Singapore Grand Prix การแข่งขันของสุดยอดยานยนต์ ที่พร้อมทดสอบทุกขีดจำกัดของทั้งนักขับและทีมสต๊าฟ กลับมาอีกครั้ง พร้อมสถิติการเข้าชมสูงสุดในรอบ 13 ปี
Author: Rhun Na Ranong
Photography: Courtesy of Rolex
การแข่งขันความเร็วที่ถือเป็นระดับสุดยอดของโลกอย่าง Formula 1 กับ Rolex มีความผูกพันกันมาตั้งแต่ปี 2013 ในฐานะ Global Partner และเป็นนาฬิกาสำหรับการแข่งขันอย่างเป็นทางการ Timepiece of Formula 1 ให้ความสนับสนุนการพัฒนาสำหรับการแข่งขันนี้รวมทั้งนวัตกรรมใหม่ทางด้าน เทคโนโลยี รวมถึงมีประวัติที่เข้มข้นเกี่ยวข้องกับนักขับรถสูตร 1 นี้ ในปี 2017 Mark Webber ผู้ชนะ Formula 1 Grand Prix ถึงสองครั้ง และ 2015 FIA World Endurance Champion ได้เป็น Rolex Testimonee ล่าสุดผู้ที่เข้ามาร่วมก็คือแชมเปี้ยนระดับโลกของ FIA Formula 1 Drivers จากปี 2009 Jenson Button
เรียกว่าเป็นการแข่งขันที่อยู่บนจุดสูงสุดของกีฬาด้านความเร็วอยู่แล้วสำหรับ งาน FORMULA 1 SINGAPORE AIRLINES SINGAPORE GRAND PRIX 2022 ในปีนี้นับเป็นฤดูกาลที่ 10 ของ Rolex ในฐานะ Global Partner และนาฬิกาอย่างเป็นทางการของ Formula 1 ที่เราจะเห็น Rolex Pit Lane Clock เป็นสัญลักษณ์แห่งที่อยู่ในสนามแข่งที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก เช่นกันสำหรับสนาม Marina Bay Street Circuit ในประเทศสิงคโปร์ ที่เป็นสถานที่จัดงาน ที่แฟนการแข่งความเร็วทั้งโลกจับตามอง
ท่ามกลางโค้งที่ท้าทายกว่า 23 โค้งในความยาวสนาม 5.063 กิโลเมตร การแข่งขันในช่วงค่ำของรายการนี้พร้อมความท้าทายทุกขีดจำกัดของนักขับสมรรถนะของรถ ทีมเวิร์คและการวางแผนของทั้ง 10 ทีมที่ร่วมแข่งขันเส้นทางที่ท้าทายนี้ไม่เพียงต้องใช้ทักษะหลังพวงมาลัยเท่านั้น แต่ยังต้องใช้ประสิทธิภาพสูงสุดของยานยนต์ Formula 1 ด้วย การแข่งขันนี้ได้กลับมาเป็นครั้งแรก
นับตั้งแต่ปี 2019 Sir Jackie Stewart ผู้เป็น Rolex Testimonee มานานกว่า ครึ่งศตวรรษและเป็นแชมป์โลกนักขับรถสูตร 1 นี้ถึง 3 สมัย ได้กล่าวว่า “สิงคโปร์คือจุดหมายที่ได้รับการยกย่องอย่างสูงในปฎิทินการแข่งขัน Formula 1 และมีชื่อเสียงด้านการแข่งขันแบบปิด (close racing) ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทำให้มีความท้าทายต่อทีมที่มาแข่งขันชนิดที่ไม่เหมือนที่ไหน
ตลอด 10 ฤดูกาลที่ผ่านมา Rolex ได้สนับสนุนความเป็นเลิศทางด้านเทคนิค และทักษะมากมายที่เป็นหัวใจของการกีฬา Mark Webber ผู้ชนะ Formula 1 Grand Prix ถึงสองครั้งและเป็น Rolex Testimonee กล่าวว่า: “ปีนี้เสมือนเป็นย่างก้าวที่สำคัญสำหรับ Rolex และ Formula 1 ที่ได้สร้างความร่วมมือที่สอดคล้อง แนบแน่นแสดงถึงความภักดีที่แน่วแน่ โดยมุ่งมั่นที่จะพัฒนาอย่างต่อเนื่องขององค์กรที่มีวิสัยทัศน์ ความมุ่งมั่น และตั้งเป้าหมายที่เปี่ยมด้วยความทะเยอทะยาน การแข่ง Formula 1 อยู่ในระดับแนวหน้าของนวัตกรรมเสมอ เช่นเดียวกับ Rolex ที่ขึ้นชื่อใน ด้านการเพิ่มมาตรฐานขึ้นไปเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง ผลงานสร้างสรรค์เครื่องบอกเวลาของ Rolex จึงมีความหมายที่สอดคล้องกับคุณภาพและความน่าเชื่อถือ”
บนชัยชนะในวัน Main Race ของ Sergio Perez นักขับชาวเม็กซิกัน เจ้าของฉายา Checo จากทีม Oracle Red Bull Racing กับเวลา 2:02:20.238 หลังจากฝ่าฟันมาทั้งสายฝนในวัน Qualifying และสภาพอากาศที่ค่อนข้างร้อนชื้น เบื้องหลังความสำเร็จและแชมเปญที่ถูกเปิดฉลอง สอง Testimonee คนสำคัญของ Rolex อย่าง Sir Jackie Stewart ตำนานนักแข่งจากสก็อตแลนด์ เจ้าของแชมป์โลก F1 สามสมัยในยุค ’70s และ Mark Webber อีกหนึ่งยอดนักขับชาวออสเตรเลีย ที่คว้าชัยชนะบนการแข่งขันรถยนต์ถึงสองชนิด (ทั้ง F1 และ FIA World Endurance Championship) ได้เล่าให้เราฟังถึงประสบการณ์การแข่งขันจริงของนักขับทั้งสองสมาธิและความมุ่งมั่นรวมไปถึงการทำงานร่วมกันเป็นทีมที่จะผิดพลาดไม่ได้เลย แม้จะเป็นปัจจัยที่เล็กน้อยที่สุดหากอยากขึ้นไปบนจุดสูงสุดของโพเดียม
นอกจากนี้ Sir Jackie Stewart วัย 83 ปี ในกางเกงลาย Tartan ตัวสวยและ Rolex Oyster Perpetual Day-Date 36 หน้าปัดและสายหนังสีเขียวตัดกับตัวเรือนทองคำที่เข้ากับหมวกและเสื้อเชิ้ตสองกระเป๋าปกกลัดกระดุมสไตล์สปอร์ต ลุคเท่ๆ ที่ไม่ทิ้งความเก๋าของยอดนักซิ่งแห่งยุค ’70s ยังได้เสริมด้วยน้ำเสียง ที่เปี่ยมไปด้วยความปีติหลังจากนั่งเชียร์อย่างออกรสมาตลอด 3 วันของการแข่งขันเกี่ยวกับความปลอดภัยและมาตรฐานการจัดงานที่พัฒนาขึ้นมากจากยุคที่เจ้าตัวนั่งอยู่หลังพวงมาลัย
“ในยุคของผมน่าเศร้านะ ทุกอย่างมันไม่ได้ปลอดภัยและได้รับการดูแลทั่วถึง อย่างทุกวันนี้ ผมเสียเพื่อนร่วมอาชีพไปถึง 57 คน เรียกได้ว่าไปร่วมงานศพบ่อยกว่า งานแต่งงานซะอีก แต่ตอนนี้การแข่งรถสูตร 1 ถือว่าปลอดภัยกว่ารักบี้หรือขี่ม้าด้วยซ้ำ ไม่มีการจากไปอย่างน่าเศร้าที่ผมต้องเจอมาตลอดอาชีพอีกแล้ว แม้แต่การแข่งขันรถสูตร 2 และ 3 ก็ปลอดภัยมากขึ้นตามลำดับ ถือว่าน่ายินดีเอามากๆ เลย”
ความรู้สึกที่ตรงไปตรงมาของเจ้าตัวที่คลุกคลีกับวงการความเร็วมาครึ่งศตวรรษ ทำให้ผู้ฟังรับรู้ได้เลยว่าความสำเร็จบนความเร็วสุดท้าทายที่ทุกอย่างดูเหมือน จะหลุดการควบคุมได้ทุกวินาทีนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะได้มันมาครอง ไม่แปลกที่แฟนๆ กว่า 300,000 คนที่ร่วมเข้าชมกลางสายฝนจะกลับบ้านด้วยรอยยิ้ม และประสบการณ์แสนพิเศษในการแข่งขันครั้งที่ 13 บนเกาะสิงคโปร์แห่งนี้ครับ