The Visual Silence in the Dark Room

Share This Post

- Advertisement -

สัมผัสความเงียบ เส้นสายและแสงสีที่ถูกลดทอน ผ่านสายตาของ Renato D’Agostin ในงานนิทรรศการ Metropolis Leica Gallery Bangkok เพื่อปรับความเข้าใจในการรับรู้เสียงแห่งความจริงในชีวิตของคุณขึ้นไปอีกขั้น

จากบ้านเกิดในเมืองเล็กๆ ไม่ห่างจากกรุงเวนิซ ประเทศอิตาลี เรนาโต ดาโกสติน ได้เดินทางไปเก็บประสบการณ์การเป็นผู้ช่วยช่างภาพกับ Alfredo Sabbatini ที่กรุงมิลานอยู่ได้สักพัก ก่อนจะตัดสินใจบินข้ามทะเลไปเป็นลูกมือของ Ralph Gibson ที่กรุงนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา อยู่กว่าสิบสามปี ในวันที่เขามาจัดแสดงนิทรรศการ Metropolis ที่ Leica Gallery Bangkok นั้น ข้าวของกว่าครึ่งชีวิตของเขากำลังลอยเรือกลับไปยังประเทศอิตาลี ที่ที่เขาเพิ่งจะได้โกดังเก่าไม่ไกลจากเมืองเวนิซนำมาทำเป็นสตูดิโอทำงาน และเริ่มต้นอาชีพช่างภาพในประเทศบ้านเกิดอีกครั้งหนึ่ง

เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเองครับที่ผมตัดสินใจย้ายกลับไปที่อิตาลี ส่วนหนึ่งเพราะผมเพิ่งสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับแกลเลอรีสามสี่แห่งที่นั่น และอีกส่วนหนึ่งคือเมื่อหลายปีที่ผ่านมานี้ผมคิดถึงทวีปยุโรปขึ้นมากะทันหัน ประจวบกับที่ผมเพิ่งเจอโกดังเปล่าชานเมืองเวนิซ สามารถเซ็ตอัพเป็นสตูดิโอจริงจังได้ เลยคิดว่าถึงเวลาที่จะย้ายกลับไปแล้ว ซึ่งปีถัดๆ ไปผมก็จะมีโปรเจ็กต์และนิทรรศการในทวีปยุโรป ทั้งกรุงปารีสและที่อื่นๆ คงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะพอดีน่ะครับ ครั้งแรกที่เรนาโตเหยียบแผ่นดินนิวยอร์ก เมืองแห่งโอกาสนั้น เขามีอายุได้เพียง 22 ปีเท่านั้น อาชีพแรกที่เขาทำเพื่อหาเงินค่าเช่าห้องได้แก่การรับจ้างจูงหมาเดินเล่นผมเลือกมาที่กรุงนิวยอร์กเพราะพวกเขาเปิดโอกาสให้กับผมมากกว่า

ตอนที่ผมเอาโปรเจ็กต์ไปเสนอราล์ฟ (กิบสันช่างภาพที่เขาเป็นผู้ช่วยอยู่นาน) เขาไม่สนใจเลยว่าผมอายุเท่าไหร่ ดังนั้นข้อเท็จจริงที่ว่างานผมสำคัญกว่าปัจจัยอื่นใดจึงทำให้ผมตัดสินใจอยู่ที่นี่ เป็นผู้ช่วยราล์ฟไปเรื่อยๆ ทำโปรเจ็กต์ของตัวเอง จนกระทั่งได้มาเปิดสตูฯ ของตัวเองนี่ล่ะครับ นิวยอร์กเป็นเมืองที่ให้โอกาสผมจริงๆ ในตอนนี้เพียงแค่ถึงเวลาต้องขยับขยายเท่านั้นเองครับเรนาโตเดินพาเราชมภาพถ่ายจากหลากหลายโปรเจ็กต์ส่วนตัวของเขาที่คัดเลือกมาแสดงในนิทรรศการ Metropolis ครั้งนี้ ในระหว่างที่เขาบรรยายเบื้องหลังแนวคิดและกระบวนการที่ซ่อนอยู่ในแต่ละภาพนั้นเราสัมผัสได้ถึงแรงหลงใหลและความตั้งใจจริงของเขาที่ถ่ายทอดออกมาได้อย่างชัดเจน

ภาพที่นำมาแสดงนี้มาจากโปรเจ็กต์หลากหลายของผมครับเขาเริ่มเล่าล่าสุดก็โปรเจ็กต์ ‘7439’ ซึ่งก็คือจำนวนไมล์ที่ผมขี่มอเตอร์ไซค์จากกรุงนิวยอร์กไปแคลิฟอร์เนียและเก็บภาพถ่ายระหว่างทางมาน่ะครับ ตอนที่ตัดสินใจทำโปรเจ็กต์นี้ผมแค่พยายามทำความเข้าใจสิ่งต่างๆ รอบตัอธิบายยังไงดีนะตัวผมงานของผมน่ะ ผมไม่ใช่คนที่จะสื่อสารอะไรออกมาตรงๆ ในหัวข้อหนักๆ อย่างการเมืองหรือสังคม แต่สิ่งที่ผมพยายามจะสื่อสารคืออะไรบางอย่างที่อยู่ในพื้นที่นั้น ตรงนั้น มันต้องปรากฏอยู่ในงานของผม ผมอาศัยอยู่ที่กรุงนิวยอร์กก็จริง แต่นั่นมันเป็นแค่ส่วนหนึ่งของอเมริกา แอลเอก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง การเดินทางข้ามประเทศก็เป็นอีกประสบการณ์หนึ่ง และการถ่ายทอดสิ่งที่เห็น ความรู้สึกที่ได้ และอะไรบางอย่างออกมาในระหว่างการเดินทางนั้น แต่ไม่ใช่สื่อสารออกมาตรงๆ แบบวิพากษ์วิจารณ์ เป็นเรื่องที่ท้าทาย มากๆ เลยครับ” 

ระยะเวลาสองเดือนกับระยะทางทั้งหมด 7,439 ไมล์ (หรือประมาณ 12,000 กิโลเมตร) เรนาโตยอมรับว่าเขาเปลี่ยนแปลงไปไม่ทางใดก็ทางหนึ่งการเดินทางครั้งนี้เป็นการสร้างแรงบันดาลใจครั้งสำคัญให้ผมครับ เพราะมันคือการผลักดันตัวเองให้ก้าวไปอีกขั้นหนึ่ง การเดินทางบนมอเตอร์ไซค์เปิดโอกาสให้คุณได้สัมผัสสภาพบรรยากาศรอบตัวได้เต็มที่ ตอนที่คุณเดินทางผ่าน Death Valley ผิวหนังคุณสัมผัสความร้อนระอุของอากาศ ได้เข้าใกล้ความตายในหุบเขานั้น จังหวะที่คุณแทบจะยืนไม่ได้ ไม่มีแอร์เย็นๆ ในรถให้หลบไอร้อน หรือตอนที่ฝนตกหนักที่รัฐอาลาบามา คุณแทบจะสัมผัสความบาดคมของเม็ดฝนบนเนื้อตัวคุณได้เล มันคือประสบการณ์ที่แตกต่าง และโปรเจ็กต์นี้ก็ไม่ต่างจากโปรเจ็กต์อื่นๆ ที่ผมทำ คือผมพยายามผลักดันตัวเองให้ก้าวไปถึงอีกจุดหนึ่ง จุดที่ร่างกายเริ่มจะเกินขีดจำกัด ไม่สบายตัว และไม่สามารถทำงานได้เต็มที่ และในจังหวะนั้นจิตใจคุณจะว่างเปล่าและจดจ่อกับงานตรงหน้าได้อย่างเต็มที่ นั่นเป็นจังหวะที่คุณจะกดชัตเตอร์ด้วยแววตาที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

เรนาโตออกตัวว่าไม่ได้ต่อต้านกระบวนการถ่ายภาพแบบดิจิตอล เพียงแต่มันไม่ใช่สิ่งที่เขาหลงใหลเท่านั้นช่างภาพทุกคนก็ควรจะเลือกใช้อุปกรณ์ที่สามารถถ่ายทอดผลงานของตัวเองออกมาให้ดีที่สุดใช่ไหมล่ะครับเขายักไหล่ สำหรับผมแล้วการได้เดินเข้าห้องมืดถือเป็นกระบวนการอันศักดิ์สิทธิ์ที่นำมาซึ่งผลลัพธ์สุดท้ายที่ผมพอใจ ซึ่งผลลัพธ์นี้ไม่เกี่ยวกับคุณภาพของภาพโดยรวมนะครับ อย่างที่รู้กันว่าเทคโนโลยีดิจิตอลก้าวล้ำไปไกลมากแล้ว แต่ผมไม่สนมันไงครับ ผมเคารพวัสดุต่างๆ ในห้องอัดในกระบวนการล้างฟิล์ม ยกตัวอย่างเช่นการให้แสง ทั้งในจังหวะปล่อยชัตเตอร์ให้แสงตกกระทบฟิล์ม และจังหวะที่ปล่อยแสงลงบนกระดาษในห้องอัด ถ้าพลาดไปนิดเดียวก็จะผิดไปเลย นี่คือกระบวนการเชื่อมโยงตัวเองของผมกับงานน่ะครับ ในงานดิจิตอลนั้นการควบคุมแบบนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคุณ แต่ขึ้นอยู่กับคอมพิวเตอร์และปัจจัยภายนอกอื่นๆ มากมายเหลือเกิน ผมก็แค่ไม่ถนัดเท่านั้นเอง

หลังจากอธิบายกระบวนการมายาวเหยียด เราก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเขาพึงพอใจหรือหลงใหลกับผลงานที่เขาทะนุถนอมสักแค่ไหนกันเชียวผมตอบไม่ได้หรอกครับว่ามันออกมาดีแค่ไหนเขายักไหล่นั่นเป็นสิ่งที่ผู้ชมจะเป็นคนตัดสินน่ะครับ ผมรู้เพียงว่าทุกคืนที่ล้างฟิล์มในห้องน้ำของโรงแรมผมได้เห็นสิ่งที่ผมได้ถ่ายไปในตอนนั้น ผมรู้ว่าตากล้องดิจิตอลจะเห็นงานของตัวเองทันที แต่ผมไม่ใช่แบบนั้น ผมยังอยากเห็นกระบวนการคอนโทรลต่างๆ ในการล้างอัด ซึ่งเป็นกระบวนการที่สำคัญในตอนจบของแต่ละวัน ดังนั้นทุกครั้งที่เห็นผลลัพธ์ของวันก่อนหน้า ถ้าผมรู้สึกว่ามันยังไม่พอ ขาดอะไรไปสักอย่าง ผมก็เลือกที่จะอ้อยอิ่งอยู่แถวนั้นอีกสักนิด จนกว่าผมจะโอเคกับภาพโดยรวมของหนังสือทั้งเล่มในหัว ผมถึงออกเดินทางต่อ เอาเป็นว่าผมตื่นเต้นกับสิ่งที่ผมจับและถ่ายทอดออกมาน่ะครับ ตอบไม่ได้จริงๆ ว่างานมันดีแค่ไหน

เรายิ้มเมื่อได้ยินคำตอบ และพยายามอธิบายว่าเอเลเมนต์บางประการในรูปถ่ายของเขานั้นสามารถดึงดูดเราให้เข้าไปในภาพได้จริงๆ ไม่ว่าเราจะเข้าใจสารดังกล่าวหรือไม่ แต่เรารู้สึกได้ว่าภาพของเขานั้นสั่นสะเทือนความรู้สึกเราได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เราอยากรู้ว่าความรู้สึกนี้คือสิ่งที่เขาจงใจทำให้มันเกิดขึ้นหรือเปล่า เขาดูจะตัดสินใจอะไรบางอย่าง ก่อนจะจบบทสนทนากับเราด้วยอาการนิ่งเฉยเหมือนเดิมคุณคงเห็นว่างานส่วนใหญ่ของผมจะเป็นงานเกี่ยวกับภูมิประเทศ แต่สำหรับผมคำว่าแลนด์สเคปไม่ได้หมายถึงเมือง ภูเขา หรือต้นไม้เท่านั้น มันคือการนำสภาพภูมิประเทศมาลดทอนอะไรบางประการออก ให้เปลี่ยนความหมายไปในรูปแบบที่ผมเห็น คุณคงพอจะเข้าใจว่าเวลาเรามองภาพถ่าย สิ่งที่เราได้เห็น หรือเรียกว่าได้ยินก็ได้นะครับ คือความเงียบ มันคือ ‘visual silence’ หรือความเงียบที่มองเห็นได้ ซึ่งขัดแย้งกับภูมิประเทศที่มันถูกถ่ายมา มันต้องมีเสียงอยู่แล้ว และในสภาพแวดล้อมที่รายล้อมภาพเหล่านั้นอยู่ก็มีเสียงดัง มันคือสิ่งที่เราคุ้นชินจนเป็นปกติ ดังนั้นเวลาผมมองภาพตัวเอง หรืองานอาร์ตอื่นๆ ที่ผมชอบ ผมจะพยายามหาจังหวะการหายใจใหม่ๆ ที่นำพาซึ่งความเงียบนั้น พยายามลดทอนความเป็นจริงให้อยู่ในระดับที่สบายตัว ให้ภาพหนึ่งเหลือเพียงเส้นตั้ง เส้นนอน เส้นตัดที่พาดผ่าน และเหลือเพียงเสียงเงียบที่สื่อความหมายอะไรบางประการ คุณเข้าใจผมไหมครับภาพของผมจึงเป็นการลดทอนรายละเอียดต่างๆ ที่รกรุงรังจากโลกความเป็นจริงให้เหลือเพียงเสียงเงียบและความหมายบางประการที่สามารถสื่อสารระหว่างตัวภาพกับผู้ชมได้ ผมหวังว่าจะสามารถสร้างสรรค์ความรู้สึกต่างๆ เหล่านี้ให้คนดูงานของผมได้ หรือถ้าไม่ได้ อย่างน้อยที่สุดก็ตัวผมเองล่ะครับที่อยากจะสื่อสารกับภาพของตัวเองให้ได้อย่างนั้นเขาทิ้งท้าย แต่เราเชื่อว่าในวินาทีที่เราเดินดูงานของเขาในแกลเลอรีขนาดกะทัดรัดนี้ เราและเขาต่างสื่อสารกันผ่านความเงียบได้ไม่มากก็น้อย

- Advertisement -