พูดคุยกับผู้กำกับและนักแสดงนำตัวแทนประเทศไทยจากซีรีส์ Folklore ในตอน Broker of Death
ปล่อยออกมากันเป็นที่เรียบร้อยแล้วกับซีรีส์ชุด Folklore ซีซั่นที่สองที่ออกฉายทาง HBO GO โดยซีรีส์นี้เป็นการเล่าเรื่องผีและความเชื่ออันหลากหลายจากทั่วทวีปเอเชีย โดยมีตัวแทนแต่ละประเทศนำเรื่องความเชื่อต่างๆ จากประเทศของตนมาถ่ายทอดเป็นเรื่องราวสยองขวัญตามสไตล์ของตัวเอง
ในซีซั่นนี้ Broker of Death เป็นตัวแทนจากประเทศไทยที่ได้โดม – สิทธิศิริ มงคลศิริ มากำกับพร้อมด้วยคงเดช จาตุรันต์รัศมี มาเป็นผู้เขียนบท และได้สาวน้อยมากฝีมืออย่างเจนนิษฐ์ โอ่ประเสริฐ แห่งวง BNK48 พ่วงด้วยนฑี งามแนวพรมมาแสดงนำ บอกเลยว่าหลังจากดูจบ เราแทบจะไม่กล้าเดินออกไปหลังบ้านคนเดียวเลย
ลอฟฟีเซียล ออมส์ ไทยแลนด์ได้มีโอกาสสัมภาษณ์กลุ่มกับทั้งโดม ผู้กำกับ และเจนนิษฐ์ นักแสดงนำ ซึ่งการสัมภาษณ์ครั้งนี้ ทั้งเราและผู้ถูกสัมภาษณ์ต่างก็เกร็งกันไม่มากก็น้อย เพราะถ้าถาม หรือตอบผิดไปนิดเดียวจะเป็นการสปอยล์เนื้อหาสำคัญของเรื่องได้ทันที แต่หลังจากที่เซสชั่นคำถามนี้จบลง บอกเลยว่า คำตอบจากทั้งโดมและเจนนิษฐ์นั้นตอบข้อสงสัยหลายประการในใจของเราที่เกิดขึ้นระหว่างดูได้หมดจดเลยทีเดียว
Folklore ตอน Broker of Death สตรีมแล้วทาง HBO GO ติดตามตอนใหม่ได้ทุกวันอาทิตย์เป็นต้นไป และสามารถย้อนชมได้เรื่อยๆ
ขอให้เล่าไอเดียตั้งต้นของเรื่องนี้มาจากอะไรทำไมถึงเลือกทำเรื่องนี้และขั้นตอนการทำตรงไหนที่มีรายละเอียดเยอะที่สุด
โดม: มันเกิดมาจากผมไปเจอข่าวที่เห็นว่ามีการขโมยในป่าช้า ที่มีชาวบ้านเข้าไปขโมยศพ เข้าไปขโมยกระโหลกของคนตาย เอาไปหลายกระโหลกเลยนะครับ ก็เลยตั้งคำถาม พอตามอ่านข่าวไปเรื่อยๆ ปรากฏว่าก็เอาไปทำเครื่องรางของขลัง ก็เลยเริ่ม research ไปเรื่อยๆ ก็ค้นพบว่ามันมีกระบวนการ มีธุรกิจ หรือมีคนที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวกับการทำสิ่งนี้ ไม่ต่างอะไรจากธุรกิจอื่นๆ เลย ก็เลยรู้สึกน่าสนใจ ก็เลยลองเอามาสร้างตัวละครที่เกี่ยวข้องกับการที่จะเป็นนายหน้าในการจัดหาสิ่งพวกนี้ ก็เลยเป็นที่มาของเรื่อง Broker of Dead ครับ
ในส่วนของชั้นตอนการทำงานว่าตอนไหนยากที่สุด จริงๆ ก็ค่อนข้างทุกขั้นตอนครับ ขั้นตอนบทก็สำคัญ ที่พอดีมันเป็นเรื่องราวที่จะว่าไกลตัวก็ไกล จะว่าใกล้ก็ใกล้ จริงๆ เราพอที่จะรู้เรื่องนี้แหละ เราพอที่จะเห็นภาพนี้แหละ เพียงแต่ว่าเราก็อาจจะยังไม่ได้เข้าไปขลุกกับคนที่ทำเรื่องพวกนี้จริงๆ อะไรอย่างนี้ฮะ เพราะฉะนั้นมันต้องอาศัยการ research ทั้งการไปเห็นของจริง ทั้งภาพข่าว ค้นหาทางอินเทอร์เน็ต หรือแม้กระทั่งถามคนที่เขาเคยอยู่ในวงการพวกนี้ ซึ่งอันนี้มันเป็นส่วนที่ผมคิดว่าค่อนข้างยากเหมือนกัน แต่ส่วนอื่นๆ ก็ไม่ได้คิดว่ามีความยากอะไรนะครับ พอบทเสร็จก็เข้าสู่ขั้นตอนการหานักแสดง แล้วก็ถ่ายทำ เรื่องปกติครับ
คิดว่าอะไรคือ point ของเรื่อง Broker of Dead ที่แตกต่างจากเรื่องอื่นๆ และดึงดูดผู้ชมให้อินไปกับเรื่องราว
โดม: ความน่าสนใจมันคงเป็นเรื่อง… จริงๆ เราตั้งใจทำหนังผีนี่ล่ะครับ เพียงแต่ว่าเรื่องราวที่มันซ่อนอยู่ภายใต้เรื่องผี มันมีเรื่องดราม่าของครอบครัวนี้อยู่นะครับ แล้วก็มันมีคำถามจากคนทำที่ถามสังคมอยู่นะครับว่าตกลงเรื่องนี้มันถูกมองในแง่มุมไหนกันแน่ อะไรอย่างนี้ครับ ก็คิดว่า อันนี้เป็นส่วนที่ทำ ที่เราคิดว่าน่าจะเป็นสิ่งที่น่าสนใจในตอน Broker of Dead นะครับ
เจนนิษฐ์: สำหรับหนู รู้สึกว่า เรื่องราวที่เล่าในหนังมันทำให้เรารู้เรื่องความแตกต่างของคนฐานะยากจน กับคนที่มีฐานะ ที่เข้ามาผูกและโยงกันด้วยของขลังเหมือนกัน อันนี้รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ทัชใจหนูมากที่สุดหลังจากดูค่ะ และก็รู้สึกว่าคนน่าจะรู้สึกสิ่งนี้กันไม่มากก็น้อย และก็ทำให้ไปคิดต่อได้ค่ะ
ความยากของการมาทำโปรเจ็กต์ครั้งนี้ ทั้งในแง่ของการแสดงและการเตรียมงานกำกับ คิดว่าความยากของมันอยู่ตรงไหน รวมถึงกรอบของการทำงานครั้งนี้มันมีอะไรบ้างไหม เพราะว่าอย่างที่รู้ว่าประเทศไทยเราก็มีวัฒนธรรม มีความเชื่อ อะไรอย่างนี้ อะไรที่เรารู้สึกว่าเป็นความยากในการถ่ายทอดโปรเจ็กต์นี้ออกมา
โดม: สำหรับผมนะครับ ในแง่ผู้กำกับ ผมว่าความยากคงเป็นเรื่องในการที่เรา… หนังมันคงไม่… เราพยายามไม่ตัดสินว่าสิ่งที่เราเล่าว่าใครเป็นคนผิดคนถูก ความยากมันคงเป็นที่การที่หนังพยายามจะบาลานซ์ และเป็นหนังที่ตั้งคำถามมากกว่าครับว่าเรื่องที่เราเล่าให้ฟังอยู่เนี่ย หนังเรื่องนี้ ในแง่คนดู จะตอบมันยังไง จะรู้สึกกับมันยังไง หรือจะรีแอคกับมันยังไงมากกว่านะครับ อันนี้คือความยากในแง่การกำกับ ที่เราจะบาลานซ์สิ่งเหล่านี้ในหนังให้มันได้น้ำหนักอย่างที่เราต้องการครับ
เจนนิษฐ์: สำหรับหนู เรื่องการแสดงก็แน่นอนว่ายากขึ้นเพราะว่ามีสิ่งที่ไม่เคยเล่นมาก่อน ใช้พลังงานและเทคนิคที่ไม่เคยเล่นมาก่อน และแน่นอนว่าในฐานะนักแสดง สิ่งที่กดดันมากที่สุดคือเวลา คือจะอยากทำให้ได้ดี ได้ทันในเวลา เพื่อที่เราจะได้ไม่ไปเลท ไปลำบากคนอื่นค่ะ แต่ก็ถือว่าสนุกมากกว่าค่ะ ไม่ใช่เชิงกดดันขนาดนั้น เป็นความยากที่ท้าทายค่ะ
ทำไมถึงต้องเป็นต้นสำหรับเจนนิษฐ์สำหรับบทของมานพและเจิน
โดม: คาแรกเตอร์ของทั้งสองคนนี่ตรงกับบทที่เราเขียนมา มานพเราต้องการคนที่แบบว่าดูมีปัญหาเรื่องส่วนตัว เรื่องเงิน เรื่องอะไรแบบนี้ เป็นพ่อค้าพระเครื่องรางของชลัง มีลูกที่เป็นเจิน ทั้งสองคนก็คาแรกเตอร์ตรง ส่วนการแสดงก็ดีอยู่แล้ว อย่างที่ทุกคนเห็นจากผลงานเก่าๆ นี่ก็เป็นที่มา
คาแรกเตอร์ของเจนนิษฐ์ในเรื่องนี้อาจจะแตกต่างจากเรื่องก่อนๆ ที่ผ่านมา มีการทำการบ้านอย่างไรบ้าง
เจนนิษฐ์: จริงๆ ค่อนข้าง relate กับตัวละครนี้ได้ง่ายนะคะ เป็นตัวละครที่อายุเท่ากัน อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เราก็เคยพบเห็นมา ไม่ได้แตกต่างหรือไม่คุ้นเคย เรารู้สึกว่าเราเข้าใจกับสิ่งทีตัวละครเป็นอยู่ และปัญหาที่ประสบพบเจอก็ค่อนข้างเป็นสิ่งที่เราเคยเห็นมา ก็เลยอาจจะไม่ได้ยากตรงการ blend in เข้ากับตัวละคร แค่ไปยากตรง part ของนักแสดงมากกว่า
ประทับใจอะไรในตัวละครที่เราได้รับไหม ชอบในส่วนไหน
เจนนิษฐ์: จริงๆ เป็นความที่น่าจะคิดเหมือนกัน ด้วยความที่วัย… ถ้าเราเป็นตัวละครนั้น และเจอ conflict ที่มีกับพ่อของตัวเอง ก็คง react แบบเดียวกัน
ในฐานะผู้กำกับ การทำภาพยนตร์เพื่อฉายจอใหญ่และฉายจอสตรีมมิ่ง มันมีวิธีการคิด และการถ่ายทอดแตกต่างกันมากขนาดไหน
โดม: มันมีส่วนที่เหมือนกันและส่วนที่คล้ายกันครับ จริงๆ แล้วผมพยายามทำงานหนังทุกเรื่อง เราพยายามทำงานด้วยมาตรฐานที่เหมือนกัน ไม่ว่าเราจะทำหนังลงทีวีหรือฉายในโรงภาพยนตร์ ทีมงานเราทำงานด้วยวิธีคิดเดียวกัน เพื่อให้ได้คุณภาพที่เหมือนกัน เพียงแต่ว่าหนังทีวีมันอาจจะมีรายละเอียดที่แตกต่างกันนิดหนึ่ง มันอาจจะต้องใกล้หน่อย เพราะว่าจอมันเล็ก คนดูอาจจะต้อง participate กับระยะของตัวแสดง มันเป็นการ adjust นิดๆ หน่อยๆ ครับ ที่ทำให้มัน fix กับมมุมองของคนดูมากกว่า นอกนั้น เรื่องอื่นๆ ก็คล้ายๆ กันครับ ไม่ได้แตกต่างกัน
ในแง่ของการตัดต่อล่ะ ในแง่ของ concentration ของคนที่ดูหนังกับคนที่ดูสตรีมมิ่งอาจจะ… การจดจ่ออยู่กับภาพยนตร์บนจอใหญ่กับจอเล็กของคนดูมันส่งผลต่อการตัดต่อและการเล่าเรื่องขนาดไหน
โดม: จริงๆ มันมีนะครับ แต่โดยส่วนตัวผมจะพยายามไม่ให้มันแตกต่างกัน หมายความว่าเมื่อเราทำทีวี เราก็อยากจะ… ไม่ใช่ว่าตั้งหน้าตั้งตาเล่าๆๆๆๆ อะไรอย่างนี้ ผมก็ไม่ได้รู้สึกว่าเราดูถูกคนดูทีวีนะ ผมว่าเขาก็อาจจะต้องการความรู้สึกเหมือนกับดูจอภาพยนตร์น่ะครับ ผมว่าคนดูทีวีเขาอาจจะตั้งใจดูก็ได้นะครับ เหมือนกับตอนสี่ทุ่มเราปิดไฟในห้องนอน มืดหมดเลย มีทีวีอยู่ในบ้าน และเราก็นั่งดูมัน ผมยังเชื่อว่าถึงแม้ว่ามันจะต่างกันก็จริง เพียงแต่ว่าแต่เราก็อยากจะ treat คนดูเหมือนๆ กัน ก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องทำให้มันต่างกันเท่าไหร่ ก็อาจจะมีช่วงอ้อยอิ่งบ้าง มีภาษาภาพ ไม่ได้รีบมาก ให้คนดูได้รับรู้ความรู้สึก อะไรแบบนี้ ก็พยายามอยู่ ให้ใกล้เคียงกันครับ
อย่างคุณโดมก็เคยกำกับหนังเกี่ยวกับความเชื่อมาบ้าง พอมาทำซีรีส์นี้ มีความรู้สึกว่าตัวเองเติบโตขึ้นมาในด้านไหนบ้าง และน้องเจนนิษฐ์เองในแง่การแสดงของเรา พอมาถึงเรื่องนี้ เราเติบโตไปในทิศทางไหนบ้าง
โดม: ในส่วนตัวของผมก็ ผมว่าผมทำแต่ละงานมันก็จะรู้สึกโตขึ้นอยู่แล้ว หมายถึงว่าเราก็จะเจอโจทย์ใหม่ๆ หรือปัญหาใหม่ๆ ที่เราต้องดีลกับมัน อะไรอย่างนี้ แล้วก็… มันก็เป็นหนังที่เหมือนกับว่าเรื่องก็ค่อนข้างโตขึ้นนะครับ มันเป็นเรื่องที่ซีเรียสขึ้น เป็นเรื่องดราม่าเกี่ยวกับพ่อลูก มีเรื่องความรู้สึกของคนที่โดนกดทับ มีความรู้สึกต้องดิ้นรน มันก็ทำให้เราในฐานะผู้กำกับต้องศึกษา เรียนรู้ และไปกับตัวละครที่โตขึ้นโดยปริยาย
เจนนิษฐ์: ส่วนของหนูก็ จริงๆ การแสดงก็ค่อนข้างแตกต่างจากเรื่องที่เคยทำมา ก็เป็นภาพใหม่ๆ และเป็นการทะลุ การทำลายขีดจำกัดของตัวเองไปอีกในการใช้ร่างกาย การใช้เสียงที่ค่อนข้างยาก แต่ว่าก็รู้สึกที่ได้ทำอะไรใหม่ๆ ก็อยากให้ทุกคนได้ดู
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องแรกที่ได้ทำงานกับแพลตฟอร์มดูหนังของนานาชาติ ฉะนั้นในมุมมองของการกำกับที่คุณโดมได้เล่าไปเมื่อกี๊ ได้ใส่องค์ประกอบอะไรไปเพิ่มเติมไหม เพื่อตอบโจทย์คนดูทั่วโลก
โดม: ผมว่าอันดับแรก ผมเชื่อว่าในแง่บทภาพยนตร์ที่พี่คงเดชเขียน พอดีผมไม่ได้เขียนเอง จริงๆ ตัวบทค่อนข้างจะสากลนะครับ หมายถึงว่า.. เพราะว่ามันพูดเรื่องที่คนไทยก็เข้าใจ คนเกาหลีก็เข้าใจ คนอินโดนีเซียก็เข้าใจ แม้กระทั่งคนในยุโรปก็น่าจะเข้าใจเรื่องนี้ เพราะฉะนั้น ในแง่สคริปต์ ในแง่คอนเซ็ปต์ มันพูดเรื่องที่ทุกคนเข้าใจได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้น หนังมันก็ถูกเล่า ถูกทำโดยธรรมชาติของมัน ไม่ได้มีความพยายามปรุงแต่งอะไรมากนักเพื่อให้คนดูเข้าใจอะไรอย่างนี้ เพราะเราเชื่อว่าในแง่บทเองมันค่อนข้างเป็นสากลอยู่แล้ว
ในระหว่างการถ่ายทำมีโมเมนต์อะไรที่รู้สึกว่าน่ากลัวบ้างไหม
เจนนิษฐ์: สำหรับหนู จริงๆ ถ้าส่วนซีนที่หนูถ่ายเอง ส่วนตัวไม่ได้คิดว่าน่ากลัวขนาดนั้น อาจจะเพราะเวลาถ่ายมีทีมงานค่อนข้างเยอะ แต่ก็จะมีซีนที่จินตนาการไปเองเหมือนกัน เวลาเรายืนอยู่เฉยๆ คิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปเองคนเดียว และคิดว่าหลังประตูบานนั้นจริงๆ แล้วไม่ใช่ทีมงาน แต่เป็นอย่างอื่นล่ะ ก็จะหลอนๆ ขึ้นมาหน่อย หนูคิดว่าซีนที่น่ากลัวอาจจะเป็นซีนที่คนอื่นเล่น สำหรับหนูนะคะ มันดูน่ากลัวปนหดหู่ไปด้วยค่ะ
สิ่งที่น่าสนใจของเรื่องนี้คือการตั้งคำถามว่าสำหรับผีกับความจน อะไรน่ากลัวกว่ากัน และทั้งสองคนมีมุมมองต่อเรื่องนี้อย่างไรบ้าง
โดม: เราพยายามไม่บอกส่วนตัวละกันนะครับ มันอาจจะเป็นการชี้นำไปหน่อย แต่บอกความตั้งใจละกันนะครับ ผมว่าหนังมันเล่าเรื่องผีใช่ไหมครับ ก็จริง แต่โอเค สิ่งที่ซ่อนอยู่ ที่หนังพยายามตั้งคำถาม มันก็มีแมสเสจบางอย่างอยู่ คราวนี้ ถ้าถามว่า เรามองมันยังไง ผมว่าเหมือนกับที่หนังมันถามล่ะครับ เรามองมันอย่างตั้งคำถาม โดยที่ยังไม่มีบทสรุปว่าตกลงแล้วสิ่งนี้มันเวิร์คหรือไม่เวิร์ค หรือผีหรือจนที่น่ากลัวกว่ากัน หรือสิ่งนี้มันช่วยใคร มันเลือกคนช่วยไหม หรือมันยังไง อะไรแบบนี้ มันมีคำถามพวกนี้ที่มันเยอะมาก ในหนังที่แล้วแต่คนที่จะถามถึงมัน ซึ่งผมเองก็คงไม่สามารถที่จะไปบอกได้ว่ามันต้องสรุปแบบนี้นะ เพราะแม้กระทั่งตัวเองยังตั้งคำถามอยู่กับมัน และยังไม่ได้เจอคำตอบว่าตกลงแล้วคำตอบคืออะไร
เจนนิษฐ์: สำหรับหนูก็ ความจนกับผีก็แล้วแต่คนนะคะว่าจะกลัวสิ่งไหนมากกว่ากัน แต่สำหรับหนู ก็มีให้เราตั้งตารอดูรีแอ็คชั่นตัวละครว่าถ้าเจอทั้งสองสิ่งพร้อมๆ กัน เขาจะเลือกทางไหน เพราะเขาไม่สามารถเอาชนะทั้งสองสิ่งได้เลย อาจจะสูญเสียหลายๆ อย่างไปพร้อมๆ กัน อาจจะมานั่งคิดเองเหมือนกันว่าถ้าเราเป็นตัวละครที่ถูกบีบคั้นในสถานการณ์ที่ค่อนข้างมีเวลาน้อย และก็ไม่ได้มีทางเลือกมาก เราจะเลือกชนกับความจน หรือเลือกชนกับผีมากกว่ากัน อะไรแบบนี้ค่ะ อาจจะเปรียบเทียบไม่ได้เนอะว่าผีกับความจนมันมีความน่ากลัวคนละแบบ แต่ละคนก็กลัวไม่เหมือนกันด้วย เลยจะไปโฟกัสที่การตัดสินใจรับมือของแต่ละคนมากกว่าค่ะ
ปกติเจนนิษฐ์เป็นคนที่กลัวผีไหม และการต้องมาเล่นซ๊รีส์เกี่ยวกับตำนาน และวิญญาณลี้ลับ มันยากหรือง่ายกับเราอย่างไรบ้าง
เจนนิษฐ์: สำหรับหนูก็กลัวไม่มาก ในระดับที่ไม่ลบหลู่ แต่ก็ไม่ได้เข้าไปทำอะไรที่ท้าทาย ล่าท้าผี ก็จะไม่ทำ ก็จะมีมูบ้าง เพื่อความสบายใจ แต่ก็ไม่ได้เชื่อว่ามันจะช่วยได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ มีไว้เผื่อดี ถ้าไม่ได้ผลอะไรก็ไม่เป็นไร แต่เรื่องน่ากลัว หรือสิ่งที่คิดว่าทำแล้วมีผลไม่ดี ก็จะไม่ทำค่ะ คนรอบตัวค่อนข้างเชื่อเรื่องนี้กัน เราก็เลยมี… อาจจะจริง แต่ก็ย้อนแย้งกับตัวเองในบางที ว่าเชื่อหรือเปล่านะ แต่ว่าในความยากเรื่องการถ่ายทำหนังผีคือด้วยความที่ตัวเองไม่ได้กลัวขนาดนั้น แล้วก็เป็นคนที่กลัวแล้วไม่แสดงออก รีแอคชั่นน้อย ก็อาจจะรู้สึกว่าต้องเพิ่มระดับความกลัว เพราะตัวเจินน่าจะกลัวผีมากกว่าเราด้วย ก็ต้องมีการปรับ และใช้ร่างกายที่แตกต่างจากธรรมชาติที่เราเป็นอยู่ค่ะ
ในเมื่อทำหนังภาพยนตร์สยองขวัญ ลึกลับ ผีร่วมสมัย คิดว่าในโลกร่วมสมัยอย่างปัจจุบัน ทั้งสองคนมีความเห็นอย่างไรต่อเรื่องเครื่องลางของลัง เรื่องผี เรื่องลึกลับในปัจจุบัน ทั้งในเชิงส่วนตัวและในเชิงสังคม คิดว่าความหมายของเรื่องนี้แตกต่างอย่างไร โดยสรุปคือตัวเองมีทัศนะอย่างไร และในความหมายของสังคมนี้มันแตกต่างไปจากอดีตอย่างไรในการตีความของเราบ้าง
โดม: จริงๆ คือ ถ้าเราพูดเรื่องเครื่องรางของขลัง เรื่องความเชื่อ คล้ายๆ กับว่าเราเขยิบไปว่า เราไม่พูดเรื่องความเชื่อ ถ้าเรามองมันในฐานะว่าเรื่องนี้ทำไมถึงยังคงอยู่กับเรามาขนาดนี้ แล้วก็คนก็รีแอคกับมันเหมือนกัน จริงๆ คือ ไม่ใช่ว่าคนตจว จะเชื่อเรื่องนี้มากกว่าคนกรุงเทพ อันนี้ผมเถียง คือรู้สึกว่าจริงๆ แล้วคนในเมือง คนกรูเทพ นี่ยิ่งกว่า… หรือคุณยิ่งเป็นมหาเศรษฐี คุณยิ่ง… แทนที่มันจะแบ่บ… ยิ่งบางคนเป็นดร มีการศึกษามาก กลับเชื่อเรื่องนี้ แต่อีกมุมหนึ่งก็ยังเชื่อเรื่องนี้ ผมกลับสนใจมันในมิตินี้มากกว่าที่จะสนใจมันในมิติเรื่องผี เรื่องสิ่งที่เรามองไม่เห็น ลึกลับ อะไรแบบนี้ ผมตีความมันในมุมนี้มากกว่าที่ผมสนใจ เลยพยายามจะเล่าหนังออกมา ตั้งคำถามที่ผมสนใจ แต่ก็ยังไม่เจอคำตอบ ก็คงต้องถามต่อไปนั่นแหละ ว่ามันเป็นเพราะสิ่งไหนวะที่ตกลงมันช่วยจริงไหมว่า หรือมันไม่ได้ช่วยเราเลยวะ หรือว่าเขาโชคดีวะ มันแมตช์กันพอดีเลย เขาเรียกว่าอะไรนะ เคมีตรงกัน ของก็เลยเหมือน… แต่ทำไมเราไม่เคยได้รับความช่วยเหลือจากสิ่งเหล่านี้เลยวะ ไม่ว่าเราจะเป็นคนดีแค่ไหน เราทุ่มเททั้งหมดในชีวิตเราแค่ไหน อะไรอย่างนี้ มันเป็นคำถามที่เรามองเรื่องแบบนี้มากกว่า เรามองความเชื่อความศรัทธาในมิติที่มันเกี่ยวกับสังคม เกี่ยวกับมนุษย์มากกว่า แต่ว่าทำไมเราถึงไม่เคยปฏิเสธมันเลยล่ะ ในเมื่อเราไม่เชื่อมัน และมันไม่เคยช่วยอะไรเราเลย ก็ไม่ปฏิเสธ โดยส่วนตัวก็ยังไม่ปฏิเสะ มันก็ยังคงเป็นความสับสนอลหม่านอยู่ เหมือนหนังนะครับ หนังมันก็พยายามตั้งคำถามอยู่ เพียงแต่ว่ามันยังไม่มีจุดจบว่าเรื่องนี้มันควรจะตอบว่ายังไงกันแน่
เจนนิษฐ์: สำหรับหนู หนูขอตอบว่าด้วยความร่วมสมัยนี่ล่ะค่ะ มันทำให้ความเชื่อนี้มัน spread ไปได้ไกลขึ้น เพิ่มมากขึ้น เข้าถึงได้ง่ายขึ้น เพราะอยากรู้อะไรก็เข้าอินเทอร์เน็ตก็เจอได้เลย อันนี้ช่วยเรื่องอะไร สามารถหาสิ่งที่ช่วยเรื่องนี้ได้จากแหล่งไหนบ้าง แล้วพอมีช่องทางออนไลน์ การซื้อขาย กลายเป็นว่าง่ายขึ้นมากๆ เลย ต่างจังหวัดต่างประเทศก็ส่งง่ายขึ้น พอมันซื้อได้ง่ายขึ้น คนก็ต้องการซื้อมากขึ้น ก็มีการผลิตพวกนี้มากขึ้น ก็เลยรู้สึกว่ามันไม่ได้หายไปไหน แล้วก็รู้สึกว่ามีการพูดถึงมากขึ้นด้วยซ้ำค่ะ เมื่อก่อนอาจจะเป็นแค่เซียนพระ หรือคนต่างจังหวัด พอตอนนี้กลายเป็นว่านักศึกษา คนธรรมดา ทุกคนก็มีเครื่องรางของขลังที่หาได้ง่ายขึ้น จับต้องได้มากขึ้น ก็เลยคิดว่าตัวที่ เทคโนโลยีที่มาพร้อมกับความร่วมสมัย ทำให้ความคงอยู่ของความเชื่อพวกนี้มันไปต่อได้
คิดว่าในเรื่องนี้ทุกคนจะได้เห็นมุมใหม่ๆ ของคุณเจนนิษฐ์ในฐานะนักแสดงอย่างไรบ้าง
เจนนิษฐ์: แน่นอนว่ามันค่อนข้างแตกต่างจากภาพที่… ซีนจากเรื่องก่อนๆ จะเป็นซีนการใช้ชีวิตของวัยรุ่นทั่วๆ ไป แต่ภาพในเรื่องนี้จะค่อนข้างเหนือธรรมชาติเข้ามาเกี่ยวข้อง มีเทคนิค มีเรื่องผี มีการแสดงที่ยากขึ้น ใช้พลังงานมากขึ้น ก็แน่นอนว่าทุกคนเห็นน่าจะสลัดภาพเดิมออกไปได้
ในฐานะคนทำผลงาน ย่อมมีความคาดหวัง นอกเหนือจากการให้คนตั้งคำถามกับหนังที่เราสื่อออกไปแล้ว มันมีความคาดหวังให้คนได้แมสเสจ หรือดูจบแล้วได้ข้อคิดอะไรจากหนังเรื่องนี้เป็นพิเศษบ้างไหม
เจนนิษฐ์: สำหรับหนู แมสเสจที่หนูชอบมากๆ หลังจากดูเรื่องนี้ก็คือ ทำไมความต้องการของขลังมันยังคงมีสูงอยู่ ทั้งๆ ที่ประเทศหรือกาลเวลาทำให้เราพัฒนา ทุกคนเก่งขึ้น มีการศึกษาที่สูงขึ้น แต่ว่า… หรือว่าทั้งหมดที่เราพยายามมายังไม่ทำให้เราประสบความสำเร็จเหมือนเราคาดหวัง คือพยายามเยอะ เหนื่อยแค่ไหนก็ยังไปถึงจุดนั้นไม่ได้สักที หรือเราพยายามจะหลุดพ้นจากความลำบาก ความยากจน ที่ใช้แรงกายไม่พอ เลยต้องใช้ความเชื่อจากสิ่งเหนือธรรมชาติมาช่วยเราตรงนี้ หรือว่าเราอยากได้ทางลัดหรือได้สิ่งที่เร็วกว่าคนอื่น เพื่อจะชนะและไปต่อในจุดที่สูงกว่า
โดม: จริงๆ แล้วคล้ายๆ กันนะผมว่า แต่ว่าโดยส่วนตัวก็คืออยากให้คนดูได้ดูหนังดูตัวละคร ทั้งน้องเจนนิษฐ์ ทั้งพี่ต้นที่เล่นนะครับ ดูมันแบบสะเทือนใจ สะเทือนอารมณ์ หรือน่ากลัวไปกับหนัง อันนี้คือความคาดหวังสูงสุด ส่วนใครจะได้แมสเสจแค่ไหน หรือไม่ได้ ก็ไม่ผิดอะไร อันนี้แล้วแต่ว่าคนดูจะเทคมันยังไง อะไรแบบนี้ครับ แต่อันดับแรกก็คงดูแล้วสะเทือนใจ ลุ้นไปตามตัวละครที่เขาประสบเรื่องราวต่างๆ
สำหรับใครที่กลัวหรือไม่กล้าดูหนังสยองขวัญ แต่อยากดูซีรีส์เรื่องนี้ น้องเจนนิษฐ์มีทริกแนะนำตอนดูบ้างไหม
เจนนิษฐ์: หนูว่าแน่นอนนะคะ เป็นหลายคน เหมือนเวลากินเผ็ด มันทรมาน แต่ก็กิน ดูหนังผีคือกลัว แต่ก็ชอบดู มันเป็นความรู้สึกที่ไม่สามารถหาได้จากสิ่งอื่น ทั้งตื่นเต้นและอะไรอย่างนี้ คนส่วนใหญ่ที่กลัวผีคงไม่กล้าดูคนเดียวมั้งคะ ก็หาเพื่อนค่ะ ถ้าดูตอนกลางคืนไม่ไหว ก็ไม่เป็นไร ไม่ได้บังคับ ก็ดูตอนกลางวันได้ หรือมีที่พึ่งทางจิตใจ เอามาไว้ข้างตัว ก็ได้เหมือนกันนะคะ มีเพื่อนดูก็ค่อนข้างสนุกกว่า มีคนรีแอคชั่นร่วมไปกับเรา กรี๊ดไปพร้อมกัน เพื่อนหนูบางคนจะชอบจิกเพื่อนข้างๆ จริงๆ ก็ไม่ดีนะคะ แต่ก็มีที่พึ่งทางจิตใจ
อยากให้เจนนิษฐ์ย้อนกลับไปความรู้สึกตอนแรกที่อ่านบท รู้สึกยังไงกับเจิน
เจนนิษฐ์: รู้สึกว่าน่าสงสาร รู้สึกว่าเขาไม่ได้เลือกที่จะต้องมาป่วย ไม่ได้เลือกที่จะเกิดมาในครอบครัวที่ฐานะไม่ดี ไม่ได้เลือกที่จะมาประสบกับเรื่องที่ตัวเองไม่ได้ทำ แล้วก็มีแต่เรื่องไม่ดีเข้ามาในชีวิต รู้สึกว่าเป็นตัวละครที่ไม่มีสิทธิเลือกอะไรเลย แล้วก็ทำอะไรไม่ได้ด้วย ด้วยความที่ไม่ได้เกิดจากการกระทำของตัวเองด้วย ก็รู้สึกว่าสงสาร เพราะเราอยู่ในจุดที่เราไม่เคยลำบากอย่างเขา ไม่ได้ป่วย ได้ออกมาใช้ชีวิต เลยรู้สึกสงสาร แล้วพออ่านบทจบ ก็ยิ่งสงสารครอบครัวนี้เหมือนกัน ว่าอยู่ภายใต้สิ่งที่ครอบเขาไว้ให้ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้
ในโปรเจ็กต์ Folklore มีทั้งหมด 6 ประเทศ ในฐานะของการเป็นตัวแทนของประเทศไทย ทั้งสองท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง และอยากฝากอะไรถึงคนไทยเกี่ยวกับตอนของตัวเองด้วยก็ได้ และตอนของประเทศอื่นด้วยก็ได้
โดม: ก่อนอื่นก็รู้สึกยินดีครับที่ได้ร่วมโปรเจ็กต์นี้ เราได้เล่าเรื่องแบบที่เราอยากเล่า มีแมสเสจที่เราอยากจะถาม มีหนังที่เราอยากส่งสารไปถึงคนดู แล้วก็ส่วนอื่นๆ ก็ ประเทศอื่นๆ ก็มีความน่าสนใจเหมือนกัน จริงๆ ผมอยากดูของอินโดนีเซีย ก็น่าสนใจมาก หนังสยองขวัญของอินโดก็สุดยอดไม่แพ้เรานะฮะ อย่างของญป ก็น่าดู ผู้กำกับเป็นผู้หญิง เป็นนักแสดงเก่าด้วย ในแต่ละเรื่อง แต่ละประเทศค่อนข้างมีความหลากหลาย ทั้งในแง่เรื่องราว ผู้กำกับ นักแสดง ก็คิดว่าอยากให้ทุกคนได้ดูของทุกประเทศเลย น่าจะสมบูรณ์แบบตามที่โปรเจ็กต์ที่เขาคิดขึ้นมา จะได้ตามโปรเจ็กต์ Folklore ที่เค้าคิดขึ้นมา ดูเรียงตั้งแต่ 1- สุดท้ายเลย อันนี้น่าจะได้ความรู้สึกที่เห็นมิติอะไรหลายๆ อย่าง
เจนนิษฐ์: สำหรับหนูก็รู้สึกว่านั่นล่ะค่ะ เวลาเราดูหนังจากหลายๆ ประเทศก็จะมีกลิ่น มีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันที่เราต้องการ แบบว่าแบบนี้รู้เลยว่ามาจากประเทศไทย แบบนี้มาจากอินโดนีเซีย มาจากญี่ปุ่น ไต้หวัน แต่โดยรวมแล้ว สุดท้ายก็จะมีบางสิ่งที่ common และลิงก์กันได้ ทำให้เรารู้สึกว่ามีครบรส ทั้งแตกต่างและเหมือนกัน รวมถึงการได้ร่วมงานกับ hbo go ก็ถือว่าเป็นเรื่องใหม่ และเป็นโอกาสดีด้วยที่คนจะได้ดูการแสดงของหนูเยอะขึ้นในต่างประเทศด้วย รวมถึงได้ดูวัฒนธรรมและสิ่งที่มีความเป็นไทยมากขึ้นด้วย
ถามเจนนิษฐ์ว่าก่อนหน้านี้เราพูดถึงว่ามันมีประเด็นเรื่องเวลาขึ้นมาที่อาจจะเป็นความท้าทายระหว่างถ่ายทำ นอกจากนั้น มันจะมีความท้าทายอื่นด้วยไหมที่ประสบเจอระหว่างการถ่ายทำ
เจนนิษฐ์: หนูว่าส่วนตัวคนแสดงทุกคนคงจะเป็นล่ะค่ะ คืออยากทำผลงานให้ออกมาดีขึ้นเรื่อยๆ คือน่าจะเป็นกันหลายคนเวลาย้อนไปดูงานตัวเอง จะจับผิด และรู้สึกว่ามันน่าจะดีกว่านี้ รู้สึกอยากกลับไปแก้ไข ก็ไม่ควรไปจมอยู่กับมัน เพราะมันเป็นบทเรียนที่มันผ่านมาแล้ว และเราได้เรียนรู้ที่เราอยากจะทำให้ดีขึ้น เราจะไม่พลาดแบบนี้อีกในเรื่องต่อๆ ไป มันก็จะเป็นความกดดันแบบส่วนตัว ไม่ใช่เชิงลบ แต่เป็นความมุ่งมั่นแบบอยากทำให้ดีขึ้นมากกว่า
ถามโดมให้ช่วยแชร์ประสบการณ์การทำงานกับคุณคงเดช ผู้เขียนบท และในฐานะที่เขาเป็นผู้กำกับด้วย เขาได้มีคำแนะนำอะไรกับคุณโดมไหมในการทำหนังเรื่องนี้
โดม: ผมเป็นแฟนหนังพี่คงเดชมาตั้งแต่เด็กแล้วครับ ติดตามตั้งแต่สมัยเรียนภาพยนตร์ และเป็นแฟนหนังแกด้วย ก็มีความรู้สึกดีใจ ยินดีที่ได้แกมาเขียนบทให้ อะไรแบบนี้ และเราได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างจากบทที่แกเขียน หมายถึงว่าในแง่ของพี่คงเดช แกคงไม่ได้มาแนะนำอะไรเราเป็นกิจจะลักษณะนะครับ เพียงแต่ว่าเป็นเรื่องของการที่แกทำผลงานแล้วเราอ่านบทแล้วได้ศึกษาผ่านตัวหนังสือ ผ่านวิธีการที่แกคิดมากกว่า และดูจากสิ่งที่แกเคยทำมา มันก็เป็นแรงบันดาลใจให้เราส่วนหนึ่งอยู่แล้วในการมาทำหนัง ก็เลยรู้สึกยินดีที่ได้ร่วมงานกับแกน่ะครับ
ในตัว fact sheet มีการพูดถึงว่าผีหรือความจนมันน่ากลัวกว่ากัน ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นหนึ่งในตัวแทนของประเทศไทยสำหรับซีรีส์นี้ ก็รู้กันอยู่แล้วว่าประเทศไทยนี่ความเหลื่อมล้ำเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ขอถามทัศนะจากทั้งสองคน ในการทำภาพยนตร์ประเด็นนี้ในประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำเป็นอันดับต้นๆ ของโลกแบบนี้ มองความเหลื่อมล้ำในประเทศไทยอย่างไร มีทัศนคติกับเรื่องนี้อย่างไร
เจนนิษฐ์: สำหรับหนู รู้สึกว่าความเหลื่อมล้ำเป็นสิ่งที่ยังไงก็ไม่สามารถหมดไปได้แบบ 100% ไมว่าจะที่ไหนก็ตาม แต่มันทำได้แค่ลดลง ให้มันน้อยลง หรือว่า… ไม่ได้เหลื่อมล้ำจนรู้สึกว่าน่าเกลียดน่ะฮะ มันลดลงให้ได้อยู่ในระดับที่คนอยยู่ในระดับด้อยกว่าได้รับ facility ที่ควรได้รับ แน่นอนว่าคนเราแตกต่างกัน มีความสามารถต่างมัน มันต้องมีคนเก่งกว่า ได้มากกว่า มันไม่มีทางที่มนุษย์จะเป็นแบบ utopia ที่ทุกคนเท่าเทียม แค่เราเกิดมา ทุกคนก็แตกต่างกันอยู่แล้ว ความสามารถ ถนัดไม่เหมือนกัน เราหลีกหนีความเหลื่อมล้ำไม่ได้ มนุษย์มันเปรียบเทียบกันเสมอ คิดว่าถ้าทำได้ ก็อยากจะลดความเหลื่อมล้ำให้ได้มากที่สุด ให้อยู่ในระดับที่สามารถจัดการให้ความเป็นอยู่ดีขึ้น ไม่ใช่ดิ้นรนหาด้วยตัวเอง สามารถได้รับสิ่งที่ควรจะได้มากกว่านี้ แต่คงไม่สามารถหนีพ้นได้จริงๆ
โดม: ส่วนตัวคิดว่า ยิ่งอันนี้คิดต่อจากเจนนิษฐ์พูดนะ ยิ่งถ้าคิดว่ามันเป็นเรืองธรรมชาติ มัน… เราก็ต้องยิ่งไม่ปล่อยให้มันเป็นแบบนั้นใช่ไหม โอเค คนเราเลวโดยธรรมชาติ งั้นเราก็เป็นคนเลวกันเถอะ เพราะฉะนั้น คิดแบบนั้นมันก็คง… โอเค ความเหลื่อมล้ำมันเป็นเรื่องธรรมชาติก็จริง แต่ในฐานะที่เราอยู่ในสังคมเดียวกัน มันก็คงต้องชวนกันคิดมั้งฮะว่า ในเมื่อมันเป็นอย่างนี้ มันมีหนทางอะไรที่จะแก้ไขมัน บรรเทามัน หรืออย่างน้อยทำให้ไอ้ความไม่เท่ากันมันยุติธรรม หมายถึงต้องยุติธรรมด้วยนะ มันอาจจะไม่ต้องเท่ากันทุกคน แต่มันยุติธรรมสำหรับเขา อะไรแบบนี้ ผมแค่รู้สึกว่า มันเป็นมุมมองของผมมากกว่า ยิ่งบอกว่ามันเป็นธรรมชาติของทุนนิยม เป็นธรรมชาติของโลกนี้ มันก็… แล้วคุณจะปล่อยให้มันเป็นธรรมชาติอย่างนี้เหรอ มนุษย์ก็ควรตั้งคำถามเหมือนกัน เราจะจัดการมันไหม อย่างน้อยก็ช่วยกันนิดๆ หน่อยๆ กลับมาที่หนัง มันก็ยัง…พูดในแง่มิติของความเชื่อ หนังมันก็… มันไปไกลตรงที่หนังก็ตั้งคำถามใหญ่เลย ซึ่งก็ยังไม่มีคำตอบนะครับว่าตกลงแล้วมันเป็นเพราะอะไรกันแน่ ที่ทำให้คนคนหนึ่งมันดีกว่าคนคนหนึ่ง คนคนหนึ่งแย่กว่าคนคนหนึ่ง คนคนหนึ่งได้รับสิ่งนี้ ทั้งๆ ที่ขอเหมือนกัน ศรัทธาในสิ่งที่เหมือนกัน ไม่รู้สิ มันอาจจะเป็นปัญหาที่ใหญ่กว่าตัวเรามาก เราเลยตั้งคำถามอยู่ มันอาจจะเป็นปัญหาเรื่องโครงสร้าง เรื่องพระเจ้า จักรวาล อะไรหรือเปล่า อันนี้ฮะที่หนังเรื่องนี้พยายามตั้งคำถามอยู่
ด้วยความที่เรื่องนี้จะพูดเรื่องของขลัง อยากรู้ว่าทั้งสองท่านเชื่อเรื่องไสยศาสตร์หรือไม่ อย่างไร
เจนนิษฐ์: ส่วนตัวจะได้ยินมาเรื่องไสยศาสตร์ ทางฝั่งแม่จะเป็นคนต่างจังหวัด จะได้ยินมา ครอบครัวอยู่เพชรบูรณ์ อีสาน เรื่องนี้จัดเต็มมากเลย คนที่มีวิชาอาคมมาจากเขมรบ้าง ลาวบ้าง มีการไล่เนรเทศคนที่คิดว่าเป็นปอบยังมีเลยค่ะ แค่สองรุ่นขึ้นไปจากหนูก็ยังมีอยู่ แต่ว่าเรื่องเครื่องรางของขลัง ก็จะมาเป็นฝั่งพ่อแทน จะอยู่ในวงการเช่าพระ ก็จะมีให้ใส่ตั้งแต่เด็ก ตอนเด็กๆ ไม่ได้แสดงเนอะ ไปโรงเรียนเฉยๆ ก็จะต้องใส่พระสักหนึ่งองค์ติดตัวตลอด แม่ก็จะเรียกได้ว่าเห็นสิ่งลี้ลับด้วย เราก็รู้สึกว่าเป็นความเชื่อที่กึ่งๆ ย้อนแย้งในตัว ส่วนตัวคิดว่าเป็นเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ขนาดนั้น และผลลัพธ์เวลามีเรื่องดีๆ เข้ามาเราตอบไม่ได้ว่ามันเป็นเพราะของขลังจริงๆ หรือมันเป็นที่ดวงของเรา หรือความบังเอิญ หรือความสามารถ เวลามีคนมาถาม เพราะเขารู้สึกว่าหนูมีของสายมูเยอะว่าอันไหนเวิร์คๆ ดีๆ บ้าง หนูก็ตอบไม่ได้ห่รอก มีหลายอย่าง แต่ไม่รู้หรอกว่าอะไรทำให้ได้ดี อาจะจเป็นที่ดวงหรือความสามารถ เราก็ไม่สามารถตอบได้ บอกได้แค่ว่ามีไว้เพื่อความสบายใจ ก็เลยคิดว่าเป็นความเชื่อว่าอะไรที่ไม่มีผลเสียภายหลัง ไม่ใช่ของสายดำ สายเทา เป็นเพื่อความสบายใจ ทำให้เราคิดบวก ก็มีไว้ ไม่เสียหาย ถ้าไม่ได้ผล ก็ไม่ได้คิดว่าจะแย่อะไร
โดม: ผม 50-50 มากกว่าครับ เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ก็ไหว้หมด ปากบอกไม่เชื่อแต่ไหว้หมดนะ
มีซีนไหนที่รู้สึกว่าเป็นซีนยากมากๆ หรือเป็นซีนที่เป็นความทรงจำ ไม่อยากให้ใครพลาดเลย มีเป็นพิเศษไหม
เจนนิษฐ์: อาจจะดูไม่มีอะไร แต่ซีนที่ยากที่สุดสำหรับหนูคือซีนกรี๊ด เพราะว่าปกติไม่ใช่เป็นคนเสียงที่… เป็นสิ่งที่มีติดตัวแต่ละคนเนอะ การกรี๊ดที่เราเคยเห็นแบบ clearly ที่ไม่ใช่ว่าจะทำได้ทุกคน หนูก็คือรู้สึกว่าซีนนั้นยากลำบากที่สุดแล้ว เพราะมันฝืนธรรมชาติที่มีมาคือเสียงแหบ
โดม: เอาจริงเป็นซีนท้ายๆ ของหนังครับ แต่ยังสปอยล์ไม่ได้ เขาสั่งมาว่าห้ามเล่าให้ฟัง แต่ก็เป็นเรื่องที่นักแสดงทุกคน ทั้งตัวเจินเองก็ค่อนข้างดูแล้วโอ้โห… น่าจะแปลกไปเลยเนอะ ทุกคนอาจจะไม่เคยเห็นเจนนิษฐ์เล่นในมุมนี้ ก็อยากให้ติดตาม
ความประทับใจซึ่งกันและกันในการร่วมงานกันครั้งนี้
โดม: ก่อนอื่นผมก็… เช่นกันฮะ จริงๆ แล้วเจนนิษฐ์เล่น Where We Belong ก่อนหน้านี้ แล้วก็รู้สึกว่าน้องเล่นดีมาก เป็นคนหัวไว ฉลาด พอได้ร่วมงานก็รู้สึกยินดี ไม่ผิดหวัง น้องทำได้ดีก็มีความประทับใจ และเราก็ได้หนังที่ค่อนข้างโอเค เมื่อผลงานมันเสดออกมาแล้ว เมื่อทีมได้ดูกัน ก็ค่อนข้างแฮ้ปปี้ครับ
เจนนิษฐ์: พี่โดมให้อิสระในการเล่นมาก ให้หนูลองเล่น ถ้าโอเคก็เล่นต่อ ถ้าอะไรที่รู้สึกขาด พี่โดมก็จะเติมให้ เราก็จะพัฒนาไป จริงๆ ก่อนหน้านั้น ก่อนที่จะมาร่วมงานก็รู้สึกว่าพี่โดม ด้วยลุคน่าจะเป็นคนจริงจัง ซีเรียส ดุกว่าพี่เดชนิดหน่อย หนูไม่ได้กลัวนะคะ หนูไม่ได้กลัวคนดุ แต่มันจะมีความรู้สึกอยากชนะ ถ้าเราสามารถทำให้คนที่ดูซีเรียสชื่นชมเราได้ เราจะคอมพลีต แต่ปรากฏว่าพี่โดมไม่ดุค่ะ