เมื่อหุบเขาตระหง่านกระซิบเล่าตำนานมาตามสายลม ในดินแดนเหนือสุดของประเทศอังกฤษ ‘วินเดอร์เมียร์’

Share This Post

- Advertisement -

a Tale of the wind

เมื่อหุบเขาตระหง่านกระซิบเล่าตำนานมาตามสายลมในดินแดนเหนือสุดของประเทศอังกฤษ ‘วินเดอร์เมียร์’

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

มันคงเป็นเวลาสาย ๆ ของวันหนึ่งที่ผมตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ เนื่องจากเลยเวลาที่นัดเพื่อนไว้มา 1 ชั่วโมงแล้ว ทำให้ผมต้องรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อที่จะรีบไปเจอเพื่อนๆ ที่ป่านนี้คงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เมื่อเจอหน้ากัน
ก็ขอโทษขอโพยกันยกใหญ่ก่อนที่อารมณ์จะดีขึ้น เพราะเรายังต้องอยู่ด้วยกันบนรถเช่า 7 ชั่วโมง จากลอนดอนสู่จุดหมายปลายทาง ‘วินเดอร์เมียร์’ เป็นเมืองเล็กๆ ในหุบเขา ล้อมรอบด้วยภูเขาน้อยใหญ่ มากมาย เมื่อพวกเราไปถึงเวลาก็ล่วงเลยไปมืดค่ำแล้ว อากาศค่อนข้างหนาวเย็น ผมคิดว่าถ้าวันหนึ่งผมเลยจุดนี้ไป ผมคงไม่ได้มาเหยียบที่นี่ เพราะการเดินทางอันยากลำบาก นับเป็นโชคดีของผมที่มีเพื่อนๆ ขาลุยคอยหาข้อมูลต่างๆ ที่พักของเราอยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 15 นาที  เราต่างนำเสบียงอาหารออกมาทำกินกันในห้องครัวของบ้านพัก    
หลังจากอิ่มหนำสำราญกันแล้ว เราก็เข้านอนเร็วกว่าปกติเพราะ ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางและคาดหวังถึงการผจญภัยในวันพรุ่งนี้

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

วินเดอร์เมียร์เป็นเมืองเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยธรรมชาติ ผู้คนที่นี่  ส่วนมากเป็นคนสูงอายุที่หากไม่ได้เป็นคนท้องถิ่น ก็คงมาใช้ชีวิตใน   วัยเกษียณ และที่สำคัญเป็นต้นกำเนิดของนิทาน ‘Peter the rabbit’ ที่มีพิพิธภัณฑ์อยู่ใจกลางเมือง วันนี้ผมเริ่มต้นง่ายๆ ด้วยการกินข้าวเช้าพลางมองดูผู้คนเดินผ่านไปมา ผมมักจะตีความการมองวิถีชีวิตของผู้คน ก็เสมือนการมองวัฒนธรรมที่มีชีวิต คนแก่ที่มองรถก่อนเดินข้ามถนนอย่างรอบคอบ เด็กๆ ที่กินไอศกรีม เพราะครอบครัวพามาเที่ยวช่วงปิดเทอม ทุกๆ อย่างดูมีเรื่องราวเต็มไปหมด อาจเพราะเราเป็นชาวต่างชาติ ทริปนี้จึงเปรียบเสมือนหนังสือน่าอ่านที่อยากจะอ่านไปอย่างช้าๆ เก็บรายละเอียด ให้ครบถ้วน บางทีผมรู้สึกว่ามันช่างขัดแย้งกับตัวเองมากเลย (ที่พอถึงโรงแรมปุ๊บก็ถามถึงรหัส Wi-Fi) หลังจากที่เราเสร็จภารกิจในเมือง 
เราก็ขึ้นรถไปดูแม่น้ำต่างๆ บนหุบเขา

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ระหว่างทาง มีจุดจอดรถชมวิวมากมาย สะท้อนให้เห็นถึงการเอาใจใส่การท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ ไม่มีการสร้างสิ่งปลูกสร้างมาบดบังทัศนียภาพใดๆ ไม่มีเศษขยะหรือแม้แต่ก้นบุหรี่ ‘Westwater’ (เวสต์วอเตอร์) คือที่แห่งแรกที่เรามาถึง ในแนวสายตา ของผมเห็นภูเขาและแม่น้ำขนาดมหึมาอยู่ตรงหน้า มันทำให้ผมรู้สึกได้ถึงความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ สิ่งที่สวยงามที่สุดที่โลกของเราพึงมี ประหนึ่งว่าวินาทีนั้นมีคนขโมยลมหายใจไปจากผม เพื่อให้ผมได้ใช้สมาธิทั้งหมดพินิจรายละเอียดของหุบเขา ถึงแม้ว่าผมจะสามารถหยุดเวลาของวิวนี้ไว้ในภาพถ่าย แต่ไม่ว่าจะใช้กล้องตัวไหนก็คงไม่สู้เลนส์ที่เรียกว่าตา และวิวไฟน์เดอร์ที่เรียกว่าใจอีกแล้วเราเดินไปรอบๆ เพื่อเก็บบันทึกภาพลงกล้องและความทรงจำ สีของหญ้ากับแม่น้ำตัดกันดั่งภาพวาดในยุคเรเนซองส์ แม่น้ำที่เป็นกระจกให้ท้องฟ้าราวกับเกิดมาช่วยส่งเสริมความงามซึ่งกันและกัน อาจเป็นเพราะช่วงนี้เหมันต์ยังอายุน้อย ทำให้ลำธารยังไม่กลายเป็นน้ำแข็ง และต้นไม้ก็ยังไม่ทันแก่ผลัดใบ ช่วงนี้จึงเป็นช่วงหอมหวานที่เหมาะแก่การมาชมธรรมชาติที่นี่ ตกบ่ายเรากลับเข้าเมืองมาซื้อเครื่องดื่มและของสดสำหรับคืนนี้ ผมซึ่งได้ฉายาว่าคอแป๊บ (แป๊บเดียวเมา) ก็ขอหยิบเบียร์และไวน์แดงติดไม้ติดมือ มานิดหน่อยเพื่อความสำราญ คืนนี้ผมได้โชว์ฝีมือทำอาหารให้แก่เพื่อนๆ  อ่อนหวานบ้าง หนักเค็มบ้าง ก็ต้องปรับปรุงกันต่อไป ก่อนนอนอาบน้ำอุ่นท่ามกลางคืนที่หนาวเหน็บผ่อนคลายจากความเมื่อยล้ามาทั้งวัน

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

วันที่สองเราไปแหล่งนักท่องเที่ยวใจกลางเมือง บริเวณท่าเรือที่
ไม่ไกลจากสถานีรถไฟมีผู้คนเดินกันขวักไขว่ เราขับรถมุ่งหน้าตรงไป
ร้านอาหารเพื่อเติมพลังก่อน เราเดินวนเวียนกันอยู่ในเมืองว่าจะหาอะไรกินดี ระหว่างเดินก็สังเกตบ้านของคนที่นี่ไปเรื่อย ส่วนมากเป็นบ้านของคนมีเงินเพราะมีทั้งสนามหญ้าและตกแต่งสวยงาม เห็นแกะยืนเคี้ยวหญ้าอยู่ตามสวน จนเรามาจบลงที่ร้านอาหารใจกลางเมือง สายๆ ที่แดดแรงเช่นนี้ เราเลยวางแผนกันว่าจะไป ‘Ullswater’ (อูลล์วอเตอร์) ที่เป็นลักษณะของแม่น้ำกับหุบเขา

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อเรามาถึงที่นี่ ก็เริ่มมีหมอกลงบางๆ เหมือนสาวน้อยที่ตบแป้งฝุ่นอ่อนๆ ทำให้วิวของที่นี่ดูสวยงามเหมือนที่ควรจะเป็น ขณะที่ผมกำลังเดินหามุมถ่ายรูปอยู่ ผมก็เหลือบไปเห็นกระท่อมไม้เล็กๆ หนึ่งหลัง ที่มีฉากหลังเป็นภูเขาและหมอก ประหนึ่งว่า วินาทีนั้นมีคนขโมยลมหายใจไปจากผม เพื่อให้ผมได้ใช้สมาธิทั้งหมดพินิจรายละเอียดของหุบเขา ถึงแม้ว่าผมจะสามารถหยุดเวลาของวิวนี้ไว้ในภาพถ่าย แต่ไม่ว่าจะใช้กล้องตัวไหนก็คงไม่สู้เลนส์ที่เรียกว่าตา และวิวไฟน์เดอร์ที่เรียกว่าใจอีกแล้ว ตกบ่าย เรากลับเข้าเมืองมาชมพิพิธภัณฑ์ ปีเตอร์ เดอะ แรบบิท เป็นพิพิธภัณฑ์เล็กๆ แต่เต็มไปด้วยมนต์ขลัง ภายในจัดแสงไฟสลัวเพื่อขับเน้นจุดรับชมตามจุดต่างๆ ได้อย่างน่าตื่นตา บริเวณชั้น 2 มีสวนเล็กๆ ตกแต่งกระจุกกระจิกตามสไตล์อังกฤษ เช้าวันสุดท้ายของการอยู่ที่นี่ เราแวะไปทานข้าวกันที่ร้านอาหารพื้นบ้านร้านหนึ่งที่มีชื่อเสียง เป็นร้านเล็กๆ อยู่นอกเมือง เมื่อทานอาหารเสร็จ เราก็แล่นรถไปตามแนวภูเขา แวะถ่ายรูปตามจุดชมวิวต่างๆ เพื่อเก็บความทรงจำของวันสุดท้าย ก่อนที่จะมีเป้าหมายต่อไปอยู่ที่เมืองยอร์ก

Content by Editorial Team

- Advertisement -