Behind Portrait of an Artist.

Share This Post

- Advertisement -

คอลเลกชั่นฤดูร้อน 2021 Kim Jones ผู้อำนวยการฝ่ายศิลปะของ Dior Men ได้ร่วมงานกับ Amoako Boafo ศิลปินชาวกานา ที่ได้อธิบายถึงเอกลักษณ์ตัวตนของเขาและการรับรู้ถึงสีผิวโดยเฉพาะการเป็นบุรุษผิวดำ ได้สื่อสารออกมาในขนบที่ล้ำสมัย

แม้การร่วมกันของศิลปะและแฟชั่นได้มีมาเนิ่นนาน ได้มีการคลี่คลายศิลปะเป็นแฟชั่นออกมาหลายแนวทาง แต่ก็ไม่ใช่ทางตันที่จะไม่สามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ได้ เพื่อเป็นการฉลองอัตลักษณ์, พลังแห่งการสร้างสรรค์, พลังในการสื่อสารของศิลปะ คอลเลกชั่นฤดูร้อน 2021 Kim Jones ผู้อำนวยการฝ่ายศิลปะของ Dior Men  ได้ร่วมงานกับ Amoako Boafo ศิลปินชาวกานาที่ร่ำเรียนศิลปะในเวียนนา ทั้งคู่ได้พบกันครั้งแรกเมื่อปีที่แล้วที่ The Rubell Museum ในไมอามี และเหมือนรักแรกพบที่ทำให้คิม โจนส์  ชื่นชอบผลงานศิลปะของอาโมอาโก โบอาโฟ เขารังสรรค์คอลเลกชั่น Summer 2021 โดยมีผลงานของโบอาโฟ เป็นแรงบันดาลใจ ไม่เพียงแค่นั้นยังเป็นฐานของการต่อยอดไปสู่ดีไซน์อื่นๆ ซึ่งเราจะเห็นจากสีสันหรือผิวสัมผัสของลวดลาย แม้แต่โบอาโฟ เองก็ตื่นเต้นว่าภาพงานจิตกรรมของเขาที่เป็นภาพ 2 มิติจะถูกนำไปคลี่คลายเป็นงานแฟชั่นได้อย่างไร เพราะส่วนตัวแล้วเขาก็สนใจในเรื่องของแฟชั่นเช่นกัน 

ทั้งสองคนมีจุดร่วมที่เหมือนกันคือผืนแผ่นดินแอฟริกา คิม โจนส์ ใช้เวลาช่วงวัยเด็กของเขาเดินทางข้ามแผ่นดินแอฟริกาไปใช้ชีวิตในเมืองต่างๆ เพราะเขาอยู่ในครอบครัวนักการทูต บอตสวานา แทนซาเนีย เอธิโอเปีย เคนยาและกานา สำหรับคิม โจนส์ แล้ว แอฟริกาคือบ้าน เป็นที่มาของภาพอดีตชีวิต เชื่อมต่อความรักที่แท้จริง ธรรมชาติและวัฒนธรรมของผู้คนคือแรงบันดาลใจของเขา ในการถ่ายทอดผ่านทางอาภรณ์ โบอาโฟ ได้เปิดหน้าต่างไปสู่วัฒนธรรมของแอฟริกันแบบร่วมสมัย โดยเฉพาะจาก อักกราและกานา ซึ่งมีประวัติศาสตร์สิ่งทอที่เข้มข้น โดยเขาจะคลี่คลายสิ่งเหล่านี้ออกมาให้ดูจับต้องได้แต่มีความพิเศษ 

ภาพ Black Diaspora ของโบอาโฟ ได้อธิบายถึงเอกลักษณ์ตัวตนของเขาและการรับรู้ถึงสีผิวโดยเฉพาะการเป็นบุรุษผิวดำ ได้สื่อสารออกมาในขนบที่ล้ำสมัย โดยงานศิลปะเหล่านี้จะถูกเคลื่อนย้าย  แสดงถึงสัจจะและมีการเปรียบเปรยบนเสื้อผ้าที่แสดงออกถึงเทคนิคและประวัติศาสตร์การตัดเย็บของโอ๊ตกูตูร์ เป็นการท่องโลกโดยไม่ต้องเคลื่อนกายไปไหน

แต่ละชิ้นงานเป็นความร่วมมือ การสื่อสาร งานศิลปะของโบอาโฟ เป็นแรงบันดาลใจ แต่ยังเป็นพื้นฐานสำคัญ สีถูกดึงออกมาจากความจัดจ้ามีชีวิตชีวา เนื้อแท้ของสีที่ใกล้จะเหนือจริง ไม่ว่าจะเป็นสีเหลือง  Fluo yellow  ที่ดูฉ่ำของผ้าไหมที่ทำแบบ Moiré หรือทำให้เกิดผิวย่นๆ , สีฟ้าจาง, สีแดงอมส้มแบบปะการังและสีเขียว ลายพิมพ์นั้นนำมาจากลวดลายบนงานศิลปะของเขา ผ้าทอแจ็คการ์ดที่ให้ผิวสัมผัสแบบการป้ายปาดฝีแปรงสีน้ำมันหนาๆ นำมาจากภาพถ่ายโดยคิมโจนส์ จากผืนผ้าใบที่มีสีป้ายปาดให้มีมิติที่ใช้ในสตูดิโอของโบอาโฟ การทำให้ผิวผ้าดูเป็นสามมิติได้รับการพิมพ์และจัดวางโดยไม่กำหนดทิศทาง เสื้อถักหล่อบุ้ง(Ribbed Knits แบบคอเสื้อยืด) ร่วมกับลายทอยกดอกที่มีรูปลักษณ์ไม่เหมือนใครด้วยเป็นลายแบบผืนผ้าใบปาดป้ายไปด้วยสี 

ในส่วนอื่น ๆ งานปัก งานถักนิตติ้ง การถักแบบ intarsia(ถักด้วยเข็มถัก)ที่ทำให้ผิวของผ้าเรียบ เทคนิคต่างๆ เหล่านี้ได้ช่วยแปลงให้งานศิลปะของโบอาโฟ ถ่ายทอดมาเป็นอาภรณ์ได้อย่างสมบูรณ์แบบโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสวมใส่ โดยทรงชุดจะออกแนวแคบ มีความเพรียวหรือสตรีมไลน์ มีอิทธิพลสปอร์ตแวร์แต่ก็เป็นงานเทเลอร์ที่สมบูรณ์แบบโดยยังคงเอกลักษณ์ของห้องเสื้อกูตูร์

นอกจากนี้ยังมีความสัมพันธ์ที่คาดไม่ถึงระหว่างตัวศิลปินเองกับอาณาจักรดิออร์ นั่นก็คือความหลงใหลในลวดลายพันธุ์พฤกษาบนสิ่งทอของโบอาโฟ เฉกเช่นเดียวกับผู้ก่อตั้งห้องเสื้อนี้ก็หลงใหลในความงดงามสวนและมวลบุปผา บัญชรสีที่สดจ้าของโบอาโฟ ก็สามารถเป็นสีของดิออร์ ความเป็นฝรั่งเศส การนำมาซึ่งจักรวาลแห่งโอ๊ตกูตูร์สอดแทรกอยู่ในทุกลุค ลายขวางแบบทหารเรือ ลายโลโก้ Dior Oblique ปักบนผ้าโปร่งเนื้อบาง งานปักโดย Atelier Vermont ย้ำเตือนถึงชิ้นงานในกรุของดิออร์ หมวกเบเรต์แบบชาวบาสก์โดยสตีเฟ่น โจนส์   

ลุคโดยรวมก็ยังมีความเป็นคิม โจนส์ ไม่ว่าจะเป็นกางเกงขาสั้นที่สั้นมากเกินคืบลงมานิดหน่อยถ้าวัดจากขอบเอวแต่ตัดจากผ้าเทเลอร์อย่างดีทำจีบตรงแต่เท่ที่ผ้าคาดเอว(cummerbund)ที่ปกติจะใช้กับชุดทักซีโด้แต่มาจับคู่กับกางเกงขาสั้นทรงต่างๆ และเชิ้ตเนือ้ผ้าหรูหราเป็นตัวนอกส่วนตัวในคือเสื้อถักคอปีน เติมลุคด้วยหมวกเบเร่ต์ทรงชาวบาสก์และรองเท้าที่มีทั้งบู้ตและรองเท้าแตะรัดส้นแต่สวมถุงเท้าลาย Dior Oblique อีกลุคหนึ่งที่เด่นด้วยกางเกงขาสั้นแค่คืบเช่นกันแต่เป็นผ้าที่นิยมตัดสูททักซีโด้สีดำสวมเช็ตขาวทับเสื้อผ้าโปร่ง(tulle)ปักลาย Dior Oblique ทับด้วยผ้าคาดเอว ผูกผ้าพันคอขาวปล่อยชาย และมาพร้อมรองเท้าแตะรัดส้น  

เขาทวิสต์กับการแต่งกายเดิมๆ อย่างสปริงโค้ตผ้าเนื้อหนาสีดำสวมทับกางเกงขายาวทรงตรงที่มีจีบหน้าคมกริบแต่พับปลายขากางเกงเลยตาตุ่มเผยให้เห็นถุงเท้าลายโลโก้กับรองเท้าแตะรัดส้นเป็นการทวิสต์ที่นำความเนี้ยบโก้มาผ่อนให้ดูจับต้องได้ขึ้นและแฝงด้วยความเสียดสีนิดๆ หรืออย่างกางเกงขาสั้นที่ยาวเหนือเข่าเล็กน้อยตัวโคร่งแต่เนี้ยบด้วยเป็นแทพเทิร์นของกางเกงทักซีโด้ แต่ทำให้ดูกราฟฟิกด้วยเล่นสีขาวด้านหน้าบนตัวพื้นกางเกงสีดำ เสื้อผ้าโปร่งปักลาย Dior Oblique สีส้มปะการัง ทับด้วยผ้าคาดเอวลายขวางแถบสีขาวส้มและเหลือง เสริมลุคด้วยโค้ตสีดำตกแต่งแนวกระดุมเป็นแนวเฉียงคล้ายเสื้อคลุมทหาร ครบชุดกับหมวกทรงบาสก์และรองเท้าบู้ทสูง

แต่ที่จะไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือก็คือเสื้อที่มีภาพงานศิลปะแบบภาพเหมือนปรากฎอยู่บนตัวเสื้อด้านหน้าที่ใช้เทคนิคการพิมพ์และการทอขั้นสูง เพระาภาพที่ปรากฏนั้นมีความเป็นสามมิติของฝีแปรงและเก็บทุกรายละเอียดสีของงานศิปละของโบอาโฟ ได้อย่างน่าทึ่ง โดยลุคนี้ได้สร้างเลเยอร์ในการสวมใส่ด้วยเสื้อตัวในเป็นเสื้อลายขวางแบบ Marinière Stripes แต่ทอด้วยเทคนิคพิเศษที่เนื้อผ้ามีความหนาบางต่างกันในตัวลาย

การนำเสนอคอลเลกชั่นในครั้งนี้ไม่เพียงแต่เผยให้เห็นความผสมผสานระหว่างศิลปะและแฟชั่น หากเป็นการสนับสนุนศิลปินรุ่นใหม่ๆ เฉกเช่นที่เมอร์ซิเออร์ดิออร์ ได้เคยให้ความสำคัญกับสิ่งนี้ เสมือนมรดกตกทอดที่สืบมาในความเป็นดิออร์มาจนถึงทุกวันนี้ โดยดิออร์จะช่วยสนับสนุนศิลปินรุ่นใหม่ๆ ในกานาผ่านทางอาโมอาโก โบอาโฟ เพื่อจะได้มีพื้นที่สำหรับศิลปินเหล่านั้น

- Advertisement -