เรื่องราวประวัติศาสตร์อันยาวนานของ Volkswagen Group

Share This Post

- Advertisement -

The History Started from The Beetle

เรื่องราวของ Volkswagen Group นั้นถือเป็นประวัติศาสตร์อันยาวนาน เป็นการเดินทางของแบรนด์ที่ต้องเจออุปสรรคต่างๆ มากมาย ตั้งแต่ดราม่าเบื้องหลังการสร้างรถคันแรกช่วงสงคราม ผันจากโศกนาฏกรรมมาเกี่ยวพันกับการเมืองการปกครอง ทั้งเรื่องการชิงดีชิงเด่นด้านอำนาจ เงินตรา ตราบาปแห่งการเมือง ไปจนถึงศึกสายเลือด เรียกได้ว่าซับซ้อนยังน้อยไป

ประวัติศาสตร์นี้เกิดขึ้น เมื่อ Ferdinand Porsche (เฟอร์ดินานด์ ปอร์เช่) บิดาผู้ให้กำเนิดรถสปอร์ตแบรนด์สำคัญของประเทศเยอรมนีพร้อมสัญลักษณ์ม้าคะนองแห่งเมืองสตุทการ์ทในงานมอเตอร์โชว์ปี 1937 ซึ่งยุคนั้นก็มีแนวคิดที่จะผลิตโครงการอะไรหลายอย่าง

เพื่อเป็นประโยชน์ต่อชาวเยอรมันอยู่แล้ว จึงเกิดโครงการ ‘รถแห่งประชาชน’ หรือ ‘Volkswagen’ ขึ้นเป็นรูปเป็นร่าง นอกจากนั้นปอร์เช่ยังได้รับมอบหมายให้เป็นผู้พัฒนาระบบยานยนต์สำคัญของกองทัพอีกด้วย แต่เรื่องราวก็ขมวดซับซ้อนไปกว่านั้นเมื่อมีการค้นพบข้อมูลสำคัญที่แย้งว่า โครงการ ‘รถแห่งประชาชน’ นั้น จริงๆ แล้วมีจุดเริ่มต้นก่อนหน้านั้นไปอีก

ในปี 1923 ขณะที่รถ Fiat กำลังทดสอบอยู่บนสนามดาดฟ้า  ของโรงงาน Lingotto ในประเทศอิตาลี ประเทศเยอรมนีก็มีนักศึกษาชาวยิว Josef Ganz (โจเซฟ กันซ์) กำลังออกแบบโครงสร้างตัวรถขนาดเล็กใช้ชื่อโปรเจ็กต์ว่า ‘Volkswagen’ หรือ ‘รถแห่งประชาชน’   ซึ่งแนวคิดรถของนักศึกษาทุนน้อยนี้ก็เหมือนกับโครงการของรัฐบาลเป๊ะๆ นั่นคือ รถดังกล่าวจะต้องมีที่นั่งสำหรับผู้ใหญ่ 2 คนด้านหน้า และสำหรับเด็ก 2 คนด้านหลัง ความซับซ้อนจึงเกิดขึ้นเมื่อไม่สามารถฟันธงไปได้แบบจังๆ ว่าใครเป็นผู้คิดค้นรูปแบบของรถนี้ขึ้นมากันแน่

แต่สิ่งที่แน่คือ เครื่องยนต์ของเจ้ารถต้นแบบที่ปอร์เช่สร้างขึ้นตาม คำสั่งของรัฐบาลนั้นเป็นเครื่องยนต์ที่ระบายความร้อนด้วยอากาศ ประเภทสูบนอนที่เขาถนัด เขาพัฒนาจนกระทั่งสามารถผลิตออกมาเป็นรถแห่งประชาชนที่ราคาย่อมเยาว์เทียบเท่ากับราคามอเตอร์ไซค์ ทำให้ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เมื่อรถสามารถผลิตออกมาเพื่อจำหน่ายได้แล้ว ในปี 1938 จึงมีการสร้างโรงงานขึ้นที่เมืองโวล์ฟบวร์ก เพื่อเดินหน้าผลิตรถรุ่นนี้ออกมารองรับผู้ที่สั่งซื้อรถจำนวนถึง 336,000 คัน โรงงานเร่งเดินสายพานการผลิตอย่างเต็มที่ แต่เป็นที่น่าเศร้าว่าประเทศเยอรมนีนั้นตกอยู่ในภาวะสงคราม ทำให้รถที่ผลิตออกมาเสร็จเรียบร้อยนั้นไม่สามารถถูกส่งไปให้ลูกค้าได้ เมื่อสถานการณ์พลิกเช่นนี้ ปีถัดมา กองทัพเยอรมันจึงออกคำสั่งให้โรงงานเปลี่ยนกำลังการผลิตเป็นผลิตรถยนต์เพื่อป้อนเข้าสู่กองทัพ ปอร์เช่จึงกุมตำแหน่งทั้งผู้ออกแบบและควบคุมการผลิตรถแห่งประชาชนและวิศวกรของกองทัพไปโดยปริยาย

ทาสและเชลยสงครามจากละแวกใกล้เคียงกว่า 15,000 ชีวิตถูกเกณฑ์มาทำงานโรงงานในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองระหว่างปี 1939 – 1945 ด้วยไฟสงครามที่ปะทุอยู่ตลอดเวลา ทำให้โรงงานแห่งนี้กลายเป็นเป้าสายตา และถูกทิ้งระเบิดทำลาย แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้ทำให้เป็นจุดยุติ ทหารอังกฤษเข้ามาควบคุมโรงงาน และเปลี่ยนหน้าที่มันให้เป็นโรงซ่อมยานพาหนะของกองทัพแห่งสหราชอาณาจักร หลังจากนั้น ประเทศอังกฤษก็สั่งผลิตรถออกมาจำนวน 20,000 คัน ซึ่งมีเพียง 1,000 คัน เท่านั้นที่สามารถผลิตแล้วเสร็จก่อนสงครามจบ

ต่อมาในปี 1946 สงครามสงบลง จากที่เคยอยู่ในรูปแบบของสหภาพการค้าพรรคการเมือง บริษัทก็ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Volkswagen อย่างเป็นทางการ กลายเป็นบริษัทที่เป็นเอกเทศ ไม่ขึ้นตรงกับพรรค การเมือง และสามารถดำเนินธุรกิจเองต่อไปได้ อีกสองปีถัดมา กองทัพอังกฤษเสนอให้ประเทศอื่นๆ ที่เป็นพันธมิตรมาช่วยกันอุ้มชูดูแลกิจการบริษัทนี้ต่อไป โดยประเทศที่ถูกเสนอนั้นก็ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส หรือแม้แต่ประเทศอังกฤษเองก็ดี ต่างก็ไม่มีใครต้องการแบกภาระนี้ไว้ ระหว่างนี้เองปอร์เช่เองก็ตีตัวออกไปสร้างรถปอร์เช่เป็นกิจการของครอบครัวเองคู่ขนานกันไปด้วย จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นว่าเครื่องยนต์  จากปอร์เช่เป็นเครื่องยนต์ที่ใช้รูปแบบเดียวกับเครื่องของบีเทิลคือใช้ เครื่องสูบนอนและระบายความร้อนด้วยอากาศ ทำให้เครือข่ายการสร้างรถแห่งประชาชนหรือว่าเจ้าบีเทิลนั้นขยายตัวออกไป เวลาล่วงผ่านไปถึงช่วงเวลาของสงครามแบ่งแยกประเทศเยอรมนีตะวันออกและตะวันตก ตามมา เจ้าเต่าทองคันน้อยก็ถูกผลิตออกมาอย่างต่อเนื่องจนถึงหนึ่งล้านคัน นับตั้งแต่เริ่มโครงการมาถึงปี 1995

กิจการที่เจริญอู้ฟู่นี้ทำให้ Volkswagen ขยายตัวออกไปอีก โดยเริ่มจากการซื้อ Auto Union เจ้าของแบรนด์ Audi (ออดี้) มาไว้ในอ้อมกอด  ของบริษัทในปี 1964 หลังจากนั้นก็ซื้อ NSU Motorenwerke หรือที่รู้จักกันในนาม Prinz (พรินซ์) และเอาสองบริษัทนี้มารวมกันเพื่อสร้างแบรนด์ Audi เสียใหม่และยกระดับให้กลายมาเป็นแบรนด์รถหรู การพัฒนาของกลุ่มบริษัทนี้ก็ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้รถ Volkswagen พัฒนาเปลี่ยนรูปแบบเครื่องยนต์ออกไปอีกมากมาย และจากการเลือกใช้น้ำระบายความร้อนของเครื่องยนต์ในปี 1973 ทำให้ Volkswagen มีรุ่นที่ตีตลาดและโดดเด่นมาจนถึงทุกวันนี้อย่าง Golf, Polo, Passat และ Scirocco ช่วงนี้ Volkswagen Group เริ่มหยุดขยายตัวไปบ้าง แต่ปี 1982  Volkswagen Group ก็ยังไม่วายที่จะไปลงนามตกลงร่วมผลิตกับ Seat (ซีท) ค่ายรถยนต์จากประเทศสเปน 9 ปีถัดมาก็ใช้วิธีนี้กับรถจากสาธารณะรัฐเช็ก อย่าง Skoda (สโกด้า) ทำให้ส่วนแบ่งการตลาดของ Volkswagen Group นั้นพุ่งกระฉูด นอกจากนั้นยังไปกวาดเอา Bentley (เบนท์ลีย์) จากประเทศอังกฤษ Bugati (บูกาตี) จากประเทศฝรั่งเศส และ Lambroghini (ลัมโบร์กินี) จากประเทศอิตาลีมาครอบครองในปี 1988

ตำนานจากประเทศเยอรมนีที่เริ่มต้นอย่างเผด็จการ ทำให้มีเรื่องราว  ที่ซับซ้อนสืบเนื่องต่อกันมายาวนานเป็นประวัติศาสตร์ เส้นทางของรถยนต์แห่งประชาชนกลายเป็นกลุ่มบริษัทที่มีประวัติอันซับซ้อนและครอบคลุมเกือบทุกเรื่องในวงการรถยนต์

- Advertisement -