ดวงฤทธิ์ บุนนาค จากอยากเป็นนักนิวเคลียร์ฟิสิกส์ กลายมาเป็นสถาปนิกแถวหน้าของเมืองไทย

Share This Post

- Advertisement -

ดวงฤทธิ์ บุนนาค – สถาปนิกและผู้ก่อตั้งบริษัท ดวงฤทธิ์ บุนนาค จำกัด

“ผมเชื่อในศักยภาพของมนุษย์ทุกคนที่มีเท่ากัน แต่คุณเองที่ไม่เคยเชื่อว่าคุณทำได้ ทุกคนจะพูดประมาณว่าถ้าไม่ใช่ดวงฤทธิ์ทำไม่ได้หรอก ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่จริงเลย”

อะไรคือแรงผลักดันให้คุณมายืนจุดนี้

เงินครับ (หัวเราะ) โอเค … ถือเป็นคำถามที่ตอบยากพอสมควร เพราะถ้าต้องการแค่เงิน ผมก็ทำได้หลายอย่างไม่จำเป็นต้องทำอาชีพนี้ ตอบได้ว่าผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตผมกันแน่ เพราะตอนแรกสุด ผมอยากเป็นนักนิวเคลียร์ฟิสิกส์ครับ ไม่เคยคิดจะเป็นสถาปนิกเลย เรื่องเริ่มต้นมาตั้งแต่ตอนที่ผมอยู่ประถมหก ช่วงนั้นเป็นช่วงสงครามเย็น ที่ทุกคนชู่กันว่าจะยิงระเบิดนิวเคลียร์ใส่กันตลอดเวลา ผมได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่อธิบายปฏิกิริยานิวเคลียร์แบบง่ายๆ พออ่านจบ ผมก็เพ้อฝันไปว่า ถ้าผมสามารถหยุดปฏิกิริยานิวเคลียร์นี้ได้ ประเทศไทยคงจะเป็นเจ้าโลกแน่ๆ และสงครามเย็นก็จะจบลง พอคุยกับคุณพ่อที่เป็นวิศวกร ท่านก็ยุส่งเลยว่า ทำเลย ทำไมจะทำไม่ได้ล่ะ จึงเป็นวินาทีแรกที่ได้แรงบันดาลใจว่า จะเป็นนักนิวเคลียร์ฟิสิกส์ให้ได้ จะทำให้โลกมีแต่สันติภาพ เป็นความคิดที่บ้ามาก และเชื่อมั่นแบบนั้นมาจนถึงมัธยมหก

แล้วเกิดอะไรขึ้นถึงมาเลือกเป็นสถาปนิก

เพราะรู้ตัวว่าไม่น่าจะไปรอด เพราะเรียนวิชาเคมีไม่รุ่งเลย เก่งแต่เรื่องฟิสิกส์และกลศาสตร์เท่านั้น เลยสำนึกว่าคงจะเป็นนักนิวเคลียร์ฟิสิกส์ไม่ได้แล้วล่ะ ตอนนั้นต้องเลือกอันดับเอนทรานซ์ อันดับแรกเลือกวิศวกรรมศาสตร์ ที่เหลือเลือกสถาปัตยกรรมหมดเลย อาจารย์เลยถามว่า ตกลงอยากเรียนอะไรกันแน่ ผมจึงมาตั้งคำถามกับตัวเอง และพบว่าผมเป็นคนชอบงานสร้างสรรค์ ชอบเล่น ชอบสร้าง ชอบต่อเลโก้ และชอบประดิษฐ์ต่างๆ เลยคิดว่า สถาปัตยกรรมน่าจะใช่นะ เลยเบนเข็มทันที แต่นั่นมันหลังจากเลือกอันดับแล้วไง เลยต้องตั้งใจสอบวิชาเคมีให้ตก เพื่อให้คะแนนน้อยมากพอที่จะติดอันดับสอง นั่นคือ สถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ พอเข้าไปเรียนแล้วปรากฏว่าชอบมาก จึงมุ่งมั่นว่าจะเป็นสถาปนิกระดับโลกให้ได้ ต้องบอกว่าตอนนั้นคนไทยเป็นสถาปนิกกันเยอะนะ แต่ไม่ค่อยมีใครที่มีชื่อเสียงระดับโลก ผมเลยบอกเพื่อนในวันเรียนจบว่า ผมจะเป็นสถาปนิกที่มีชื่อเสียงระดับโลกให้ได้ เพื่อนก็หัวเราะเยาะ แล้วถามว่านี่สติดีหรือเปล่า ยี่สิบห้าปีผ่านไป ผมก็มายืนจุดนี้ล่ะครับ

คงมีคนว่าโชคช่วยบ้างใช่ไหม

ในชีวิตผมนี่ไม่เคยมีโชคช่วยหรอกครับ คือความดื้อล้วนๆ ดื้อสู้กับทุกอย่าง ผมเริ่มต้นอาชีพด้วยการออกแบบห้องน้ำ ออกแบบอะไรเล็กๆน้อยๆไปเรื่อย และก็มีสิ่งเร้าจากภายนอกที่จะทำให้เราเบนเข็มออกจากอาชีพนี้หลายครั้ง อย่างช่วงยุคทองของแกรมมี่ พี่ดี้ (นิติพงษ์ ห่อนาค) แกเคยมาชวนไปเป็นนักแต่งเพลง ซึ่งเราก็ดื้อไม่ไป ตั้งใจมากว่าจะเป็นสถาปนิกให้ได้ เรียกว่าดื้อด้านจนมาถึงจุดนี้ล่ะครับ

เคยรู้สึกว่าตัวเองล้มเหลวมากๆบ้างไหม

ทุกวันเลยครับ ตอนนี้ก็ยังล้มเหลวอยู่ แต่อยากให้เข้าใจตรงกันก่อนว่า เวลาที่เราบอกว่าเรา ‘ล้มเหลว’ น่ะ นั่นคือวิธีที่เราให้ความหมายสถานการณ์นั้นๆนะ จริงๆแล้วมันก็คือมีบางอย่างที่ไม่ได้เป็นตามความคาดหวังของเราเกิดขึ้นเท่านั้น นั่นไม่ใช่ความล้มเหลว เราแค่คาดหวังให้มันไปทางนั้น พอไม่ได้ดั่งใจ เราก็ไปนิยามว่ามันคือความล้มเหลว มันก็แค่บางอย่างไม่ได้เกิดขึ้นในแบบที่เราคาดหวังเท่านั้น มันไม่ใช่ความล้มเหลวในความหมายที่ว่า ‘ฉันไร้ความสามารถ’ หรือ ‘ฉันไม่ดีพอ’ เสียหน่อย ผมล้มเหลวตลอดเวลานะ เพราะทุกครั้งที่ผมล้มเหลว แปลว่าผมกำลังพยายามผลักตัวเองไปอีกจุดหนึ่งอยู่ คนที่ไม่เคยล้มเหลวเลยคือคนที่ไม่ได้พยายามทำอะไร มีชีวิตอยู่ไปวันๆ เป็นอะไรได้ก็เป็นแค่นั้น คนแบบนี้ไม่มีวันล้มเหลว แต่เขาก็จะไม่ไปไหน ฉะนั้น ทุกครั้งที่ล้มเหลว คุณต้องตื่นเต้นสิ เพราะคุณกำลังเล่นเกมชีวิตที่ใหญ่ขึ้น กำลังเป็นมากกว่าที่คุณเคยเป็น ทำได้มากกว่าที่เคยทำ ซึ่งแน่นอนว่าพอไปถึงตรงนั้น มันมีอะไรมากกว่าที่เราคาดหวังไป นั่นทำให้เราล้มเหลว สิ่งที่ผมทำนี่ง่ายมากครับ ก็ทำใหม่อีกครั้ง ไปเรื่อยๆครับ เหมือนผมดื้อในการทำอาชีพสถาปนิกนี่ล่ะ

แล้วตอนประสบความสำเร็จรู้สึกอย่างไร

ผมไม่มีจุดที่เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จครับ เพราะพอผมไปถึงจุดใกล้ๆนั้น ผมก็จะตั้งเป้าหมายใหม่ไปแล้ว มีเป้าหมายใหม่รอข้างหน้าแล้ว เป็นเรื่องปกติที่ผมจะมีโปรเจ็กต์ต่างๆซ้อนกัน ผมมีบริษัทต้องดูแลทั้งหมด 16 บริษัท งานทับกันไปหมด หลายคนถามผมว่า ทำอะไรเยอะแยะนัก ทำได้จริงๆเหรอ ผมบอกเลยว่าผมเชื่อในศักยภาพของมนุษย์ทุกคนที่มีเท่ากัน แต่คุณเองที่ไม่เคยเชื่อว่าคุณทำได้ ทุกคนจะพูดประมาณว่าถ้าไม่ใช่ดวงฤทธิ์ทำไม่ได้หรอก ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่จริงเลย คุณก็ทำได้ครับ

โปรเจ็กต์เยอะขนาดนี้ คุณมีวิธีการให้กำลังใจลูกน้องอย่างไร

ผมไม่เคยกระตุ้นพวกเขาครับ ผมลงมือทำให้พวกเขาเห็น เพราะผมเชื่อว่าความเป็นผู้นำไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเราพยายามปลุกใจให้พวกเขาลงมือทำ แต่เกิดขึ้นเพราะเราทำเป็นตัวอย่างให้เขาเห็น บางครั้งที่เขาคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้แน่ๆ แต่เราพิสูจน์ให้เขาเห็นว่ามันเป็นไปได้โดยการลงมือทำ ความเป็นผู้นำมันจะออกมาเอง นั่นคือวิธีที่ผมแสดงความรับผิดชอบต่องานที่ผมสั่ง เป็นวิธีการสร้างแรงบันดาลใจให้พวกเขา เพราะผมไม่เก่งเรื่องการปลุกใจเลย ผมแค่ทำสิ่งที่ผมเก่งมาตลอดชีวิต นั่นคือ ผมจะสู้จนสุดทาง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วผมก็จะชนะ

คุณมีความสุขกับอะไร

กับการทำงาน การทำงานคือเกมของผม เวลาที่ผมทำอะไรหลายอย่างพร้อมกัน เหมือนผมกำลังเล่นเกม มันคือความท้าทายของผม ผมไม่เหนื่อยนะ ผมชอบ ผมสนุกกับมัน ความสุขของผมอยู่ตอนที่ผมทำงาน เวลาที่ผมเดินเข้าไปในตึกที่เพิ่งสร้างเสร็จเป็นครั้งแรก ตึกนี้มาจากสมองผมไง มันคือภาพในหัวผมที่ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นภาพจริงที่เหมือนเป๊ะ ผมมีความสุขมาก เดินมีความสุขอยู่ยี่สิบนาทีก็เบื่อแล้ว ไปคิดว่าจะทำโปรเจ็กต์อะไรต่อไปดี

แปลว่าอยู่นิ่งๆไม่ได้เลยใช่ไหม

ได้สิ เวลาผมอยู่เฉยๆ ผมจะขี่มอเตอร์ไซค์ไปต่างจังหวัด นั่นคือการอยู่เฉยๆ คือการพักผ่อนของผม สำหรับผมแล้ว การขี่มอเตอร์ไซค์เหมือนการนั่งสมาธิ เพราะเวลาคุณอยู่บนนั้น คุณจะไม่คิดเรื่องอื่นเลย คุณจะจดจ่ออยู่กับการขี่มอเตอร์ไซค์ตรหน้า นั่นคือการนั่งสมาธิ ดังนั้น นั่นคือการพักผ่อนที่ดีที่สุดสำหรับผม เพราะสมองผมไม่คิดเรื่องอื่นเลยจริงๆ ปล่อยวางได้หมดจริงๆ เพราะถ้านั่งพักผ่อนนิ่งๆ เดี๋ยวผมก็คิดอะไรขึ้นมาได้อีกครับ

บอกเราเรื่องโปรเจ็กต์ในฝันของคุณหน่อย

ผมไม่มีอะไรแบบนั้นครับ เพราะความคิดผมไม่ได้อยู่ในอุดมคติ เพราะคนที่มีชีวิตอยู่ในอุดมคติเขาจะคิดว่าเขาอยากทำอะไรบางอย่างที่เป็นอุดมคติ แต่ผมไม่ใช่แบบนั้น ผมเป็นคนที่ทำอะไรตามบริบท คือ ถ้าทุกอย่างลงตัวในบริบทที่ผมทำได้ ผมก็ลงมือทำ เท่านั้นเอง ผมไม่ใช่คนประเภทที่พูดว่า “วันหนึ่งฉันจะมีออฟฟิศริมแม่น้ำ อยู่ในโกดังเก่า” แต่มันเกิดจากที่เจ้าของที่ชวนมาดู เราเห็นว่าทำได้ เราจึงทำ ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตผม ไม่ได้เกิดจากการที่ผมฝันว่าจะทำหรอก แต่เกิดจากการที่ผมอนุญาตให้ตัวเองเป็นที่ว่างที่พร้อมจะให้อะไรเกิดขึ้นได้ ดังนั้นทุกอย่างจึงเป็นไปได้ แต่ถ้าเกิดว่าผมตั้งใจว่าจะ ‘ลงมือทำ’ อะไรสักอย่าง แต่อะไรก็ไม่ลงตัวเสียที เราก็จะไม่ได้ทำ ดังนั้น ผมจึงไม่มีความฝันครับ มีแต่บริบทที่เป็นจริงเท่านั้น

- Advertisement -