Another Episode of Life

Share This Post

- Advertisement -

ในวันที่เจมมี่เจมส์ – ธีรดนย์ ศุภพันธุ์ภิญโญ มีนัดถ่ายปกเราในเสื้อผ้าคอลเลกชั่น pre-fall จาก Chanel นั้น เขาเพิ่งจะเดินทางกลับมาจากวันพักร้อนของเขาที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ชนิดที่แลนด์ปุ๊บ ตรงดิ่งมาที่กองปั๊บ แม้ว่าเจ้าตัวจะออกปากว่ายังรู้สึกเจ็ตแล็กอยู่ไม่น้อย แต่บรรยากาศในการถ่ายทำกลับเป็นไปอย่างไหลลื่นง่ายดาย ไม่มีร่องรอยความเหนื่อยหน่ายหรืองอแงให้ทีมงานหนักใจ ถือเป็นกองถ่ายที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความสนุกสนาน จบลงด้วยความประทับใจอย่างแท้จริง

บทบาทเปลี่ยนชีวิต

เมื่อห้าปีที่แล้วเจมมี่เจมส์เดินเข้าไปออดิชั่นนักแสดงซีรีส์ ‘Hormones วัยว้าวุ่น’ ซีซั่นที่สอง และแจ้งเกิดในวงการบันเทิงอย่างเป็นทางการในบท ‘ซัน’ จนได้รับบทต่อเนื่องมาจนถึงซีซั่นที่สาม “ก่อนอื่นเลยครับ ผมต้องขอบคุณทีมเขียนบทและผู้กำกับที่สามารถเขียนบทใดๆ ก็ตามที่ท้าทายมากๆ” เขาออกตัวทันทีที่เราถามว่าเข้าถึงบทบาทที่ตัวเองแสดงอย่างไร “แต่ละบทนั้นทำให้คนลืมภาพเดิมๆ ของเรา เราไม่ได้มีคาแร็กเตอร์ซ้ำเดิมไปเรื่อยๆ อันนี้ผมต้องขอบคุณทุกคนจริงๆ และส่วนตัวผม ผมเป็นคนที่สนุกกับการแสดงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอได้มีโอกาสผมก็ทำเต็มที่ ถ้าถามว่าบทบาทไหนที่เปลี่ยนตัวผมไปเลยในฐานะนักแสดง ผมคิดว่าคือบทของ ‘บู’ จากซีรีส์เรื่อง ‘SOS Skate ซึม ซ่าส์’ นี่ล่ะครับ เพราะบทของ ‘พัฒน์’ ใน ‘ฉลาดเกมส์โกง’ นั้นยังมีความคล้ายกับซันอยู่ค่อนข้างมาก

“ตอนนั้นผมรู้เลยว่าการรับบทนี้คือความท้าทายจริงๆ ของผมเลยนะครับ” เขาพูดต่อด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ไร้ร่องรอยของอาการเจ็ตแล็ก “เพราะถ้าเล่นเรื่องนี้แล้วผมทำไม่ได้ พลิกบทบาทตัวเองไม่ได้จริงๆ ผมก็จะเป็นแค่นักแสดงวัยรุ่นที่มีโอกาสเข้าวงการบันเทิงแล้วโชคดีได้งานต่อไปเรื่อยๆ เท่านั้น ผมว่ามันไม่ใช่ ผมรู้สึกว่าต้องทุ่มเทกับบทนี้ให้เต็มที่ที่สุด อยู่กับมันให้ได้มากที่สุด เลยพยายามทำการบ้าน ทำความเข้าใจบทให้ได้มากที่สุด เปิดงานของนักแสดงเก่งๆ ดูนักแสดงฮอลลีวูดเยอะๆ ว่าเขาทำอย่างไร ก็ค่อยๆ เรียนรู้ไป เรียนเพิ่มเติม เวิร์กช็อปเพิ่ม ตั้งใจมากๆ เลยครับ”

เมื่อเราถามว่าเขามีนักแสดงคนไหนเป็นไอดอล เจมมี่เจมส์ตอบทันควันแบบไม่หยุดคิด “Benedict Cumberbatch ครับ จริงๆ Leonardo DiCaprio ก็ชอบนะครับ” เขาทำท่าเปลี่ยนใจ “แต่ไม่ครับ… ชอบเบเนดิกต์มากกว่า ชอบการแสดงของเขาจริงๆ นะครับ เขาเปลี่ยนสำเนียงได้เลย บางเรื่องถึงขั้นจำไม่ได้ว่านี่คือเขา ทั้งๆ ที่หน้าตาเป็นเอกลักษณ์ขนาดนั้น ผมนี่ถึงขั้นแบบว่า… ทำได้ไง อย่าง The Imitation Game กับ Sherlock เป็นสองเรื่องที่ผมชอบมากเลยครับ รู้สึกว่าอยากแสดงให้เก่งได้แบบนั้นครับ”

ตัวตนกับบทบาท

“ตัวละครไหนเหรอครับ” เจมมี่เจมส์ทำหน้าลำบากใจเมื่อเราถามว่าเขารู้สึกผูกพันรักใคร่กับตัวละครใดที่เขารับบทบาทมากที่สุด “ยากมากเลยนะครับคำถามนี้… รู้แล้ว… ผมชอบพัฒน์ครับ ผมว่าเขาคล้ายกับผมในบางแง่ คือส่วนตัวผมจะชอบตัวละครที่มีความ bossy ขี้สั่งในตัวเองน่ะครับ อย่างตัวเอกในเรื่อง The Great Gatsby หรือ The Wolf of Wall Street นี่ล่ะครับ เขามีความบ้าอะไรบางอย่างที่ตรงกับเทสต์ของผม อ้อ… ผมชอบคนที่สามารถดึงความสนใจของคนหมู่มากมาที่ตัวเองได้อย่าง Steve Jobs ด้วยนะครับ พอได้รับบทเป็นคนลักษณะนั้นเวลาแสดงผมก็สนุกกับมัน กลายเป็นบทที่ผมชอบที่สุดไปเลยล่ะครับ”

ในเมื่อออกตัวแรงว่าชอบ ‘ความบอสซี่’ ในตัวละครบางตัว เราจึงอดถามไม่ได้ว่าคุณลักษณะนี้ทำให้เขากลายเป็น ‘หัวหน้า’ วง 9×9 ใช่หรือไม่ “ไม่เกี่ยวเลยครับ” เขาหัวเราะ “มันเกิดจากการโหวตครับ คือในพวกเราเก้าคนน่ะผมเป็นคนที่พูดตรงที่สุด ตอนที่เราเจอกันวันแรกมีการคุยกันว่าพวกเราต้องสนิทกัน เพราะคงจะอยู่ด้วยกันไปอีกนาน มีอะไรให้พูดกันตรงๆ และผมเป็นคนที่เปิดเผย กล้าพูดอะไรกับผู้ใหญ่มากที่สุด เพื่อนๆ เลยโหวตให้ผมเป็นหัวหน้าวง ผมรู้สึกดีใจนะที่พวกเขาไว้วางใจผม ไม่ได้รู้สึกหนักใจอะไร เพราะการเป็นหัวหน้าวงคือการรับหน้าที่สื่อสาร ส่งสาร หรือตามงานกับเพื่อนๆ เท่านั้นเอง มันไม่ใช่หน้าที่ที่ใหญ่หลวงอะไร แต่การที่พวกเขาไว้ใจผมพอที่จะมอบหน้าที่นี้ให้ เป็นความรู้สึกที่ดีมากครับ”

ชื่อเสียงเปลี่ยนชีวิต

“เป็นที่รู้จักครั้งแรกก็จากฮอร์โมนนี่ล่ะครับ แต่เอาจริงๆ การแสดงภาพยนตร์หรือซีรีส์แต่ละเรื่องก็จะได้แฟนกลุ่มต่างๆ กันเพิ่มขึ้นทีละหน่อย ความรู้สึกที่จำได้หลังจากเล่นเรื่อง SOS ก็คือเริ่มมีคนชมว่าเราเล่นเก่ง เป็นความรู้สึกใหม่มากเลยนะครับตอนนั้น” เขาหัวเราะ “แต่เอาจริงๆ เรื่องที่ทำให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างก็ ‘เลือดข้นคนจาง’ นี่ล่ะครับ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เล่นอะไรแมสๆ ขนาดนั้น

“ชีวิตเปลี่ยนมาเรื่อยๆ เลยครับ เมื่อก่อนผมเน้นเรื่องเรียน แต่ตอนนี้ผมเอางานเป็นหลักเลยครับ เพราะผมมั่นใจแล้วว่านี่คืออาชีพของผม ผมจัดการชีวิตตัวเองอย่างละเอียดมากขึ้น นี่ไม่ใช่การทำเพื่อความสนุกอย่างเดียวแล้ว ผมวางแผนชัดเจนว่าปีนี้-ปีหน้าจะทำอะไร” เจมมี่เจมส์แอบกลั้นหาวเล็กน้อย แต่ยังไม่แสดงอาการเหนื่อยล้าออกมาให้เห็น “สำหรับผม ผมแสดงเพราะ ‘อยาก’ แสดง ไม่ใช่แสดงเพราะ ‘ต้อง’ แสดงเอากระแสไว้ ผมไม่ใช่แบบนั้น ผมมาถึงจุดที่ผมไม่สนใจกระแส แต่ผมสนใจบทนั้นๆ คือถ้าสนใจบทไหนผมจะเดินเข้าไปขอเขาแคสต์ทันทีเลย ดังนั้นผมว่าผมจะไม่มีวันทิ้งการแสดงหรอก แต่ถ้าถามจริงๆ ผมอยากทำเพลงครับ เพราะผมชอบความรู้สึกตอนที่ขึ้นสเตจกับ 9×9 มันเป็นความรู้สึกว่า ‘นี่แหละคือชีวิตของผม’ อะไรแบบนั้น” เขาหัวเราะเสียงใส

ออกเดินทางเพื่อค้นพบตัวเอง

“ทริปไปอเมริกาครั้งนี้ผมตั้งใจให้เป็นทริปที่ผมได้พักผ่อนจริงๆ เลยครับ แบบไม่คิดอะไรทั้งสิ้นเลย” เจมมี่เจมส์กลับมากระตือรือร้นอีกครั้งเมื่อได้พูดถึงเรื่องนี้ “แต่กลายเป็นว่าเป็นทริปที่ผมได้ค้นพบตัวเองจริงๆ ผมไป Coachella มา ได้เห็นศิลปินระดับโลกมากมาย ผมรู้สึกว่า… ยังไงดี… เหมือนที่โรเซ่ (สมาชิกวง Blackpink) พูดบนเวทีประมาณว่า พวกเรามาที่อเมริกา วัฒนธรรมแตกต่างกัน ไม่เข้าใจกัน แต่เพราะบทเพลงทำให้พวกเรามาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ มันเป็นสิ่งที่สุดยอดจริงๆ นั่นทำให้ผมรู้สึกว่าอยากจะเพอร์ฟอร์มแบบนั้น อยากขึ้นไปบนเวทีแบบนั้นบ้าง เรียกได้ว่าผมตั้งใจจะกลับมาทุ่มเทกับมันอย่างจริงจังเลยครับ

“ผมรู้ตัวว่าผมไม่ใช่คนเก่งตั้งแต่วันแรก แต่ผมเป็นคนหัวดื้อ ไม่ยอมแพ้ ชอบเอาชนะ” เขาจ้องตาเราเผง “พออยากจะเอาชนะ ผมก็ทำทุกอย่างเพื่อที่จะชนะให้ได้ครับ ผมอยากทำสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่มีในประเทศไทย อยากสร้างมาตรฐานใหม่ อะไรสักอย่าง อะไรก็ได้ ลึกๆ ผมรู้สึกว่าผมอยากจะเป็นที่หนึ่งอยู่ หัวดื้อใช่ปะ (หัวเราะ) ในทุกวันผมอยากจะขึ้นไปสูงกว่าในจุดที่ตัวเองยืนอยู่ครับ ถามว่าเหนื่อยไหม เหนื่อยครับแต่จะให้ผมหยุดคิดแบบนั้นแล้วรับอีเวนต์ไปเรื่อยๆ เล่นละครอะไรก็ได้เลี้ยงกระแสไปเรื่อยๆ ผมก็ไม่เอานะครับ ไม่เอาเลย แบบนั้นมันไม่ใช่ผมจริงๆ ครับ”

ก่อนจะปล่อยเขาไปแต่งหน้าเตรียมตัวถ่ายแบบให้เรา เราถามเขาว่าคอมเมนต์ต่างๆ นานาที่ปรากฏบนโลกออนไลน์มีผลกับเขามากแค่ไหน “ตอนแรกผมคิดว่ามันไม่มีผลนะ แต่จริงๆ แล้วมันมีเยอะเลยแหละ” เขาหัวเราะ “ผมเป็นคนเซนซิทีฟ มองเฉยๆ อาจจะมองไม่ออก แต่ผมคิดมากทั้งจากคำพูดคนอื่นและสถานการณ์รอบตัว อธิบายยังไงดี… ผมรู้ตัวนะว่าผมอยู่ตรงไหน และคำชม-คำติต่างๆ นั้นมันมากไปหรือน้อยไป อย่างเมื่อก่อน… คนเกลียดผมเยอะมากจริงๆ ครับ เรียกได้ว่าเกลียดขี้หน้าทั้งประเทศ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราแสดงมากขึ้น มีคอมเมนต์ที่บอกว่าไม่เคยชอบผมมาก่อน จนกระทั่งเห็นผลงานบางอย่างของผม ซึ่งนั่นทำให้ผมรู้เลยว่าความสามารถและผลงานของเรามันซื้อใจคนได้จริงๆ ดังนั้น ผมต้องทำผลงานตัวเองให้ดีกว่านี้ เพื่อจะซื้อใจคนให้ได้เยอะกว่านี้ เท่านั้นเองครับ”

แล้วคุณล่ะเป็นหนึ่งในคนที่เจมมี่เจมส์ซื้อใจได้หรือยัง?

Another Episode of Life
Author: Pacharee Klinchoo
Photographer: Naphat Gunkham
Stylist: Pitipong Pongdam

- Advertisement -