หากพูดถึงวงการดนตรี มีวงดนตรีหลายวงที่โด่งดังขึ้นมาและสร้างชื่อเสียงได้สำเร็จ แต่ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยอะไรก็ตาม เช่น อุบัติเหตุ ความขัดแย้ง หรือความตาย ที่วงเหล่านั้นต้องเผชิญในระหว่างที่กำลังอยู่ลมบน ล้วนเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้วงหรือศิลปินเหล่านั้นต้องยุติบทบาทลงอย่างน่าเสียดาย หากย่อหน้าที่แล้วกล่าวว่า เราไม่สามารถพิสูจน์เรื่องตายแล้วไปไหน แต่ที่แน่ๆ เราสามารถบอกคุณได้ว่า วงที่เจอกับจุดจบแต่ละวงนั้นสามารถพลิกกลับมา ‘เกิดใหม่’ กันได้ในทิศทางไหนบ้าง
Author: Chaya Chomchuen
Photographer: Virunan Chiddaycha
ตายแล้วเกิดใหม่
เมื่อวงดนตรีที่มีชื่อเสียงถูกยุบ ทางเลือกยอดนิยมของสมาชิกที่เหลือคือการไปทำวงใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่รุ่ง เนื่องจากแฟนเพลงมักติดภาพของวงเก่า มีหลายวงที่ต้องเผชิญโศกนาฏกรรมที่ส่งผลให้วงจำเป็นต้องเผชิญจุดจบ กรณีที่เห็นได้ชัดคือ การฆ่าตัวตายของ Kurt Cobain นักร้องนำวง Nirvana ก่อนอื่นต้องเกริ่นกันก่อนว่า ด้วยความที่เคิร์ตเป็นนักแต่งเพลงและนักร้องนำ รวมถึงเป็นไอคอนแห่งยุคสมัย เขาจึงเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของ Nirvana ที่ขาดมิได้ ดังนั้นการฆ่าตัวตายของเขาจึงเปรียบเสมือนจุดจบของ Nirvana ไปโดยปริยาย อย่างไรก็ตามการสิ้นสุดของ Nirvana กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นครั้งใหม่ของวงที่มีชื่อว่า Foo Fighters วงที่ถูกสร้างขึ้นใหม่โดย Dave Grohl อดีตมือกลองของ Nirvana ผู้ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา เขาเลือกที่จะทำอีกวง แทนที่จะทิ้งชื่อไปกับ Nirvana ปัจจุบัน Foo Fighters ถูกขนานนามว่าเป็นหนึ่งในวงร็อกที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก เดฟและผองเพื่อนสามารถคว้ารางวัลแกรมมี ขึ้นเป็นเฮดไลน์เฟสติวัลระดับโลกอย่าง Glastonbury รวมถึงมีเพลงฮิตประจำตัวอย่าง Everlong, Walk และ Best Of You ทุกอย่างล้วนเป็นข้อพิสูจน์ชั้นดีในฐานะวงร็อกชั้นนำของวงการ มันอาจเป็นเรื่องปกติ หากวงเก่าต้องยุบลง แล้วสมาชิกที่เหลือไปฟอร์มวงใหม่ แต่จะมีใครสักคนแบบเดฟที่กล้าสร้างเส้นทางของตัวเอง แล้วสามารถประสบความสำเร็จท่วมท้น จนศักดิ์ศรีและบารีมีเกือบสูสีเท่ากับวงเก่า การสร้างตำนานบทใหม่ของ Foo Fighters จึงถูกเรียกว่าการตายแล้วเกิดใหม่ราวกับนกฟินิกซ์ ที่ยังคงผงาดความยิ่งใหญ่มาจนถึงทุกวันนี้
ตายแล้วตายเลย
หากคุณฟอร์มวงดนตรีแล้วล้มเหลว อย่างน้อยสมาชิกที่เหลือก็ยังมีทางเลือกในการทำวงใหม่ แต่ถ้าหากเป็นศิลปินเดี่ยวแล้วต้องยุติบทบาท ยิ่งถ้าเผชิญสถานการณ์ร้ายแรงอย่างการเสียชีวิต นั่นก็หมายความว่า ชื่อเสียงของศิลปินรายนั้นๆ มาถึงจุดจบเพียงแค่นี้ อย่างเช่นในกรณีของ Amy Winehouse, Jimi Hendrix และ Avicii ที่ล้วนเสียชีวิตก่อนวัยอันควร และไม่สามารถมีโอกาสสร้างเส้นทางในฐานะศิลปินอีกต่อไป ในขณะวงดนตรีก็เจอสถานะนี้เช่นกัน อย่างเช่น การปิดตำนานของยอดวงระดับตำนาน Led Zeppelin วงร็อกอังกฤษระดับตำนานเจ้าของบทเพลง Stairway To Heaven ที่ยุติบทบาทลงเนื่องจากการเสียชีวิตของ John Bonham มือกลองของวง หลายคนอาจสงสัยว่า มือกลองไม่ใช่สัญลักษณ์สำคัญของวงเสียหน่อย ทำไมสมาชิกคนอื่นๆ ถึงไม่เดินหน้าต่อ ไม่ใช่มาหยุดเดินเพราะมือกลองคนเดียว เพราะวงสายเมทัลอย่าง Avenged Sevenfold ก็ให้มือกลองคนใหม่มาแทนคนเก่าที่เสียชีวิต ซึ่งวงก็สามารถผลิตงานต่อได้ ซึ่งในหลักทฤษฎีแล้ว Led Zeppelin ก็ทำผลงานเพลงต่อได้ แต่วงยินกรานว่าไม่อยากไปต่อ ด้วยเหตุผลสั้นๆ แต่หนักแน่น โดยวงบอกว่าหากไม่มีจอห์น บอนแฮม ก็ไม่ใช่ Led Zeppelin เท่านี้ก็เป็นเหตุผลที่เพียงพ่อต่อการยุติบทบาท ถึงแม้การยุติบทบาทก่อนเวลาอันควรของ Led Zeppelin อาจเป็นเรื่องนี่น่าเสียดายที่สุดของประศาสตร์ดนตรี แต่อย่างน้อย Led Zeppelin ก็ฝากผลงานชิ้นโบแดงประดับโลกไว้มากมาย เพื่อให้ผู้คนจดจำในแบบที่พวกเขาอยากให้จดจำ
เกือบตายแต่อยู่รอดอย่างสมศักดิ์ศรี
จากที่ยกตัวอย่างด้านบนหลังจากที่วงดนตรีเหล่านั้นยุบตัวลงไปบ้างก็ฟอร์มวงใหม่จนประสบความสำเร็จบ้างก็เลือกให้จบลงเหลือแค่เพียงตำนานคงมีหลายคนสงสัยว่ามีวงไหนบ้างที่นักร้องลาออกจากวงไปหรือเสียชีวิตแล้วมีคนใหม่ขึ้นมาแทนแล้วกลับทำได้ดีกว่าหรือเทียบเท่าเคสนี้ต้องยกให้วงฮาร์ดร็อกชื่อดังอย่าง AC/DC เจ้าของบทเพลง Back In Black หนึ่งในเพลงร็อกที่ยอดเยี่ยมตลอดกาล รวมถึงยังเป็นเพลงที่ถูกใช้ในภาพยนตร์ชื่อดังมากมาย โดยเรื่องมีอยู่ว่า AC/DC เคยมีนักร้องคนหนึ่งที่ชื่อว่า Bon Scott ผู้มีเสียงร้องแผดเกรี้ยวกราดยากที่จะมีใครลอกเลียนแบบ รวมถึงเป็นฟรอนต์แมนที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น แต่แล้วโศกนาฏกรรมก็เกิดขึ้นกับ AC/DC เมื่อบอนต้องจากโลกไปก่อนวัยอันควรด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง การสูญเสียบอนเปรียบได้กับการสูญเสียเครื่องหมายการค้าสำคัญของวง เส้นทางของ AC/DC ถูกแขวนไว้บนเส้นด้าย เพราะไม่รู้ว่าวงจะไปในทิศทางไหนต่อดี จนกระทั่งวงตัดสินใจเลือกนักร้องชาวอังกฤษ Brian Johnson เข้ามาแทนที่ ความกดดันก็เข้ามาถามโถมนักร้องใหม่เต็มที่ เพราะคนยังติดภาพของบอนอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตามไบรอันก็สามารถพิสูจน์ตัวเองได้สำเร็จ หลัง Back in Black อัลบั้มชุดแรกที่เขาร้องให้กับ AC/DC ประสบความสำเร็จด้านยอดขายอย่างท่วมท้น รวมถึงสามารถติดหนึ่งในอัลบั้มที่ขายดีตลอดกาล อีกทั้งยังมีส่วนร่วมที่ทำให้ AC/DC สานต่อตำนานในฐานะวงร็อกที่ได้รับความนิยมที่สุดตลอดกาล ถึงแม้ปัจจุบันไบรอันต้องลาออกจากวงไปเพราะปัญหาด้านสุขภาพก็ตาม
จากหัวหน้าวงกลายเป็นศิลปินเดี่ยว
เมื่อกลางปี 2017 ที่ผ่านมา หนึ่งในข่าวใหญ่ช็อกวงการเพลงทั่วโลกเห็นจะไม่มีอะไรเกินไปกว่าข่าวการฆ่าตัวตายของ Chester Bennington นักร้องนำวง Linkin Park ที่เพิ่งจะออกสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 7 อย่าง One More Light และอยู่ในระหว่างการออกเดินสายเล่นคอนเสิร์ตไปทั่วโลก ซึ่งการจากไปของเขานั้น นอกเหนือไปจากความระส่ำระสายของสถานะวงที่ดูเหมือนจะเคว้งคว้างจากการจากไปของเขาแล้ว เขายังสามารถกระตุ้นความตื่นตัวให้โลกหันมาเห็นอันตรายและภัยเงียบของโลกซึมเศร้าได้อีกด้วย หลังจากมรณกรรมของเขา ดูเหมือนภาระทั้งหมดจะตกอยู่บนบ่าของ Mike Shinoda หัวหน้าวงอีกคนหนึ่งที่ก็ไม่สามารถตอบคำถามของทั้งนักข่าวและแฟนเพลงได้ว่าวงจะเป็นอย่างไรต่อไปได้ เขาพูดแต่เพียงสั้นๆ ว่า “จะแจ้งข่าวทันทีที่มีข่าวอะไรก็ตาม”
ในระหว่างที่แฟนเพลง Linkin Park ทั่วโลกกำลังเคว้งคว้างอยู่กับสถานะอันง่อนแง่นของวงอยู่นั้น ไมค์ก็ประกาศวางแผงอัลบั้มใหม่ของเขา Post Traumatic ภายในระยะเวลาไม่ถึงปีหลังจากเกิดโศกนาฏกรรม และตารางเวิลด์ทัวร์โปรโมทอัลบั้มที่ใช้ชื่อศิลปินว่า ‘Mike Shinoda of Linkin Park’ ก็ตามออกมาติดๆ เรียกได้ว่าเป็นการกลับมาผงาดอีกครั้งในระยะเวลาอันสั้นกว่าที่ใครๆ ก็คิดไว้เยอะมากทีเดียว “อัลบั้มนี้ส่วนตัวมากๆ เลยครับ” ไมค์ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนครั้งที่เขามาแสดงคอนเสิร์ตที่กรุงเทพฯ เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา “ย้อนกลับไปเมื่อกว่าปีที่แล้ว การสูญเสียเชสเตอร์ถือเป็นหายนะสำคัญในชีวิต ผมไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อไป แค่ใช้ชีวิตประจำวันก็ยากแล้ว ผมมีสตูดิโอเล็กๆ อยู่ที่บ้าน ที่ผมใช้อัดเพลงร่วมกับเพื่อนๆ ร่วมวงคนอื่นๆ รวมถึงเชสเตอร์ด้วยครับ ตอนที่เกิดเหตุใหม่ๆ ผมกลัวมาก กลัวที่จะเดินกลับเข้าไปในห้องนั้นอีกครั้งหนึ่ง ผมรู้สึกว่า… ความทรงจำอะไรต่อมิอะไรมันอยู่ในห้องนั้นหมดเลยน่ะครับ แต่ในที่สุด ผมก็บังคับให้ตัวเองเดินกลับเข้าไปในห้องนั้นอีกครั้งหนึ่ง เขียนเพลง เล่นดนตรี อัดดนตรี เพื่อที่จะทลายกำแพงน้ำแข็งในตัวเอง และเลิกกลัวความทรงจำเก่าๆ ที่ไหลวนอยู่ในห้องนั้นเสียที และบทเพลงที่มารวมเป็นอัลบั้มนี้ก็ค่อยๆ ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาจากจุดนั้นนั่นล่ะครับ จะว่าไป มันก็เป็นเหมือนไดอารี่ เหมือนประวัติชีวิตส่วนตัวของผมในช่วง 6-9 เดือนแรกหลังจากเกิดเหตุนั่นล่ะครับ”
นอกเหนือไปจากการเอาชนะตัวเองเพื่อให้เดินกลับไปทำงานในห้องอัดอันเต็มไปด้วยความหลังอีกครั้งแล้ว การตัดสินใจปล่อยอัลบั้มดังกล่าวออกมาสู่สายตาสาธารณชนก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก “จริงๆ แล้วมันน่ากลัวมากนะครับที่จะเอาเพลงเหล่านี้ออกมาแชร์กับแฟนๆ เพราะเนื้อหามันส่วนตัวมากจริงๆ แต่พอผมเอาทุกอย่างมารวมกันเป็นภาพใหญ่แล้ว ผมก็เห็นว่านี่เป็นหนทางที่จะสื่อสารกับแฟนๆ ว่าตัวผมจัดการกับความสูญเสียครั้งใหญ่ในชีวิตนี้ได้อย่างไร และถ้าหากว่าบทเพลงเหล่านี้จะสามารถช่วยเหลือคนอื่นๆ ที่กำลังเผชิญกับความสูญเสียของตัวเองได้ มันก็จะดีมากเลยครับ ผมเลยตัดสินใจปล่อยมันออกมา เพราะอัลบั้มนี้มันเริ่มต้นจากความดิ่งดาร์ก และค่อยๆ ก้าวเข้าสู่แสงสว่างในการใช้ชีวิตต่อไปทีละนิด นั่นทำให้ผมเลือกเพลง Crossing A Line ออกมาเป็นซิงเกิ้ลแรก เพราะมันเป็นเพลงที่อยู่ระหว่างการมองกลับไปหาอดีต และการมองไปสู่อนาคตข้างหน้า สารหลักๆ ที่ผมต้องการจะสื่อผ่านอัลบั้มนี้คือ ‘ความหวัง’ นั่นคือ การเคารพในอดีตที่ผ่านมาแล้ว ยอมรับมันในแบบที่มันเป็นให้ได้ และใช้ชีวิตในฐานะการเดินทางให้สนุกที่สุดเท่าที่จะทำได้ มีสติอยู่กับปัจจุบัน และมีความสุขกับทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เท่านั้นเองครับ”
ในตอนที่ไมค์ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน เขาเพิ่งจะประกาศทัวร์อเมริกาเหนือไปหยกๆ ดังนั้นเมื่อเราถามว่าแฟนๆ จะคาดหวังอะไรได้หลังจากที่เขาจบเวิลด์ทัวร์ครั้งนี้ เขาจึงตอบได้เพียงสั้นๆ ว่า “ผมคงจะพักผ่อนหน่อยนะครับ ตอนออนทัวร์ ผมอยากทุ่มเทกับมันให้ได้มากที่สุด เพราะนั่นคือชีวิตของผม หลังจากนั้น ผมตอบไม่ได้จริงๆ ครับว่าจะมีแรงบันดาลใจไปทำอะไรต่อ อาจจะวาดรูป หรือทำเพลง อาจจะทำให้ตัวเอง หรือโปรดิวซ์งานให้คนอื่น ตอบไม่ได้จริงๆ ครับ ผมพยายามจะเปิดโอกาสให้ตัวเองอยู่เสมอเองครับ”
แน่นอนว่าทุกอาชีพมีความเสี่ยงด้วยกันทั้งนั้น ศิลปินเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น การสูญเสียเส้นเลือดหลักของวงในระหว่างที่วงกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นนั้นถือเป็นอีกหนึ่งความเสี่ยงที่ไม่มีใครควบคุมได้ แต่การรับมือกับเหตุการณ์พลิกโชคชะตาต่างหากที่จะนิยามได้ว่า ศิลปินคนไหนกันแน่ที่จะก้าวข้ามผ่านความสูญเสียดังกล่าว และผงาดเป็นตำนานต่อไปได้ ซึ่งเราก็แอบเชื่อว่า หลังจากมรณกรรมของเชสเตอร์ที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครมาแทนที่ได้แล้วนั้น ไมค์เองก็คงวางแผนที่จะกลับมาผงาดในวงการดนตรีอีกครั้ง ไม่ว่าจะเพื่อตัวเขาเอง หรือเพื่อแฟนๆ ที่รออยู่ แต่เราจะปล่อยให้กาลเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์เองว่า ตำนานแต่ละบทนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นได้เพียงชั่ววูบไหวเท่านั้น