The Layers Unfold ต่อ-ธนภพ กับการเดินทางครั้งใหม่หลังจุดเปลี่ยนทางพุทธศาสนา

Share This Post

- Advertisement -

สิ่งที่เห็นนี้ไม่ใช่รอยยับ แต่คือชีวิตที่ซ้อนทับสลับเฉดตั้งแต่โทนมืดถึงสว่างอย่างตั้งใจในช่วงชีวิตตลอด 25 ปีของต่อ – ธนภพลีรัตนขจร จากบทวัยรุ่นเลือดร้อน สู่นักแบดมินตันออทิสติกที่หลายคนยังจดจำ L’Officiel Hommes นั่งคุยเพื่อหาจุดเปลี่ยนของชีวิต จากในอดีตที่มีความเลวเป็นเพื่อนยาก สู่เส้นทางใหม่ที่พระพุทธเจ้ายังต้องภูมิใจ

Thanapob Lee in Homme Plissé Issey Miyake Spring/Summer 2020

เบญจเพสที่ผ่านมาราบรื่นดีไหม ?
เป็นเบญจเพสที่ดีครับ ตอนแรกผมรู้สึกว่าเป็นคำน่ากลัวสำหรับผู้ชาย ถ้าชงก็ชงเรื่องเราเหนื่อยเพราะทำงานหนักมาก เดินทางเยอะมาก แต่ไม่มีเวลาไหนเลยที่รู้สึกไม่มีความสุข เหมือนกับทุกครั้งที่เราเจอเรื่องไม่ดีก็คลายออกได้ แค่นิ่งและมีสติ จังหวะเหมาะมาก หลังจากปิดกองละครเรื่อง ‘หัวใจศิลา’ ก็ตัดสินใจว่าบวชดีกว่า รู้สึกว่าถ้าไม่บวชตอนนั้นก็คงไม่ได้ชีวิตการทำงานที่แฮปปี้มากขึ้นกลับมา

กำลังบอกว่าการบวชเหมือนถูกจัดวางไว้แล้ว ?
ตอนนั้นกระแสละครดีมากๆ แต่ผมเทงานที่กำลังจะเข้ามาเพื่อบวช มีหลายคนที่พูดว่าไม่ฉลาด ทำไมไม่ลองรับก่อนแล้วค่อยบวช แต่ผมรู้สึกว่าเราต้องเห็นแก่เงินอีกนานไหม เพราะปัจจัยที่จะทำให้เกิดงานทั้งหมดคือนี่ (ชี้ไปที่ตัวเอง) เรามีตัวเองไว้ทำงาน อย่างน้อยเวลาที่กลับมายังมีตัวเอง ไปทำสิ่งที่อยากทำแล้วค่อยกลับมาเริ่มใหม่ก็ได้ ผมไม่ได้ต้องการแค่เงินและชื่อเสียงอย่างเดียว

Thanapob Lee in Homme Plissé Issey Miyake Spring/Summer 2020

เท่าที่รู้คือนี่ไม่ใช่การบวชครั้งแรก ?
จริงๆ ผมเริ่มเปลี่ยนไปครั้งแรกตอนบวชเณร ตอนอายุ 18 จุดเปลี่ยนผมจะมาตอนที่บวชทุกครั้งเลย ผมเชื่อว่าผมเป็นคนที่มักจะโชคดี เหมือนกับเราเลือกถูกจังหวะ ผมเป็นคนต่อต้านการบวชมาตลอดชีวิต แต่จุดที่ผมเลือกที่จะบวชดันไปอยู่ในช่วงที่ผมกำลังเปลี่ยนผ่านความคิด เริ่มโตขึ้นแล้ว ทำให้เราได้อยู่กับตัวเอง ได้กลับมาอยู่กับตัวเองมากขึ้น มองข้ามความเกเรที่เคยผ่านมา พอเรารู้จักตัวเองปุ๊บ เราก็เปลี่ยนตัวเองได้มากขึ้น

มันค่อยๆ เปลี่ยน หรือเปลี่ยนไปทีเดียว ?
มันยังไม่เปลี่ยนไปทันทีหลังจากที่บวช แต่มีพฤติกรรมหนึ่งที่ติดมา สิ่งที่หยุดทำไม่ได้จนถึงตอนนี้คือผมไม่สามารถนอนที่ไม่สวดมนต์ก่อนนอน หรือผมไม่สามารถออกจากบ้านโดยที่ไม่สวดมนต์ ถ้าตอนเย็นคือทำวัตร ตอนแรกเราก็ไม่รู้ว่าทำไปทำไม แค่รู้สึกตงิดใจว่าขาดอะไรไป อยู่ดีๆ ทุกคนก็เห็นธนภพคุกเข่าและสวดมนต์อยู่หิ้งพระกลางบ้าน (หัวเราะ) พอทำแล้วความรู้สึกเหมือนคำถามที่ผมคิดมาตลอดว่าเราติดอะไรมันหายไป เลยรู้สึกว่า ทุกครั้งที่เราติด เราก็จะทำ แต่มันไม่เป็นอย่างนั้น มันกลับทำทุกวันโดยอัตโนมัติ ทุกวันนี้ผมทำงานหนักมากถึงขนาดจะน็อก ผมก็ยังฝืนตัวเองสวดมนต์ คือผมยอมนอนน้อยกว่าคนอื่นได้ แต่ทำเพื่อความสบายใจ

Thanapob Lee in Homme Plissé Issey Miyake Spring/Summer 2020

ถ้าอย่างนั้นก่อนบวชเป็นคนแบบไหน โตมายังไง ?
ถ้าช่วงวัยรุ่นก็ซ่าสุดขีดน่ะครับ ซ่าในแบบที่เรียกว่าเกเรได้ในทุกรูปแบบที่มันควรจะเป็นได้ในเด็กอายุสิบกว่า แต่เหมือนพอยิ่งรู้จักตัวเองมากขึ้น เราลองย้อนไปไกลกว่านั้นว่าเด็กๆ แม่เราเลี้ยงมาดีมากเลย เราจำความได้ว่าเราเป็นเด็กน่ารัก เป็นเด็กที่ทุกคนอยากเข้าหา อยากเล่นด้วย ก็เลยรู้สึกว่ามันคงเป็นกรอบ เมื่อเราหลงผิด อาจเป็นความอยากอยู่รอดในสังคมชายล้วนที่ไม่อยากเป็นคนอ่อนแอแล้วโดนรังแก เหมือนกับขึ้นหลังเสือแล้วเราลงไม่ได้ ไหนๆ ก็ขึ้นแล้วจะไม่เป็นหัวเสือก็ยังไงอยู่ สุดท้ายผมเชื่อว่าถ้าพื้นฐานผมเป็นสีดำจริงๆ ผมจะไม่กลับมา เพราะผมก็เลยไปถึงจุดที่เรารู้ว่าถ้าไปต่อคืออะไร แต่เราเลือกที่จะหยุด เราไปถึงขนาดนั้นไม่ได้ ยุคนั้นผมสุ่มเสี่ยงมาก เห็นความเลวเป็นเรื่องธรรมชาติ แล้วสิ่งที่ผมรู้สึกดีมากกว่าคือเพื่อนผมทุกคนที่อยู่ด้วยกันวันนั้น วันนี้ทุกคนได้ดีหมด เราอาจจะหลงผิดทุกคน เราแค่อาจจะกลับตัวได้คนละเวลา แต่เรากลับมาอยู่ที่เดียวกัน

Thanapob Lee in Homme Plissé Issey Miyake Spring/Summer 2020

บวชครั้งแรกได้คนดีคนเดิมกลับมา แล้วบวชครั้งที่สองได้อะไร ?
ได้เครื่องมือในการทำงาน ผมไม่ได้สวดมนต์หรือนั่งสมาธิเพราะความงมงาย ผมเชื่อว่า ถ้าศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจคนไม่ได้ มันไม่อยู่มานานขนาดนี้หรอก ฉะนั้นผมไม่ค่อยเก็ตกับการที่ศาสนาค่อยๆ หายไป ไม่เข้าใจกับเด็กรุ่นใหม่ที่คิดว่าไม่มีศาสนาแล้วเท่ เฮ่ย ขอโทษเหอะ ใครบอกกัน ถ้าพูดในหลักวิทยาศาสตร์ การสวดมนต์ทำให้เกิดสมาธิ นิ่งโดยไม่รู้ตัว เอาความคิดที่ใช้มาทั้งวันออกไปก่อน พักสักหน่อย นั่งสมาธิต่อ จดจ่อและเอากลับมาอยู่กับตัวเอง นี่คืออาวุธลับนักแสดง ผมไม่เคยพูดประโยคนี้ที่หนังสือเล่มไหน สำหรับผมนักแสดงที่เก่งกว่าหรืออ่อนกว่าไม่มีหรอก สิ่งที่วัดกันก็คือสติและสมาธิใครมากกว่ากัน อารมณ์และความรู้สึกใครก็ทำให้มันจริงได้ แต่มั่นใจเหรอว่าสมาธิคุณเท่ากัน คุณโฮลด์มันได้นานขนาดนั้นจริงเหรอ มั่นใจเหรอว่าคุณสามารถรักษาอารมณ์นั้นได้นานจนกว่าผู้กำกับจะพอใจ อยู่ในกองเราคือเครื่องมือที่ให้ผู้กำกับหยิบจับ เราจะเป็นประแจกี่เบอร์ก็ได้ หรือจะเป็นประแจเบอร์เดียว คุณเลือกได้

7 ปีในวงการ เห็นพัฒนาการอะไรในตัวเองบ้าง ?
เอาตามตรงนะ ทุกวันนี้ผมยังไม่เข้าใจเลยว่า (นิ่งคิด) ที่คนพูดว่าผมมีพัฒนาการคืออะไร เพราะผมไม่เคยรู้สึกเลยว่าผมเปลี่ยน ต้องขอบคุณคนภายนอกมากกว่า เพราะทำให้ผมรู้ฟีดแบ็ก ถ้าอย่างน้อยมีคนรู้สึก แปลว่าเราก็ไม่ได้อยู่กับที่ หรือเราอาจจะมาถูกทางแล้วในสิ่งที่เราทำ

เป็นพวกเพอร์เฟ็กชันนิสต์ ?
แค่เคย แต่มันไม่ใช่เรื่องที่คิดว่าเราเพอร์เฟ็กต์ ไม่เกี่ยวกับตัวเราเลย มันเกี่ยวกับการทำงาน เกี่ยวกับการจัดการชีวิต เราอยากทำให้มันเป๊ะ เอาจริง ปัจจัยภายนอกมันทำอะไรผมไม่ได้ ไม่มีผลเลย ไม่ว่าจะข่าวหรืออะไรก็ตาม แต่สิ่งที่เป็นผลกับผมมากคือใจ ผมไม่ได้รับงานที่เข้ามาทั้งหมด ผมรับงานที่อยากทำ ผมจะอยากเห็นมันดีมากๆ โดยที่ไม่ได้คิดเลยว่าคนอื่นจะเห็นมันดีไหม เพราะรู้สึกว่าแคร์อะไรตรงนั้น ถ้าเรายังมองเห็นว่ามันไม่ดี คนอื่นไม่มีทางมองมันว่าดีได้เลย อาจจะเป็นเพราะผมโตมากับพี่ย้ง คุณภาพของงานเลยสูง เช่น ถ้าผู้กำกับบอกว่าผ่านแล้ว โอเคแล้ว เราก็จะรู้สึกกับคำว่า ‘โอเค’ พี่แค่โอเคเหรอ เราอยากเห็นเขารู้สึกมากกว่านั้นในทุกซีน ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ถ้าหนังทั้งเรื่องมันว้าวทุกอันมันก็เท่ากันหมด ตอนนั้นเราเด็ก เราไม่เข้าใจสิ่งนี้ เรากดดัน ผลักดัน สุดท้ายเราเครียดแบบไม่รู้ตัว ทุกวันนี้เราไม่เครียดแล้ว แต่ความจริงจังเราไม่ลด

แล้วอะไรคือเครื่องมือชี้วัดที่บอกว่าเราทำได้ดีแล้ว ?
ไม่มีครับ แม้แต่กระทั่งรางวัลนาฏราช 2 ปีซ้อนยังไม่ตอบอะไรผมเลย ผมไม่ได้รู้สึกว่าการได้รางวัลเท่ากับว่าเราเก่ง เพราะคนที่เข้าชิงกับเราเก่งกันทุกคน ความเก่งไม่มีหรอก คนเก่งจริงไม่มี นักแสดงเก่งไม่มีทางออกมาดีได้ถ้าเราขาดทีม ผมรักทีมทุกทีมที่ผมทำ ให้ใจจริงๆ ไม่ทิ้งใคร อยู่ในกองไม่มีใครเคยเจอผมที่เป็นดาราแน่นอน ใครเล่นไม่ได้ ไม่ใช่ความผิดเขา เราก็เคยมีวันที่เล่นไม่ได้ นายจะเล่นกี่เทก เราอยู่กับนาย เราจะอยู่จนกว่านายเล่นได้ดี

Thanapob Lee in Homme Plissé Issey Miyake Spring/Summer 2020

งั้นขอหนึ่งเรื่องที่คิดว่าตัวเองทำได้ดี ?
Side by Side ครับ แค่รู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่รู้ว่าจะได้กลับไปเล่นอีกไหม เป็นโปรเจ็กต์ที่ผมปลดล็อก เพราะก้าวข้ามไปเล่นบทที่ไม่รู้ว่าคนจะโอเคไหม จะถูกด่าไหมถ้าเล่นได้ไม่ดีพอ มันก้าวข้ามให้ผมรู้สึกว่าเราเจอแล้ว นี่คือสิ่งที่เราอยากทำ แล้วมันก็ผลักผมไปในทิศทางต่างๆ เราต้องยอมรับว่าวงการบันเทิงในเมืองไทยจะติดภาพอะไรเดิมๆ ทุกวันนี้ผมพยายามหนีจากการถูกจับไปอยู่ในคาแร็กเตอร์เดิม ผมคือต่อ ผมแค่เล่นจนสุดใจให้คนดูเชื่อว่าเราเป็นตัวละครนั้น แต่ผมไม่ต้องการให้เขามายึดติดผมกับบทใดบทหนึ่ง สิ่งที่รู้สึกคือ ถ้าผมเล่นออทิสติกอีกครั้ง มันมีความสุ่มเสี่ยงมากที่คนจะติดภาพว่าผมเป็นนักแสดงที่ชอบเล่นอะไรแบบนี้ ไม่ใช่แค่เล่นได้ การที่เล่นครั้งแรกมันจะตอบว่าเราเล่นได้ แต่ถ้าเราเล่นซ้ำมันจะเหมือนกับว่าเราเลือกคาแร็กเตอร์ของเราว่าเป็นนักแสดงประเภทนี้ ซึ่งเราไม่ปิดตัวเอง ผมเล่นสุดทุกครั้ง เพราะคิดว่าอาจจะไม่ได้กลับมาเล่นแบบนี้แล้วทั้งชีวิต จะไม่เสียใจทีหลัง

กับอีกบทบาทของการเป็นพี่ชายคนโตในโปรเจ็กต์ 9×9 เรียนรู้อะไรจากน้องๆ ทั้ง 8 คนบ้าง ?
ผมผ่านหลายจุดมาก ผ่านจุดที่อิจฉาทุกคน ทำไมไอซ์กับปอร์เช่เต้นเก่งจัง ทำไมแจ็คกี้ถึงร้องเพลงได้ดีมากแบบไม่ต้องซ้อมเลย แล้วเรามีอะไรดี ตอน 9×9 ผมนอยด์นะที่รู้สึกว่า (นิ่งคิด) เรามีแค่ความเป็นผู้นำ เรามีแค่แท็กติกในการลีดหรือการที่เราดึงความเชื่อคนได้ เราได้เรียนรู้ว่าไม่มีใครเพอร์เฟ็กต์ ให้คิดเอาไว้เลยว่าเรามีสิ่งที่ทำได้มากกว่าคนอื่น และมีสิ่งที่เราทำไม่ได้เหมือนคนอื่นเสมอ สิ่งที่เราถนัดมันแค่ต่างกัน 9×9 เป็นความทรงจำที่ดี เพราะไม่มีใครคิดว่าผมจะมาทำ ได้ผ่านกระบวนการของการเป็นศิลปิน รู้ตัวเองชัดขึ้น ผมชอบขึ้นคอนเสิร์ต ชอบร้องเพลง แต่ไม่ชอบเต้น ศิลปะของผมคือ emotional ทุกคนจะไม่ได้เห็นผมโชว์เต้น สิ่งที่ผมโชว์คืออินเนอร์ล้วนๆ ผมมีอารมณ์และความรู้สึกที่ไม่โกหก เราทั้ง 9 คนไม่มีใครอยู่กับที่ เราแค่เดินคนละทาง ทางของผมมันอาจจะไกลกว่าคนอื่นหน่อย

Thanapob Lee in Homme Plissé Issey Miyake Spring/Summer 2020

ปีนี้ของธนภพ ?
ผมรักงานทุกงานที่ทำอยู่ และจะเฝ้ารอมันอย่างใจจดใจจ่อ เพราะปีนี้งานไม่ได้เยอะ แต่เชื่อผม ผมทุ่มแบบที่ไม่เคยทุ่มมาก่อน ปีนี้จะมีเฉดใหม่ของธนภพที่คนจะคาดไม่ถึงว่าผมจะกระโดดไปไกลถึงขนาดนั้น

Photographer: Napat Gunkham

Fashion Editor: Apichade Mahikote 

Author: Pattarapong

- Advertisement -