เปิดตัวโอเอซิสแห่งใหม่ที่ทั้งสุขสงบและหรูหราใจกลางกรุงกับ Park Hyatt Bangkok ณ เซ็นทรัล เอมบาสซี

Share This Post

- Advertisement -

Elegance in Details

เพราะเบื้องต้นนั้นแบรนด์ Park Hyatt ทั่วโลกเป็นโรงแรมที่เกิดขึ้นพร้อมจุดประสงค์อันชัดเจน ‘We care for people, so they can be at their best.’ คือ เป็นการสร้างโรงแรมโดยมีจุดประสงค์ที่ชัดเจนว่าจะดึงส่วนที่ดีที่สุดของทุกคนที่เกี่ยวข้องกับโรงแรมออกมา เพื่อทำโปรเจ็กต์และเซอร์วิสที่ดีที่สุด ร่วมกัน และเมื่อผมมาเห็นผลลัพธ์กับตา ต้องบอกว่าไม่ผิดหวังเลยครับ

ตัวอาคารของโรงแรมที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับตึกเซ็นทรัล เอมบาสซีออกแบบคอนเซ็ปต์โดย Amanda Levete (อแมนด้า เลเว็ต) แห่ง AL_A  สตูดิโอออกแบบสถาปัตยกรรมชื่อดังแห่งลอนดอน ที่ผิวอาคารด้านนอกได้แรงบันดาลใจมาจากการทำแพทเทิร์นที่เห็นบ่อยในประเพณีวัฒนธรรมไทยนำมาตีความออกมาเป็นกระเบื้องอลูมิเนียมเล่นเงา เป็นโมดุลที่ แตกต่างกัน มาเรียงซ้อนกันให้เกิดระนาบที่น่าสนใจ เมื่อผิวอาคารมีแสงมากระทบจะเห็นประกายแสงสะท้อนเหมือน Moire Effect คล้ายสิ่งทอ  ที่เหลือบเป็นลาย สิ่งนี้น่าสนใจมาก เพราะการเรียงซ้อนแบบนี้ต้องอาศัยความแม่นยำของคอมพิวเตอร์มาช่วย ซึ่งเป็นการผสมผสานรูปแบบ  ความเป็นไทยผ่านการตีความแบบโมเดิร์นได้ลงตัวทีเดียวครับ

ในส่วนของการตกแต่งภายในนั้นหลักๆออกแบบโดย Yabu Pushelberg บริษัทออกแบบตกแต่งจากนิวยอร์ก ซึ่งเคยออกแบบคอนเซ็ปต์ สโตร์ Siwilai ที่เซ็นทรัล เอมบาสซีมาแล้ว และได้รับความไว้วางใจให้มาร่วมออกแบบให้กับโรงแรมอีกครั้งหนึ่ง นอกจากนั้นยังมีบริษัท AvroKO เข้ามาร่วมออกแบบ Penthouse Bar & Grill บนพื้นที่สามชั้นบนสุดของโรงแรมอีกด้วย แม้ว่า Park Hyatt Bangkok จะไม่ใช่โรงแรมในเครือแห่งแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ก็เป็นที่จับตามองกันเยอะพอควรครับ เพราะเป็น Park Hyatt ที่น่าจะโด่งดังไม่แพ้ Park Hyatt New York เลยทีเดียว

การตีความออกแบบตกแต่งภายในจากคอนเซ็ปต์ ‘Tranquil Oasis’ นั้นทำได้น่าสนใจ เพราะมีการใช้สีของไม้และหินเป็นหลัก นอกจากนั้น ยังมีการผสมผสานเรื่องงานคราฟต์เข้ามา มีการแกะสลักที่ดูไทยแต่โมเดิร์น มากๆกระจายอยู่ทั่วไปในโรงแรม จะเห็นได้ชัดว่านี่คือการเพิ่มชีวิตให้กับการออกแบบสไตล์มินิมอลด้วยงานคราฟต์ ออกมาเป็นโมเดิร์นแบบไทย ซึ่งส่วนตัวผมชอบมาก เพราะไม่ยึดติดกับความเป็นไทยแบบดั้งเดิมจนอาจจะดูล้าสมัย แต่ก็ยังได้กลิ่นอายของความเป็นไทยอยู่ดี

ส่วนตัววัสดุวีเนียร์สีไซคามอร์ (Sycamore Veneer) ที่เขาใช้นั้นนำเข้าจากประเทศอิตาลี ไม่เคยมีใช้ในประเทศไทยมาก่อน เป็นโทนสีที่สวยและอบอุ่นมาก ทำให้เรารู้สึกเหมือนได้พักอยู่ที่บ้าน ไม่ใช่ที่โรงแรม เพราะเขาต้องการให้โรงแรมอบอุ่นและน่าเข้าหา ไม่ใช่ยิ่งใหญ่และหรูหราเพียงอย่างเดียว เขาจึงเลือกใช้วัสดุไม้และหิน ซึ่งเป็นตัวแทนของบ้านและความอบอุ่นภายใน ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูง นอกจากนั้น วัสดุฮาร์ดแวร์อย่างมือจับประตูต่างๆใช้สีดำ ซึ่งตัดกับอินทีเรียที่เป็นไม้ ดูลงตัวอบอุ่นมากครับ

จุดเด่นอีกประการหนึ่งที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้เห็นจะเป็นงานศิลปะต่างๆที่กระจายอยู่ทั่วไปในโรงแรม ชิ้นที่ผมประทับใจมากได้แก่ภาพถ่าย Bangkok VII (2011) ของ Andreas Gursky (แอนเดรียส เกอร์สกี้) ที่ติดตั้งอยู่บริเวณชั้นเก้า เป็นรูปถ่ายแม่น้ำเจ้าพระยาขาวดำ ซึ่งผมมองว่าภาพนี้เป็นตัวแทนของกรุงเทพฯ ได้เป็นอย่างดี ช่างภาพสามารถพูดถึงอะไรต่างๆในกรุงเทพฯ ผ่านภาพถ่ายที่ไม่จำเป็นต้องแสดงด้านสวยงามเพียงอย่างเดียว แต่กลับให้ความรู้สึกสวยงามได้จริงๆ ซึ่งการเลือกชิ้นงานศิลปะนี้ยังได้บริษัทที่ปรึกษาชั้นนำอย่าง DCA Art Consultant เข้ามาช่วยด้วยนะครับ จึงมั่นใจได้เลยว่าแต่ละชิ้นถูกเลือกมาอย่างพิถีพิถันจริงๆ

นอกจากนั้นบนชั้นสิบ บริเวณด้านนอกก็มีประติมากรรมของ Zhan Wang ที่ชื่อว่า Artificial Rock No. 129 ที่มาเพิ่มทั้งความโมเดิร์นและอบอุ่นให้กับพื้นที่โดยรวมเป็นอย่างมาก ในส่วนของศิลปินไทยก็ปรากฏงานของสมบูรณ์ หอมเทียนทอง ชาติชาย ปุยเปีย และคามิน เลิศชัยประเสริฐด้วยครับ ถือว่าเป็นการผสมผสานได้อย่างมีรสนิยมและลงตัวเป็นอย่างมาก

หลังจากที่ได้เข้าพักใน Park Hyatt Bangkok ด้วยตัวเองมาแล้ว ผมกล้าพูดเลยครับว่า ในตอนนี้ผมสามารถแนะนำให้ลูกค้าต่างประเทศและเพื่อนฝูงกลุ่มวงการดีไซน์ต่างๆได้อย่างไม่อายแล้วว่า ในกรุงเทพฯ เมืองที่ผมอาศัยอยู่นี้นอกเหนือจากโรงแรมชั้นนำอย่าง Mandarin Oriental, The Sukhothai และ The Okura Prestige นี้แล้ว ก็มีโรงแรม Park Hyatt Bangkok ที่ผมสามารถแนะนำให้ทุกคนมาพักได้โดยสะดวกใจแล้วครับ

- Advertisement -