนได้แล้วว่าเอกลักษณ์ของพวกเรา Fool Step คืออะไร ถึงจะใช้เวลาหาค่อนข้างนาน แต่พอมาเจออะไรบางอย่างที่เป็นตัวเราจริงๆ แล้ว วิธีการทำงานมันง่ายขึ้นเยอะเลยครับ”
ตัวตนที่ว่าหาเจอคืออะไร พอจะอธิบายได้ไหม… ทั้งวงเงียบไปสักพัก ก่อนที่มิค ฝาแฝดผู้เล่นกีตาร์ จะตอบเสียงเบา แต่ไร้ซึ่งความลังเล “ผมว่าสิ่งที่เราเจอคือก้อนพลังงานความเป็นวัยรุ่นนะครับ สิ่งที่เราทำทุกอย่างคือการลองผิดลองถูกทั้งหมด และพอปล่อยออกไป ก็ไม่ใช่ว่าสิ่งนั้นคือสิ่งที่ถูกต้องทั้งหมด แต่มันคือสิ่งที่พวกเราห้าคนเห็นตรงกันแล้วว่าพวกเราชอบ และสนุกที่จะลงมือทำด้วยกัน… [การออกอัลบั้ม]ก็เหมือนกับการตัดสินใจลงแข่ง Hotwave Music Awards ในตอนนั้นล่ะครับ มันคือสิ่งที่พวกเราอยากจะทำ และภูมิใจที่จะนำเสนอออกไป เพียงแต่ว่าตอนนี้ คนที่ตัดสินพวกเราไม่ใช่กรรมการ แต่เป็นคนดูในชีวิตจริง อัลบั้มนี้ก็คือการทดลองของวัยรุ่นนี่แหละครับ วัยรุ่นที่ไม่รู้หรอกว่าอะไรผิด อะไรถูก แต่พวกเราก็ยืนยันจะทำสุดทางในแบบของเราเอง”
เรายิ้ม ก่อนจะถามต่อ ตื่นเต้นกันมากขนาดไหน “ความตื่นเต้นมันอยู่ที่การที่เราจะได้เห็น physical album ที่พี่ๆ ศิลปินคนอื่นเขามีกัน ผมว่ามันต้องมีมือไม้สั่นกันบ้างล่ะครับ” มาร์คตอบด้วยอาการตื่นเต้นที่พยายามข่มไว้ “อย่างที่มิคบอกล่ะครับว่า พวกเราได้ทดลองอะไรหลายๆ อย่างมา เหมือนนักวิทยาศาสตร์ที่ทดลองสูตรนั่นนี่โดยไม่รู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด สุดท้ายแล้วเราได้ผลการทดลองออกมาเป็นแผ่นซีดีนี้ มันก็… น่าภูมิใจมากเลยนะครับ” ชั่วขณะที่มาร์คคุยกับเรา เราสัมผัสได้ถึง ‘เสียงแห่งความเงียบ’ อะไรบางประการที่อวลอยู่รอบตัวเรา ราวกับสมาชิกวงกำลังซึมซับประสบการณ์ที่ผ่านมาของพวกเขากว่าจะมาถึงวันนี้กัน “ผมบอกอย่างนี้ดีกว่า…” จู่ๆ มาร์คก็เปลี่ยนน้ำเสียงเป็นจริงจังขึ้นมากะทันหัน “ก่อนหน้านี้… สมัยฮ็อตเวฟน่ะ ผมว่าพวกเราเรียกตัวเองว่า ‘ศิลปิน’ไม่ได้หรอกครับ จนเรามาเจอชีวิตจริงในการทำงานเข้านี่แหละ พอได้คิดงานเองทั้งหมด ได้ออกไปเล่นดนตรีตามสถานที่ต่างๆ ตรงนี้แหละ พวกเราเรียกตัวเองได้ว่าเป็น ‘ศิลปิน’ แล้ว ซึ่งมันไม่ได้ง่ายเลย เหนื่อยด้วย เพราะพวกเราทำเพลงเองกันทั้งหมดตั้งแต่เพลงแรก มาจนถึงวันนี้ เพลงอาจจะไม่ได้ดังมาก แต่สิ่งหนึ่งที่มีมากก็คือ ความภูมิใจที่เราได้ทำมันด้วยตัวของพวกเราเองทั้งหมดครับ


“ไม่ดังครับ” มาร์คตอบทันทีที่เราถามว่าคิดว่าวง Fool Step ดังไหม… เรียกได้ว่าตอบไม่ต้องคิดจนเราต้องเลิกคิ้ว เขารีบอธิบายต่อทันที “อาจจะเป็นวงที่มีคนเคยเห็นหน้าค่าตาบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็คงจะเห็นจากชุดเด็กอัสสัมนี่แหละ” ถึงจุดนี้เราจับน้ำเสียงอะไรบางอย่างได้เลือนราง “แต่ในโลกแห่งการทำงานจริง ผมว่าพวกผมกำลังปีนบันไดขึ้นไปอยู่นะครับ มีร่วงลงมาบ้าง เพราะเรื่องโควิดน่ะคนที่ติดตามเราก็เริ่มน้อยลง เพราะเราแทบไม่ได้ออกเพลงเลย ผมว่าเราก็แค่กำลังปีนบันไดขึ้นไป ร่วงลงมาก็ปีนกลับขึ้นไปอีกที”แล้วคาดหวังว่าขึ้นไปบนบันไดแล้วจะเจออะไรบ้างล่ะ เราถามต่อ “ผมพูดไว้ก่อนเลยนะ” มาร์คตอบ “ถ้ามันเป็นไปได้จริงๆ ก็ดีมาก ผมอยากให้วงมีงานสัก 15-20 งานต่อเดือน” สมาชิกวงอมยิ้มจนเราแซวว่า ‘ดูหน้าเพื่อนด้วย’ “ผมว่าทุกคนก็ต้องพร้อมเล่นล่ะน่า” ซึ่งก็ได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้าน้อยๆ อย่างพร้อมเพรียง
เหมือนเดิม เราขอให้พวกเขาทิ้งท้ายอะไรบางอย่างถึงแฟนเพลงที่ติดตาม และพูดเรื่องที่เขาอยากจะพูด แต่เราอาจจะไม่ได้ถามออกไปซึ่งมาร์คก็ตอบรับทันที “น่าจะใช้คำว่า ‘แฟนคลับ’ นะครับ เพราะตอนแรกๆ ทุกคนตามมาจากงานฮ็อตเวฟ เรายังไม่มีเพลงอะไรเป็นของตัวเอง ยังเรียกว่าแฟนเพลงไม่ได้ และพวกเขาอยู่กับพวกเรามาตั้งแต่ที่ยังไม่มีใครรู้จัก จนมาถึงวันนี้ พวกเขาก็ยังอยู่ ผมขอบคุณทุกคนที่ยังอยู่มากๆ เลยที่ยังพร้อมดูพัฒนาการของพวกเราไปเรื่อยๆ ผมรู้สึกว่าทุกคนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของพวกเรานะครับ ขอบคุณมากจริงๆ ผมหวังว่าในวันข้างหน้าที่พวกเราก้าวไปอีกขั้นหนึ่ง ครอบครัวเราใหญ่ขึ้น ผมอยากให้ทุกคนอยู่ตรงนั้นเหมือนเดิม… เพราะพวกเราขาดทุกคนไม่ได้จริงๆ”


ก่อนเราจะปิดเครื่องอัด แมค อีกหนึ่งแฝดมือกลองที่นั่งนิ่งมานาน ก็เอ่ยเสียงเบา “สมมติว่าหลังจากนี้ ผมก็อยากจะมีความสุขกับดนตรี อยากมีความมั่นคงกับมัน… มั่นคงในที่นี้ผมไม่ได้หมายถึงรายได้นะ ผมหมายถึงความรู้สึกที่มันแน่วแน่มีแพสชั่นในการเล่นดนตรีต่อไป เรื่องเงินก็คือส่วนหนึ่งแหละ แต่สิ่งที่จะทำให้พวกเราก้าวต่อไปข้างหน้าได้คือแพชชั่น คือความตั้งใจของพวกเรา และความคาดหวังของทุกคน แรงที่ทุกคนส่งมาให้เราตลอดมา มันยังมาถึงเราอยู่ และทำให้เรามีแรงผลักดันให้ตัวเองก้าวไปข้างหน้าอย่างสม่ำเสมอครับ” สมาชิกวงยิ้มรับ ส่วนมาร์ครีบเสริม “แต่ผมคิดว่ามันต้องเป็นอาชีพของเราได้ด้วยนะ” ทุกคนพยักหน้ารับ
อีกครั้ง “เราต้องหาเงินกับมันได้ โดยที่ไม่ต้องไปทำอย่างอื่น หรือทำอย่างอื่นให้น้อยที่สุด อยากให้อาชีพ ‘ศิลปิน’ เป็นงานหลักของพวกเรานะครับ”
– Author: Pacharee Klinchoo –
Make-up: Kwanchanok Porntrakulsaree Hair: Nattawut Tasara