ศักดิ์วุฒิ วิเศษมณี-ศิลปินวาดภาพและประติมากร
“อาชีพศิลปินของผมไม่ได้เป็นแบบตามสูตร ดังนั้น เวลาใครถาม ผมจะตอบว่า ผมเชื่อเรื่อง ‘เกิดมาเป็น’ ถ้าเราจะเกิดมาเป็นศิลปิน เราก็จะเป็นศิลปิน”
นิยามคำว่าแบบศักดิ์วุฒิหน่อย
ผมชอบงานศิลปะแบบย้อนยุค ผมอยากให้ศิลปะหยุดที่ยุค ’20s – ’40s ผมชอบทุกอย่างในยุคนั้นทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเพลง ศิลปะ เนื้อหา เสื้อผ้า เสน่ห์อยู่ที่ความสวยงาม ผมประหลาดใจมากที่ยุคนั้นดีทุกอย่าง รวมไปถึงงานประติมากรรมด้วยนะ ผมชอบมากจริงๆ
เริ่มต้นเป็นศิลปินเมื่อไร
อาชีพศิลปินของผมไม่ได้เป็นแบบตามสูตร ดังนั้น เวลาใครถาม ผมจะตอบว่า ผมเชื่อเรื่อง ‘เกิดมาเป็น’ ถ้าเราจะเกิดมาเป็นศิลปิน เราก็จะเป็นศิลปิน มันหลีกเลี่ยงไม่ได้หรอกครับ
รู้ตัวตอนไหนว่าอยากเข้าคณะจิตกรรม
สมัยที่ผมเรียนมัธยมที่โรงเรียนบดินเดชา ผมจะแปลกกว่าคนอื่นนิดหน่อย คือผมชอบมองหน้าคน ชอบสังเกตว่าหน้าของเขาเป็นอย่างไร มีลักษณะแบบไหน จนเพื่อนถามว่าเป็นบ้าอะไรหรือเปล่า ตอนนั้นผมไม่ได้รู้จักคณะจิตรกรรม ของมหาวิทยาลัยศิลปากรเสียด้วยซ้ำ ผมเรียนสายวิทย์มาตลอด จนกระทั่งมีญาติรุ่นพี่มาพักที่บ้านเพื่อเตรียมตัวสอบเข้าคณะนี้ ผมเลยได้รู้จักคณะ รู้ว่ามีการสอบเอนทรานซ์โดยการวาดรูปด้วย เลยมาศึกษาดูว่าคณะนี้เป็นอย่างไร ทำให้รู้ว่ามีคณะที่สอบเข้าและสอบจบด้วยการเขียนรูปอยู่บนโลกนี้ด้วย
เข้าไปแล้วเป็นแบบที่คิดไหม
เรียนยากมากเลยครับ เพราะผมไม่มีพื้นฐานเหมือนคนอื่นๆ เคยคิดจะย้ายคณะเสียด้วยซ้ำ ปัจจุบันยังคิดอยู่เลยว่าถ้าตอนนั้นสอบย้ายคณะผ่านจริงๆ ประเทศไทยคงไม่มีศิลปินชื่อ ‘ศักดิ์วุฒิ’ แน่ๆ ผมเลยยิ่งมั่นใจในความเชื่อของผมว่า ถ้าคนเราจะเกิดมา ‘เป็น’ อะไร มันก็ต้องได้เป็น ในที่สุด ผมก็กระเสือกกระสนเรียนจนจบมาได้ โชคดีหน่อยที่ผมเป็นคนวาดเส้นได้ดีโดยธรรมชาติ ครั้งแรกที่ผมเขียนฟิเกอร์ ผมก็ได้ A เลย สำหรับคนอื่นนี่อาจจะยากเย็นสาหัส แต่สำหรับผม นี่คือความชอบ และเป็นเรื่องเดียวที่ผมทำได้ดีจริงๆ
เคยทำงานอย่างอื่นมาก่อนบ้างไหม
ผมโชคดีว่าตอนเรียนจบ งานแสดงธีสิสของผมไปถูกใจฝรั่งคนหนึ่งเข้า บวกกับตัวผมเองที่เคยได้รับรางวัลศิลปินรุ่นเยาวศิลป์ พีระศรี ทำให้ผมจบออกมาพร้อมดีกรีที่ได้เปรียบคนอื่นนิดหน่อย ฝรั่งคนนั้นเลยชวนผมไปทำงานที่บริษัทโฆษณาอยู่สักพักหนึ่ง จนกระทั่งเขากลับประเทศไป ผมจึงตัดสินใจออกจากงานตรงนั้น กลับมาอยู่บ้านเฉยๆ ตอนนั้นเครียดนิดหน่อยว่าจะทำมาหากินอะไร เลยกลับมานั่งเขียนรูป รู้อยู่แก่ใจนะว่าการเขียนรูปมันทำมาหากินยาก แต่ก็ยังจะเขียน และก็เป็นดังคาด อดมื้อกินมื้อไปครับ ตอนนั้นรับจ้างวาดภาพประกอบด้วยนะครับ แต่ละเดือนที่ต้องรอเงินพันกว่าบาทเข้ามานี่ทรมานพอสมควรทีเดียว
จำได้ไหมว่าขายภาพครั้งแรกคือภาพไหน
เป็นภาพที่รับจ้างมาจากคุณปีเตอร์ บุนนาค เขียนรูปภรรยากับลูกของเขา นับได้ว่าเป็นครั้งแรกเลยครับที่ได้รับการว่าจ้างอย่างจริงจัง และผลงานชิ้นนี้ก็ทำให้มีคนรู้จักผมมากขึ้น และได้รับการว่าจ้างแบบนี้ไปเรื่อยๆ
คุณผันตัวจากจิตรกรรับงานว่าจ้างมาเป็นศิลปินได้อย่างไร
ผมทำคู่กันครับ รับงานจ้างวาดพร้อมทำงานตัวเองควบคู่กันไป มีการแสดงงานนิทรรศการบ้างเป็นครั้งคราว รับงานว่าจ้างมาเรื่อยๆ รู้ตัวอีกที ผมกลายเป็นศิลปินไปเรียบร้อยแล้วครับ
จำได้ไหมว่าเริ่มเขียนในหลวงรัชกาลที่ 9 ตอนไหน
เขียนส่งประกวดงานฉลองครบรอบ 60 พรรษามาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว ถือเป็นครั้งแรกที่ได้เขียนภาพท่าน สมัยนั้นงานของเราไม่เนี้ยบมาก เป็นงานตามใจฉัน มีความดิบอยู่มาก หยุดไปบ้างสักพัก ก่อนจะกลับมาเขียนช่วงที่บ้านเมืองวุ่นวาย เพราะการเขียนภาพท่านเป็นการเยียวยาและปลอบประโลมใจที่ดี
การกลับมาครั้งนั้น ฝีมือเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างไร
เรียกได้ว่าเรากลับไปสู่การวาดเส้นพื้นฐานเลยดีกว่า กลับไปเริ่มต้นที่กระดาษเปล่าๆ มีแค่เส้นและน้ำหนัก เหมือนเริ่มเรียนวาดภาพใหม่ เคยมีคนวิจารณ์นะว่า งานของศักดิ์วุฒินี่ไม่มีอะไรเลย มีแต่ฝีมือ อ้าว … แต่แปลกนะที่คนดูและนักวิจารณ์กลับชอบ อาจจะเพราะว่างานผมธรรมดาจนกระทั่งพิเศษ ในปัจจุบัน หลายคนลืมไปแล้วว่าการวาดเส้นคือพื้นฐานของการวาดรูป แต่ทุกคนพยายามหันไปหางานศิลปะสมัยใหม่กันหมด
เริ่มทำงานประติมากรรมได้อย่างไร
เกิดจากการที่ผมชอบสะสมรูปปั้น มีเต็มบ้านเลย แต่วันหนึ่งเกิดเห็นว่า รูปปั้นในแบบที่เราอยากได้ และเราชอบจริงๆ นั้นยังไม่มีใครทำ พอมารู้จักรุ่นน้องที่ปั้นได้ เลยชวนมาช่วยกันปั้นดูว่าจะออกมาเป็นอย่างไร พอได้เริ่มปั้นแล้วสนุกกับการปั้นเสียแล้วตอนนี้ เพราะบางทีก็เบื่อกับการวาดเส้น การวาดภาพสีน้ำมันบ้างน่ะ ทำซ้ำๆ การปั้นก็เหมือนกับกรจุดไฟใหม่ๆให้เราบ้าง
แฟนคลับมีอิทธิพลต่อการออกผลงานแต่ละชิ้นไหม
มีครับ เพราะเวลาไปไหนมาไหนแล้วได้ยินใครบอกว่าเป็นแฟนคลับผม หรือชอบงานผม ผมก็รู้สึกไม่กล้าที่จะทำงานไม่ดีออกมา เพราะทุกคนคาดหวังกับตัวเรา นั่นคือแรงกดดันในทางบวกครับ
เวลาทำงานมีผลต่อจิตใจในลักษณะไหน
ตอน ‘ทำงาน’ จะเครียดกว่าปกติ อันนี้เป็นเรื่องปกติ ตอนเขียนเล่นๆ หรือวาดเล่นนี่ภาพจะออกมาสวย ดังนั้น ต้องคิดว่าทำอย่างไรงานจึงออกมาสวยเหมือนงานสเก็ตช์แบบนั้น บางครั้งต้องอาศัยการปล่อยวางความคาดหวัง และการปล่อยวางหรือรู้จักพอเมื่องานมาถึงจุดที่สวยแล้ว เพราะบางครั้งก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่างานฟลุ้คๆมักจะออกมาดี หลังๆ มานี่ผมดีขึ้นเยอะแล้วนะ เพราะอายุมากขึ้น เรียนรู้แล้วว่าอะไรคืองาม นอกจากนั้นรสนิยมก็เปลี่ยนไปด้วย ตอนเด็กๆงานจะแรงกว่านี้ ไม่รู้เลยว่าสิ่งวาดไปคือผิด ตอนนี้เรียกได้ว่าสุขุมมากขึ้นตามกาลเวลา แต่ข้อดีของความไม่รู้ในตอนนั้นก็คือ ทำให้งานเราออกมาเป็นลักษณะนั้น
ถ้าวันหนึ่ง เวลาของคุณหมดลง คุณอยากให้ผู้คนจดจำคุณในฐานะอะไร
ในฐานะศิลปินครับ เป็นศิลปินคนหนึ่งที่ตั้งอกตั้งใจทำงาน ผลิตผลงานที่ทุกคนชื่นชอบ ซื่อสัตย์กับอาชีพตัวเอง บางครั้งผมอาจจะเห็นอะไรบางอย่างที่ผมคิดว่าไม่ถูกต้องในวงการศิลปะ และผมก็พูดเยอะ หวังว่าให้วงการศิลปะตื่นตัวและเปลี่ยนแปลงบ้าง แต่บางครั้งความหวังดีของเราอาจจะไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นต้องการได้ ดังนั้น ผมจึงทำหน้าที่ศิลปินของผมให้ดีที่สุด สร้างมาตรฐานในการสร้างงานในแบบของผม เพื่อที่วันหนึ่งผมจากไปแล้ว โลกจะจดจำผมได้จากผลงานของผม