ประเทศนอร์เวย์ อีกหนึ่งจุดหมายปลายทางของผู้ถวิลหาความงดงามจากธรรมชาติ

Share This Post

- Advertisement -

Chasing the Flow

เครื่องบินทะยานขึ้นจากท่าอากาศนานาชาติสุวรรณภูมิ แต่การเดินทางเริ่มต้นขึ้นเมื่อหน้าต่างรูปไข่บานเล็กเผยให้เห็นทิวทัศน์ของขุนเขาเสียดฟ้า เว้าแหว่งเป็นอ่าวโอบน้ำทะเลที่เอ่อเข้ามาตามแรงคลื่น น้ำทะเลสีครามตัดกับฟ้าใสและยอดเขาเขียวครึ้ม เป็นภูมิประเทศในฝันของผู้รักธรรมชาติบริสุทธิ์ เราเดินทางเป็นระยะทาง 8,956 กิโลเมตรสู่จุดหมาย ที่อยู่เกือบเหนือสุดทวีปยุโรป-ประเทศนอร์เวย์

เสียงลูกเรือประกาศให้ผู้โดยสารนั่งประจำที่และรัดเข็มขัดให้กระชับ ก่อนกัปตันจะพาเครื่องบินร่อนลง ณ ท่าอากาศยานนานาชาติประจำกรุงออสโล เมืองหลวงของประเทศนอร์เวย์

ประเทศนอร์เวย์ หรือชื่อเต็มว่า ราชอาณาจักรนอร์เวย์ ปกครองด้วยระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมมูญ ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของ ทวีปยุโรป ทางฝั่งตะวันตกของคาบสมุทรสแกนดิเนเวีย ส่วนหนึ่งของประเทศติดมหาสมุทร จึงขึ้นชื่อเรื่องความงดงามของชายฝั่งที่ยาวเหยียด นอกจากหมู่เกาะมากมายแล้ว นอร์เวย์ยังมีอาณาเขตครอบคลุมส่วนหนึ่งของทวีปแอนตาร์กติกาอีกด้วย รวมพื้นที่ทั้งหมด 385,170 ตารางกิโลเมตร ถ้าเทียบสัดส่วนก็จะมีขนาดใกล้เคียงประเทศไทยแบบตัดบริเวณภาคเหนือออก สิ่งที่แตกต่างที่สุดคือจำนวนประชากรที่มีเพียง 5,000,000 คนเท่านั้น นี่อาจเป็นที่มาของความสงบและธรรมชาติที่ยังสมบูรณ์ปราศจากการรุกรานของจำนวนประชากรที่มากเกินไปเช่นประเทศอื่น

เมื่อผ่านด่านตรวจต่างๆ เราก็มานั่งรอเรียกขึ้นเครื่องอีกครั้ง เพราะแผนการเดินทางของเราในครั้งนี้ คือมุ่งหน้าลงใต้สู่เมืองท่าเก่าแก่ เบอร์เก็น ก่อนจะเดินทางด้วยรถยนต์ย้อนขึ้นมาสู่เมืองหลวงอีกครั้ง เที่ยวบินจากออสโลไปเมืองเบอร์เก็นใช้เวลาเพียง 50 นาทีเท่านั้น ทันทีที่เดินออกจากสนามบิน เราก็พบกับอากาศที่หนาวเย็น และมี  ฝนตกพรำๆ ซึ่งดูเป็นเรื่องปกติของของเมืองที่ตั้งอยู่ใกล้มหาสมุทร ภูมิอากาศแบบ Oceanic Climate (อบอุ่นชื้นภาคพื้นสมุทร) 
ทำให้เบอร์เก็นมีอุณหภูมิสูงกว่าภูมิภาคอื่นในนอร์เวย์ และมีปริมาณ
น้ำฝนมากกว่าปกติ แม้เบอร์เก็นจะเป็นเมืองใหญ่อันดับสองรองจากเมืองหลวงอย่างออสโล แต่ก็ยังสงบเงียบมากทีเดียวถ้าเทียบกับเชียงใหม่หรือกรุงเทพฯ

หลังจากเก็บของเข้าที่พัก เราเดินลัดเลาะไปตามถนน Strandgaten (แสตรนด์เกเต็น) ถนนสายหลักและเป็นแหล่งซื้อหาสินค้าของที่นี่  ถนนปูด้วยหินก้อนใหญ่สายนี้สร้างขึ้นตั้งแต่เมื่อศตวรรษที่ 12 มีความยาวเพียง 1 กิโลเมตร ตลอดทางขนาบด้วยตึกโบราณที่เปลี่ยนผู้ครอบครองไปตามยุคสมัย ปัจจุบันกลายเป็นร้านค้าท้องถิ่นและที่ตั้งของสาขาแบรนด์เสื้อผ้าจากต่างประเทศ

ถนนมาสุดลงตรงอ่าววอเก็น (Vågen) ซึ่งเป็นที่ตั้งของท่าเรือเบอร์เก็น ท่าเทียบเรือขนาดเล็กและขนาดกลางมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรือยนต์หรือเรือใบ ส่วนหนึ่งล่องมาจากต่างประเทศ และส่วนหนึ่งเป็นของคนในพื้นที่ ด้วยภูมิประเทศที่เป็นเกาะแก่งและติดทะเล บ้านเรือนของคนที่นี่ส่วนใหญ่จึงติดชายฝั่ง ทำให้การเดินทางด้วยเรือนั้นเป็นเรื่องปกติ ถึงขนาดที่บ้านแต่ละหลังจะมีเรือยนต์ลำเล็กเป็นของตัวเอง

แต่สิ่งที่พลาดไม่ได้เมื่อมาเยือนเมืองเบอเก็น คือหมู่อาคารฮันเซ (Hanse Building) อาคารไม้โบราณสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1200 ตั้งอยู่ริมอ่าววอเก็น แต่เดิมใช้เป็นโกดังและแหล่งค้าขายของกลุ่มฮันเซ กลุ่มฮันเซหรือสันนิบาตฮันเซเป็นสมาพันธ์ที่จัดตั้งขึ้นโดยกลุ่มพ่อค้าทางทะเลของยุโรปเหนือ มีการช่วยเหลือ แลกเปลี่ยนสินค้ากันภายใต้กฎระเบียบของตนเอง รุ่งเรืองมากที่สุดในปีค.ศ. 1500 หมู่อาคารสีสดเหล่านี้ถูกไฟไหม้หลายครั้ง แต่ได้รับการบูรณะจากรัฐบาลนอร์เวย์เรื่อยมาจึงยังคงสภาพสมบูรณ์ จนได้รับสถานะมรดกโลกจากองค์กร UNESCO ปัจจุบันโกดังถูกเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ ร้านอาหาร และร้านขายของที่ระลึก หากคุณเดินเข้าไปภายในจะเห็นโครงสร้างไม้ที่ซับซ้อนแปลกตา แสดงถึงภูมิปัญญาอันล้ำลึกของชาวฮันเซ ทิวทัศน์ของใบเรือสีขาวและ น้ำทะเลครามตัดกับสีสันสดใสของอาคารไม้ ทำให้นักท่องเที่ยวอดใจไม่ได้ต้องคว้ากล้องมาชักภาพเป็นที่ระลึก จึงทำให้กลุ่มอาคารโบราณเหล่านี้กลายเป็นภาพจำอันงดงามแปลกตาของเมืองเบอร์เก็นไปโดยปริยาย

เราใช้เวลาในเมืองเบอร์เก็นเพียงสองสามวัน ก็มุ่งหน้าออกจากเมืองเบอร์เก็นด้วยรถยนต์ ลัดเลาะทิวเขาไปตามทางหลวงสาย E16 มุ่งหน้าสู่จุดแวะพักแรกคือเมืองอิดฟยอร์ด ตลอดทางเราขับข้ามสะพานแขวนมากมาย ซึ่งพาดเหนือฟยอร์ดเล็ก ๆ ที่มีนับร้อยในประเทศแถบนี้ แล้วฟยอร์ดคืออะไร?

ฟยอร์ด (Fyod) เป็นคำท้องถิ่นใช้เรียกอ่าวขนาดเล็กและขนาดใหญ่ที่เกิดจากการกัดเซาะของน้ำทะเล ฟยอร์ดเหล่านี้มีลักษณะเว้าแหว่ง   แคบยาว กินเข้าไปบริเวณแผ่นดินใหญ่ทำให้เกิดหน้าผาสูงชันตามไหล่เขา บางแห่งอาจคดเคี้ยวจนดูเหมือนเป็นลำน้ำกว้างที่ไหลทอดยาว ความพิเศษของฟยอร์ด คือ น้ำทะเลที่ไหลย้อนเข้ามาตามส่วนเว้าแหว่งนั้นอาจไกลจากมหาสมุทรจนทำให้ผืนน้ำในฟยอร์ดนิ่งเรียบปราศจากคลื่น ดูคล้ายทะเลสาบน้ำจืด

สำหรับเมืองอิดฟยอร์ดนั้น เป็นหนึ่งในฟยอร์ดขนาดใหญ่ที่สุดในภาคใต้ของนอร์เวย์ ขนาดความกว้างของมันทำให้ท่าของเมืองอิดฟยอร์ด  กลายเป็นที่จอดเทียบเรือเดินสมุทรที่บรรทุกนักท่องเที่ยวมาจากทั่วทุก มุมโลก เมืองเล็กๆ แห่งนี้จึงเต็มไปด้วยร้านอาหารและโรงแรมรองรับ  นักท่องเที่ยวจากทุกทวีป

หลังจากแวะพัก เราขับต่อขึ้นไปตามเทือกเขาลาดชันซึ่งเป็นที่ตั้ง ของ Kjeåsen Farm (ฟาร์มโคเยอัวเซ็น) ฟาร์มโบราณซึ่งตั้งอยู่บนไหล่เขา ประกอบด้วยเรือนไม้ขนาดย่อม 4 หลังและแปลงผักแบบขั้นบันได ทั้งหมดหันหน้าออกสู่ฟยอร์ดแคบยาว มองเห็นวิวทิวทัศน์งดงาม แม้ฟาร์มจะสร้างขึ้นมาหลายร้อยปีแล้ว แต่ถนนมาสู่ฟาร์มนี้เพิ่งสร้างขึ้นเมื่อ 40 ปีก่อน แต่ด้วยลักษณะเขาที่สูงชันทำให้รัฐบาลต้องเจาะอุโมงค์ใต้เขาเป็นถนน เลนเดียว กำหนดเป็นถนนเข้า-ออกสลับกันทุกชั่วโมง สวนไม่ได้

ระยะทางระหว่างเบอร์เก็นกับออสโลแม้จะยาวเพียง 462 กิโลเมตร แต่ใช้เวลากว่า 8 ชั่วโมง เหตุผลแรกคือถนนอันคดเคี้ยวที่มีโค้งหักศอกตลอดเวลา เรียกได้ว่า น่าหวาดเสียวยิ่งกว่าแม่ฮ่องสอนร้อยโค้ง เหตุผลลำดับต่อมาคือภูมิอากาศที่ฝนตกพรำๆ ตลอดทาง จึงต้องขับช้าลง เหตุผลที่สามคือระหว่างทางอาจมีหินร่วงหรือต้นไม้ล้ม และเหตุผลสุดท้าย เป็นเหตุผลที่สำคัญที่สุด ทิวทัศน์ภูมิประเทศของนอร์เวย์ที่เราขับผ่านกว่า 8 ชั่วโมงนั้นงดงามแปลกตาเสียจนอดใจไม่ได้ จะต้องหยุดรถตามจุดจอดเพื่อลงไปถ่ายภาพเก็บไว้

อาจกล่าวได้ว่า นอร์เวย์เป็นประเทศที่ทิวทัศน์ระหว่างทางนั้นงดงามเสียจนไม่รู้สึกตื่นเต้นเมื่อไปถึงสถานที่ท่องเที่ยว

3 ชั่วโมงสุดท้ายแห่งโค้งหักศอกนำเรามาสู่ที่ราบสูง Hardangervidda (ฮาร์แด็งเกอร์วิดดา) ที่ราบสูงแห่งนี้มีอาณาเขตกว่า 3,400 ตารางกิโลเมตร เกิดจากแผ่นน้ำแข็งตั้งแต่ยุคน้ำแข็งที่ละลาย และปรากฏเป็นชั้นหินและเนินเขาโอบล้อมทะเลสาบ ซึ่งจะแข็งตัวเป็นธารน้ำแข็งอีกครั้งในฤดูหนาว พืชพรรณที่นี่หลายชนิดมีมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ เนินเขาสีเทาเข้มมากมายล้วนปกคลุมด้วยต้นหญ้าและดอกหญ้าหลากชนิด ริมทางเรา
อาจเห็นฝูงแกะขนปุยยืนแทะเล็มหญ้า เราต้องชะลอให้แกะเหล่านี้ข้ามถนนบ่อยครั้ง ภูมิประเทศราบและทิวทัศน์แสนวิเศษทำให้ที่ราบสูงแห่งนี้กลายเป็นแหล่งเดินเขาของผู้รักธรรมชาติ

จุดหมายสุดท้ายของทริปนี้คือเมืองหลวงออสโล สถาปัตยกรรมโบราณ ขนาดย่อม สลับกับอาคารสมัยใหม่ที่เรียบง่ายตามสไตล์แสกนดิเนเวียน  ดูจะยิ่งขับให้ธรรมชาติอันตระการตาที่เราขับผ่านมายิ่งอลังการขึ้นไปอีก ออสโลแม้จะเป็นเมืองหลวงแต่ก็สงบเงียบไม่แพ้กับเมืองเบอร์เก็น คุณอาจไปเยือนพิพิธภัณฑ์ไวกิ้งชื่อดัง แวะไปดูหอศิลป์แห่งชาติ และโอเปราเฮาส์หรือใช้ชีวิตอย่างช้าๆ ด้วยการนั่งจิบกาแฟริมทางเพิ่มความอุ่นให้อากาศหนาว และเดินไปตามถนนสายหลักที่เชื่อมต่อถึงกันหมด อย่างไรก็ตามเราขอ การันตีว่า คุณจะแบกสัมภาระขึ้นเครื่องกลับด้วยความรู้สึกว่าการเดินทาง 12 ชั่วโมงจากประเทศไทยมาที่นี่นั้นคุ้มค่าอย่างเหลือเชื่อ

- Advertisement -