Creature of the Night
ทำความเข้าใจกับนาฬิกาชีวภาพผ่านข้อเขียนของนพ. ชัชพล เกียรติขจรธาดา และฟังวิธีการปรับตัว รับมือกับวงจรชีวิตของคนกลางคืนหลากหลายอาชีพ
มีใครเป็นอย่างนี้บ้างไหมครับ คุณเป็นคนทำงานกลางคืน เวลาหลับเวลาตื่นของคุณจึงไม่เหมือนคนอื่น แม้ว่าคุณจะพยายามนอนอย่างเพียงพอแล้ว แต่หลายครั้งคุณก็ยังรู้สึกเหมือนนอนไม่พอ ไม่สดชื่น กินอาหารก็ไม่ค่อยย่อย ท้องอืดง่าย รู้สึกเหมือนสุขภาพโดยรวมไม่ค่อยดี
หลายท่านน่าจะพอรู้ว่าอาการเหล่านี้เกี่ยวข้องกับสิ่งหนึ่งในสมองของเราที่เรียกว่า “นาฬิกาชีวภาพ” แต่เคยนึกสงสัยไหมครับว่าทำไมมนุษย์จึงมีนาฬิกาอยู่ในสมอง และทำไมแค่การที่เราหลับตื่นไม่ตรงตามพระอาทิตย์ จึงมีผลกระทบต่อร่างกายได้กว้างขวางเช่นนั้น
คำตอบของคำถามนี้เริ่มต้นขึ้นหลายพันล้านปีที่แล้วครับ
นับตั้งแต่มีพระอาทิตย์และโลกของเราเกิดขึ้นในจักรวาล โลกของเราก็หมุนรอบตัวเองและหมุนรอบพระอาทิตย์มาตลอด ผลของการที่โลกหมุนรอบตัวเองก็ก่อให้เกิดแสงและเงาที่ทาบลงบนผิวโลกหมุนวนไปเรื่อยๆเกิดเป็นสิ่งที่มนุษย์เราเรียกว่า กลางวันและกลางคืน ต่อมาเมื่อมีสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นครั้งแรกในโลกเมื่อประมาณสามพันกว่าล้านปีที่แล้ว สิ่งมีชีวิตยุคแรกก็ต้องหาทางรับมือกับโลกกลางวันกลางคืน ซึ่งมีสภาพแวดล้อมต่างกันอย่างสิ้นเชิง กลางวันมีแดดแรง อุณหภูมิสูงแล้วยังมีรังสียูวีที่อันตรายต่อพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต พอตกกลางคืนแสงยูวีลดลงแต่อุณหภูมิก็อาจจะต่ำจนไม่เหมาะกับการทำงานของเอนไซม์ต่างๆ สิ่งมีชีวิตเริ่มแรกทั้งหลายจึงต้องมีกลไกหรือพฤติกรรมที่ปรับให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่ต่างกันมากเช่นนี้
ต่อมาโลกยิ่งอยู่ยากขึ้นไปอีกเพราะเมื่อประมาณสองพันล้านกว่าปีก่อนมีสิ่งมีชีวิตชนิดเล็กๆชนิดหนึ่งค้นพบวิธีการนำแสงอาทิตย์มา “สังเคราะห์แสง” ขึ้น ผลของการสังเคราะห์แสงนี้ก่อให้เกิดก๊าซพิษชนิดใหม่ที่มีชื่อว่าออกซิเจน ปนเปื้อนไปในบรรยากาศ ก๊าซออกซิเจนที่อันตรายนี้ก่อให้เกิดการสูญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตต่างมากมายไปทั่วโลก ยิ่งช่วงกลางวันที่แสงแดดจัดๆ ออกซิเจนยิ่งมีความเข้มข้นสูง กลางวันซึ่งมีแสงแดดสำหรับสังเคราะห์แสงสูงจึงอันตรายมาก และเป็นช่วงเวลานี้เองที่มีสิ่งมีชีวิตบางอย่างวิวัฒนาการเกิดมีระบบนาฬิกาชีวภาพขึ้นมาในร่างกาย การมีนาฬิกาในร่างกายทำให้ชีวิตง่ายขึ้นมาก สิ่งมีชีวิตที่มีนาฬิกาในร่างกายสามารถรู้ว่ากลางวันที่อันตรายจะมาถึงเมื่อไหร่ จึงปรับกลไกในร่างกายให้เหมาะสมเพื่อจะรับกับช่วงเวลาที่อันตรายนั้นได้อย่างดี
ต่อมาไม่นานก็มีสิ่งมีชีวิตที่เรียนรู้วิธีการนำก๊าซพิษออกซิเจน ที่ปนเปื้อนไปทั่วโลก มาใช้ให้เป็นประโยชน์ นั่นคือนำออกซิเจนมาเผาอาหารที่กินเข้าไป เกิดเป็นสิ่งที่เรารู้จักทั่วไปในชื่อ“การหายใจ” ขึ้น จากนั้นมาการหนีก๊าซออกซิเจนจึงไม่จำเป็นอีกต่อไป อย่างไรก็ตามระบบนาฬิกาชีวภาพก็ยังมีประโยชน์อยู่ เพราะมาถึงตอนนี้แล้วกลไกในร่างกายของสิ่งมีชีวิตต่างๆทำงานสัมพันธ์กับการขึ้นลงของพระอาทิตย์อย่างกลมเกลียวจนยากจะแยกจากกันได้แล้ว
โลกในยุคปัจจุบัน มนุษย์ซึ่งวิวัฒนาการมาจากสิ่งมีชีวิตที่เล่าไปข้างบน เราจึงมีทั้งระบบนาฬิกาและระบบการหายใจในร่างกายและเราไม่ได้มีนาฬิกาแค่เรือนเดียว แต่มีในเกือบทุกๆเซลล์ของร่างกายนับแสนล้าน หรืออาจจะถึงล้านๆเรือนกระจายทั่วร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นในเซลล์ผม เซลล์กล้ามเนื้อ เซลล์ไต ฯลฯ และเพราะนาฬิกาเหล่านี้อวัยวะต่างๆในร่างกายจึงทำงานสัมพันธ์กันด้วยดี
เมื่อร่างกายเราเต็มไปด้วยนาฬิกา ก็มีความเป็นไปได้ที่นาฬิกาจะเดินไม่เท่ากันใช่ไหมครับ แต่โชคดีว่าเรามีนาฬิกากลางตัวหนึ่งอยู่ในสมอง ที่คอยเทียบเวลาให้กับนาฬิกานับล้านในร่างกาย โดยนาฬิกาในสมองจะคอยใช้แสงแดดจากพระอาทิตย์ที่ผ่านเข้าดวงตา เป็นตัว “จูน” หรือเทียบเวลาอีกต่อหนึ่ง ทั้งหมดนี้อาจจะพูดได้ว่าพระอาทิตย์ช่วยทำให้เซลล์ต่างๆที่ประกอบเป็นร่างกายของเราทำงานสัมพันธ์กลมกลืนกันมาช้านาน แต่แล้ววันหนึ่งเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว สิ่งที่ธรรมชาติคาดไม่ถึงก็คือมนุษย์ประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าได้!!
แต่ไหนแต่ไรมา แหล่งของแสงไฟที่เข้าตามนุษย์จะมีแค่จาก 4 แหล่งเท่านั้น ได้แก่ พระอาทิตย์ พระจันทร์ ดวงดาว และกองไฟ ที่มนุษย์ก่อขึ้น (ไม่นับหิ่งห้อย) แสงไฟใหม่ชนิดนี้ไม่เพียงส่องสว่างไม่เป็นเวลา ยังส่องสว่างได้ตลอดทั้งวันทั้งคืน และยิ่งไปกว่านั้นส่องสว่างด้วยแสงสีฟ้าได้อีกด้วย (ซึ่งกวนระบบนาฬิกาในสมองได้มาก ต่างจากกองไฟที่แสงสีแดงเด่น) จากนั้นมามนุษย์ก็เริ่มนอนดึกมากขึ้นเรื่อยๆจนเกิดการใช้ชีวิตตอนกลางคืนขึ้นมาได้อย่างจริงจัง
กลับมาที่คนทำงานกลางคืน ในทางทฤษฎีแล้วเป็นไปได้ที่เราจะจัดฉากหลอกนาฬิกาในสมอง (ด้วยผ้าปิดตาเวลานอน แว่นกันแดด แสงไฟฟ้า) ให้เหมือนว่าเราหลับตื่นตามพระอาทิตย์ แต่ในชีวิตจริงเนื่องจากสังคมในโลกปัจจุบันออกแบบมาให้เหมาะกับคนที่ตื่นตอนพระอาทิตย์ขึ้นและเข้านอนตอนพระอาทิตย์ตกดิน ทำให้หลายครั้งคนทำงานกลางคืนต้องสลับมาใช้เวลาหลับตื่นเหมือนคนทั่วไปเป็นระยะๆ ช่วงเวลาที่ต้องสลับการหลับตื่นบ่อยๆนี้อาจจะก่อให้เกิดภาวะที่เรียกว่า Social Jetlag เมื่อใดก็ตามที่เวลาหลับตื่นเปลี่ยนแปลง นาฬิกาในสมองและนาฬิกาทั่วร่างกายก็จะรวนไปพักนึง ผลคือ ระบบต่างๆในร่างกายก็จะทำงานไม่สัมพันธ์กัน ถ้าภาวะนี้เกิดขึ้นบ่อยๆนานๆ สุขภาพก็จะไม่ดีเสี่ยงที่จะป่วยได้ง่ายขึ้น
คำถามที่หลายท่านคงจะอยากรู้คือ มีทางลัดจะเอาชนะระบบนาฬิกานี้ไหม เสียใจที่ตอบว่าไม่มีวิธีที่มีประสิทธิภาพ 100% ครับ เพราะรากฐานของระบบนี้ถูกวางไว้แล้วนับเป็นพันล้านปีเชียวนะครับ
แม้ว่ามนุษย์เราจะเอาชนะธรรมชาติได้มากมาย แต่มีบางอย่างที่มนุษย์ต้องเคารพกฎของธรรมชาติอยู่ การนอนเป็นหนึ่งในนั้นครับ
Teepagorn Wuttipitayamongkol
นักเขียน นักแปล และผู้ร่วมก่อตั้ง The Matter
บางคนอาจจะทำงานกลางคืนหรือกลางวันได้อย่างเดียว แต่สำหรับผม ผมปรับเปลี่ยนชีวิตและวิถีการทำงานได้เรื่อยๆแล้วแต่สถานการณ์ครับ” แชมป์ให้สัมภาษณ์ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “งานส่วนใหญ่ที่ทำกลางคืนคืองานเขียนชิ้นงานยาวๆที่ต้องอาศัยสมาธิต่อเนื่อง ส่วนกลางวันทำงานประเภทติดต่อประสานงาน ดูแลทีม ประชุม หรือเขียนงานคอลัมน์สั้นๆที่ไม่ต้องใช้ความต่อเนื่องมาก เพราะกลางวันเป็นช่วงเวลาที่มีคนขัด หรือเรียกตลอดเวลาไม่มีชั่วโมงไหนที่สามารถทำงานชิ้นยาวๆได้ทั้งชิ้นโดยไม่ถูกรบกวน ทำให้รวบรวมสมาธิไม่ได้ในตอนกลางวันครับ”
ด้วยลักษณะงานที่หลากหลายของแชมป์ ทำให้เขามีตารางการใช้ชีวิตที่ปรับเปลี่ยนไปแล้วแต่ลักษณะงาน ณ ขณะนั้น ถ้าเป็นช่วงที่ต้องทำงานยาวๆ ผมจะนอนตีสี่ ตื่นเที่ยง แต่ถ้าไม่มีงานแบบนั้น สักตีสองก็นอนแล้ว ไม่เกินนั้น ผมต้องนอนให้ได้หกชั่วโมง ก็ชดเชยให้พอในแต่ละวันก็พอครับ เพราะถ้านอนไม่พอ ผมจะทำงานไม่ได้เลย” แชมป์บอกว่าเขาสามารถทำงานเวลาไหนก็ได้จริงๆ คือสามารถมีพลังงานทำงานได้ทุกเวลา ขอเพียงนอนให้พอเท่านั้น ในขณะที่หลายคนอาจจะมีพลังงานในเฉพาะช่วงกลางวัน ส่วนอีกหลายคนจะคิดงานออกเฉพาะหลังพระอาทิตย์ตกดินเท่านั้น เป็นโชคดีของเขาที่ชีวิตเขาไม่ใช่แบบนั้นเลย บางคนอาจจะถามว่าถ้าสามารถเป็นแบบนั้น ทำงานแบบสั่งได้ขนาดนั้น ทำไมถึงไม่ตื่นแต่เช้ามานั่งทำงานเขียนก่อนจะออกไปทำงานที่ต้องพบปะผู้คนล่ะ ผมเคยทำแล้ว แต่พบว่าพลังงานในช่วงนั้นไม่เหมาะกับการเขียนมากเท่ากับตอนกลางคืน เพราะเรารู้ตัวว่าเดี๋ยวต้องออกไปข้างนอกแล้ว ทำให้เราเขียนไม่เต็มที่มากนัก ในขณะที่กลางคืน การนอนไม่ใช่อุปสรรค เพราะเราไม่ได้นัดกับใครไว้ว่าเราจะนอนตอนกี่โมง เราเขียนจบเมื่อไหร่ค่อยนอน เป็นแบบนี้จะดีกว่าครับ”
ชั่วโมงการทำงานที่พีคที่สุดของแชมป์คือเมื่อตอนที่หนังสือเร่งส่งมากๆ เขาใช้เวลาเขียนโดยไม่นอนทั้งคืนเลยทีเดียว ผมเคยไม่นอนได้นานสุดสามวันครับ มีงีบสักชั่วโมงหนึ่งตอนกลางวันเท่านั้นครับ แต่พอย่างเข้าสามสิบ ทำไม่ได้แล้วครับ ร่างกายประท้วง ดังนั้น ช่วงที่เขียนหนังสือเร่งๆ ผมจะใช้วิธีเขียนบทหนึ่ง นอนพักชั่วโมงหนึ่ง สลับไปเรื่อยๆจนกระทั่งเสร็จ ทำแบบนี้ไม่เกินห้าวันหนังสือเสร็จเลยครับ แต่ช่วงนั้นตารางชีวิตก็ตันไปเลยครับ
พอหนังสือจบ ค่อยมาปรับจูนตารางชีวิตใหม่” อย่างไรก็ดี แชมป์ไม่ค่อยจะป่วยหนักแบบล้มหมอนนอนเสื่อเท่าใดนัก แต่เขาเป็นหวัดหรือปวดหัวนิดหน่อยอยู่บ่อยๆ
ซึ่งมักจะเกิดจากการออกกำลังกายแล้วไม่คูลดาวน์ร่างกายมากกว่า
ไม่ได้เกิดจากการนอนดึก และอาการเหล่านั้นจะหายไปเองเมื่อเขาพักผ่อนชดเชยเพียงพอ
แชมป์บอกว่า เขาไม่ค่อยคิดถึงผลเสียต่อร่างกายที่มาจากการทำงานขนาดนี้ เพราะใจเขามีแต่เรื่องงานเท่านั้น หลังจากงานชิ้นนั้นๆจบลง เขาจะกลับมาจัดการกับตัวเอง ออกกำลังกาย นอนให้พอเพียง กินอาหารดีๆ แต่หลังจากอายุหลังสามสิบมา นอกจากร่างกายที่ประท้วงแล้ว ความรับผิดชอบในฐานะผู้บริหารทำให้เขาต้องมีปฏิสัมพันธ์กับทีมมากขึ้น เขามักจะเก็บพฤติกรรมการทำงานสุดโต่งแบบนี้ไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉินจริงๆ เท่านั้น ถ้าเป็นงานเขียนคอลัมน์ ปกติ เขาจะพยายามใช้ชีวิตแบบ ปกติให้ได้มากที่สุด
ถ้าเลือกได้จริงๆ คือหมายความว่าถ้าคนอื่นที่เราติดต่องานไม่ต้องย้ายมาใช้ชีวิตตามเรา ผมเลือกใช้ชีวิตกลางคืนครับ เพราะเย็นกว่า สงบกว่า งานของผมเป็นงานที่ต้องอยู่กับตัวเองเยอะมาก ผมไม่อยากจะให้ไลน์เด้งขึ้นมาตลอดเวลา มานั่งตอบเฟซบุค หรือวิ่งไปประชุม ผมอยากมีเวลาอยู่กับตัวเองเยอะๆ นั่งเขียนงานไปเรื่อยๆ ทำอะไรของตัวเองให้ได้ตลอด ถ้าผมเลือกย้ายงานมาอยู่กลางคืนได้หมด และติดต่องานกับคนอื่นในเวลากลางวันได้เท่านั้น ผมชอบจะอยู่กลางคืนมากกว่า”
FB: Champ Teepagorn
Chanakan Rattana-udom
ศิลปินและนักร้องค่ายไวท์มิวสิค ในเครือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่
หลังจากปล่อยซิงเกิ้ลเพลงฟังสบายออกมาให้เราฟังกันได้สักพัก ศิลปินเสียงดีคนนี้กำลังซุ่มเก็บตัวออกอัลบั้มเต็มให้แฟนๆฟังอยู่ในไม่ช้านี้ ในวันที่เราสัมภาษณ์เขาทางโทรศัพท์ เขาอยู่ระหว่างการเดินทางข้ามจังหวัดไปจัดคอนเสิร์ต ผมใช้ชีวิตกลางคืนหนักๆช่วงออกทัวร์คอนเสิร์ตครับ ถ้าเป็นช่วงอัดเสียง ผมทำงานถึงแค่เย็นๆหรือค่ำๆเท่านั้นครับ” อะตอมบอก ผมเป็นคนนอนค่อนข้างดึกมาตั้งแต่สมัยเรียนแล้วครับ แต่ในช่วงเดินทาง ออกคอนเสิร์ตบ่อยๆ ต้องใช้ชีวิตกลางคืนอย่างจริงจัง มีรู้สึกนิดหน่อยครับว่าร่างกายไม่โอเค แต่ก็ปรับตัวครับ นอนชดเชยให้มากขึ้น กินอาหารดีๆหลังๆ
จึงปรับตัวได้ครับ”
อะตอมชอบร้องเพลงมาตั้งแต่เด็กๆ เขาเคยหัดเล่นกีตาร์มาบ้าง แต่ใจรักในการร้องเพลงอยู่เป็นทุนเดิม เขาบอกว่าเขาโชคดีมากที่มีครอบครัวและเพื่อนๆคอยสนับสนุน การมีอาชีพเป็นนักร้องไม่ได้ทำให้ผมเจอครอบครัวน้อยลงนะครับ ไม่กระทบเลย แต่ การเดินทางเยอะๆในช่วงโปรโมทคอนเสิร์ตอาจจะกระทบบ้าง ไม่มากเท่าไหร่หรอกครับ แต่อย่างที่บอกไปว่าผมใช้ชีวิตแบบนั้นเฉพาะช่วงเดินสายโปรโมทเท่านั้น พอจบตรงนี้ผมจะไปเข้าห้องอัด ใช้ชีวิตปกติแล้วครับ”
หลังจากจบการเดินสายโปรโมทเล่นคอนเสิร์ตทั่วประเทศแล้ว ชีวิตของอะตอมจะดีดกลับมาเป็นคนใช้ชีวิตในกลางวันแบบปกติ ซึ่งเจ้าตัวบอกว่าไม่ว่าจะใช้ชีวิตแบบไหนก็ตาม ถ้าดูแลตัวเองและระมัดระวังพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่มีปัญหาอะไรแน่นอน
แม้ว่าจะนอนดึกจนชิน แต่อาชีพของอะตอมไม่ได้บังคับให้เขาทำงานกลางคืนจนเป็นกิจวัตร อะตอมยังสลับมาใช้ชีวิตกลางวันได้บ้าง เรียกได้ว่าเขาสามารถมีชีวิตทั้งสองขั้วได้อย่างดี เพียงต้องอาศัยการเฝ้าระวังและฟังเสียงของร่างกายตัวเองให้มากกว่าคนที่ใช้ชีวิตอย่าง ปกติ’ เล็กน้อยเท่านั้น
FB: Atom (@atomoatomofficial)
Chatchai Wisitsak
ดีเจ
ดีเจไท้ หรือที่รู้จักกันในวงการว่า Taidy เป็นดีเจประจำผับ หลักๆเขาทำงานที่ DND และ Gravity คนในวงการกลางคืนจะคุ้นหน้าคุ้นตาเขากับตัวเอเลี่ยนในคลิปไวรอลที่เล่นเป็นเสมือนตัวเขาในบทบาทดีเจ ไท้ใช้ชีวิตกลางคืนแบบนี้มาตั้งแต่สมัยที่เขาเป็นดีเจสมัครเล่นตอนเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว ถ้าทำงานเป็นดีเจจริงๆได้ประมาณสี่ห้าปีแล้วครับ แต่ผมเป็นดีเจในอีเวนต์ต่างๆมาตั้งแต่สมัยเรียนแล้วครับ เริ่มต้นคือการไปจัดปาร์ตี้ตามร้านอาหารกับเพื่อนๆ เชิญคนโน้นคนนี้มา แล้วประสบความสำเร็จ เริ่มเป็นที่รู้จัก ได้มีงานเข้ามาเรื่อยๆ จนกลายมาเป็นอาชีพจริงจังครับ”
ด้วยลักษณะงานของไท้ ทำให้เขาไม่เคยได้ทำงานตอนกลางวันเลย แต่เขาออกตัวว่าเขาเป็นคนนอนค่อนข้างน้อยเป็นปกติอยู่แล้ว วันทำงาน ผมนอนประมาณตีสี่ สิบโมงไม่เกินสิบเอ็ดโมงก็ตื่นแล้วครับ ตอนนี้เพิ่งอายุ 25 ปี ผมไม่คิดว่ามีผลกระทบอะไรโดยตรงต่อสุขภาพนะครับ ถ้าจะกระทบ น่าจะเป็นเพราะดื่มเหล้าสังสรรค์มากกว่าครับ ไม่เกี่ยวกับเวลานอน แต่อาจจะเพราะว่าร่างกายของผมชินกับการนอนดึกแบบนี้อยู่แล้วนะครับ แต่ถ้าอายุมากขึ้น ก็คงต้องหันมารักสุขภาพให้มากขึ้นครับ”
ในเรื่องของชีวิตส่วนตัว ไท้ยืนยันว่าความสัมพันธ์กับคนรอบข้างไม่มีกระทบอะไร เขาพบเจอและสังสรรค์กับเพื่อนฝูงได้ตลอดเวลา ผมคิดว่าผมเจอเพื่อนได้บ่อยกว่าคนที่ทำงานประจำอีกครับ เพราะผมว่างเกือบตลอดเวลา กับแฟนก็เจอช่วงบ่ายถึงเย็นก่อนเริ่มงาน บางครั้งแฟนก็ตามไปที่ทำงานด้วยครับ สำหรับผม การใช้ชีวิตแบบนี้ไม่กระทบจริงๆครับ ทุกอย่างอยู่ในโลกออนไลน์หมด เราเสพสื่ออะไรได้เหมือนเดิมครับ ไม่ตกข่าวอะไรหรอก” ไท้จบบทสนทนาด้วยน้ำเสียงหัวเราะ พลางเสริมว่า เขาตั้งใจจะทำอาชีพดีเจไปเรื่อยๆ และใช้ช่องทางออนไลน์โปรโมทตัวเอง เพราะเขาหวังจะทำเพลงของตัวเองต่อไปในอนาคต
FB: Chatchai Wisitsak
Anuphon Kariwan
Head Bartender / Mixologist
ผมเริ่มทำอาชีพบาร์เทนเดอร์มาได้ประมาณสองปีแล้วครับ ก่อนหน้านี้ผมทำธุรกิจส่วนตัวกับที่บ้าน
ใช้ชีวิตกลางวันปกติครับ” ซัน หัวหน้าบาร์เทนเดอร์และมิกโซโลจีสประจำร้าน Track 17 โครงการทองหล่อคอมมอนส์ให้สัมภาษณ์ ตอนแรกไม่คิดจะเป็นบาร์เทนเดอร์หรอกครับ แต่ไปเที่ยวที่นิวยอร์ก เจอเพื่อนที่ทำงานที่นั่น เห็นว่าเขาทำงานได้ทิปเยอะมาก เลยฝึกบ้างจริงจัง คิดว่าจะกลับไปทำงานที่นิวยอร์กบ้าง แต่พอได้ทำงานที่ประเทศไทย ก็เลยอยู่ประเทศไทยยาวเลยครับ”
ซันบอกว่า ก่อนที่เขาจะต้องใช้ชีวิตมนุษย์กลางคืนเนื่องด้วยอาชีพการทำงาน เขาเป็นมนุษย์กลางวันโดยแท้จริง ถ้าวันไหนไม่ได้เที่ยวกลางคืน สี่ห้าทุ่มก็หัวถึงหมอนแล้ว แต่สถานการณ์ชีวิตในปัจจุบันคือ เขาเลิกงานตีหนึ่ง นอนประมาณตีสองตีสาม ตื่นไม่เกินสิบโมงเช้า เขาเป็นบาร์เทนเดอร์ประจำ ไม่ต่างจากการทำงานประจำ ชีวิตเขาจึงเป็นแบบนี้ทุกวัน ตั้งแต่ทำงานแบบนี้ ได้เจอเพื่อนน้อยลงเยอะครับ เพราะหยุดไม่เหมือนคนอื่น ผมได้หยุดงานจริงๆเฉพาะวันพระเท่านั้น เลยได้เจอเพื่อนเฉพาะวันหยุดที่บังเอิญตรงกันเท่านั้น ส่วนกับแฟน แฟนเข้าใจครับ อาจจะมีง้องแง้งบ้างนิดหน่อย แต่ไม่ถือว่าเป็นปัญหาจริงจังครับ พ่อแม่ไม่มีปัญหาเลยครับ ท่านสนับสนุนผมเต็มที่เสมอ ไม่ว่าผมจะทำอะไร”
ร่างกายของซันปรับตัวจนกระทั่งสามารถทำงานกลางคืนได้อย่างไม่มีปัญหา และเขายังมองเห็นข้อดีอีกว่า เขาไม่ต้องตื่นเช้า ไม่ต้องเบียดเสียดคนจำนวนมหาศาลบนรถไฟฟ้า เดินทางสะดวก และในวันหยุด เขากลับมาใช้ชีวิตปกติกับเพื่อนฝูง แฟน และครอบครัวได้อย่างสบายไม่มีปัญหาอะไร
ร่างกายมนุษย์จะมีแรงตอนกลางวันมากกว่าอยู่แล้วครับ ดังนั้นถ้าทำงานแบบผม ต้องคอยเซฟพลังงานให้ดีๆ ถ้ารู้ว่าต้องทำงานยาวตอนกลางคืน ผมจะพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อไม่ให้แบตหมดกะทันหันระหว่างทำงานครับ”
Nicholas Pelloie
หัวหน้าแผนกครัวเบเกอรี โรงแรมเพนนินซูลา กรุงเทพฯ
เชฟนิโคลาส์ทำงานเป็นพ่อครัวเบเกอรีมาได้ 20 ปีแล้ว เขาเพิ่งมารับตำแหน่งหัวหน้าแผนกครัวเบเกอรี โรงแรมเพนนินซูลา กรุงเทพฯ ได้ปีครึ่ง เป็นครั้งแรกที่เขาได้ทำงานในประเทศไทย หลังจากเป็นเชฟเบเกอรีในทวีปเอเชียมาได้กว่า 12 ปี ผมเรียนรู้งานที่ทวีปยุโรปครับ แต่ผมชอบเอเชียมากกว่า”
ถ้าคุณคิดจะทำอาชีพเชฟเบเกอรี คุณต้องหลงใหลมันมากๆ ผมไม่คิดว่านี่คือ งาน’ หรอกครับ แต่คือสิ่งที่ผมรักที่จะทำมากกว่า” เชฟนิโคลาส์เล่าให้เราฟังว่าการเป็นเชฟเบเกอรีนั้นมีรายละเอียดปลีกย่อยในการทำงานมากมาย ทั้งการทำงานกับทีม การเตรียมงานต่างๆ รวมไปถึงการคิดค้นหาสูตรใหม่ๆเราทำงานประมาณสิบถึงสิบสองชั่วโมง งานเบเกอรีต้องเริ่มทำตั้งแต่หัววัน คือเริ่มงานกันสี่ทุ่ม และทำงานไล่ไปจนแปดโมงเช้า เพื่อให้ขนมปังต่างๆ เสร็จพร้อมเสิร์ฟเป็นอาหารเช้าให้แขกครับ ในส่วนของงานเพสทรี ไม่จำเป็นต้องทำงานกลางคืนครับ ดังนั้น ผมกับทีมจึงมีการคุยกันตลอดเวลา เพื่อสลับสับเปลี่ยนเวลาทำงานให้ทุกคน ในทีมมีความสุขมากที่สุด ส่วนตัวผมคิดว่าการทำงานกลางคืนไม่กระทบอะไรกับชีวิตผมมาก อาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ เพราะผมมีเวลาไปรับลูกส่งลูก มีเวลาอยู่กับลูกในตอนที่ไม่ทำงานได้มากกว่า แต่สำหรับทีมบางคน เขาอาจจะไม่สะดวก ก็ต้องปรับจูนกันไปครับ”
เชฟนิโคลาส์ไม่ได้ชอบหรือชังการทำงานกลางคืนเป็นพิเศษ ระหว่างการให้สัมภาษณ์ เรามองออกว่าเขาหลงใหลการอบขนมปังเสียจนกระทั่งเขาไม่ใส่ใจว่าเขาจะทำงานเวลาไหน ขอเพียงได้ทำงานเท่านั้น การสร้างสรรค์ขนมปังใหม่ๆขึ้นมา ผมจะออกไปหาแรงบันดาลใจข้างนอก ไปดูขนมปังที่คนอื่นทำ เอามาปรับเปลี่ยนส่วนผสม ขนมปังที่คุณเห็นว่าหน้าตาเหมือนกันทุกวันนั้นไม่ใช่เลยครับ มีรายละเอียดต่างๆที่ไม่เหมือนกันครับ และผมมีความสุขกับการทำขนมปังจริงๆ”
bangkok.peninsula.com
Nop Phoomthaisong
ผู้ก่อตั้งบริษัท MAYASEVEN
นพประกอบอาชีพหน้าจอที่เรียกว่า Penetration Testing หรือเรียกกันแบบเข้าใจง่ายคืองานเจาะระบบเพื่อทดสอบระบบความปลอดภัยให้กับบริษัทลูกค้า (หรือจะง่ายกว่านั้นคือ นพเป็นแฮ็กเกอร์มืออาชีพนั่นเอง) ลักษณะงานคือการทำให้ลูกค้าที่ส่วนใหญ่เป็นบริษัทใหญ่ ที่ต้องอาศัยความปลอดภัยใน ระบบไอทีมากๆ อย่างอุตสาหกรรมการเงิน การธนาคาร สายการบิน และประกันภัย ตอนนี้ผมมีลูกค้าหลากหลายครับ เพราะความปลอดภัยทางไซเบอร์ถือเป็นเรื่องสำคัญในโลกยุคปัจจุบัน”
หลังจากได้คอมพิวเตอร์เป็นของตัวเองตั้งแต่มัธยมหนึ่ง นพหลงใหลกับข่าวของแฮ็กเกอร์ และเบนเข็มเข้าสายงานทดสอบเจาะระบบเพราะสามารถใช้ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ได้หลากหลายมากกว่างานเน็ตเวิร์กอื่นๆ ตอนที่ผมยังไม่ตั้งบริษัทที่ต้องมีติดต่อกับคนอื่น ผมทำงานกลางคืนเลยครับ เหตุผลหลักๆคือเพื่อเทสต์ระบบเพื่อจะได้ไม่กระทบระบบที่ใช้งานกลางวัน ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งคือ ผมสามารถคิดหาทางเจาะระบบใหม่ๆได้ดีเวลาทำงานกลางคืน เพราะต้องมีการบิวด์อารมณ์ก่อนและต้องนั่งทำยาวๆ การทำงานกลางคืนจะไม่มีอะไรมาขัดได้ง่ายเหมือนกลางวัน จึงทำงานได้ต่อเนื่องกว่า และทำได้ดีกว่าครับ”
นพนอนประมาณตีสาม ตื่นไม่เกินสิบโมงเช้า ถ้างานบริษัทให้ทดสอบระบบโดยไม่กระทบต่อยูสเซอร์ เขาจะทำงานช่วงเที่ยงคืนถึงหกโมงเช้า แต่โดยปกติเขาทำงานตั้งแต่ตื่นนอนไปจนถึงเข้านอนอีกครั้งหนึ่ง ผมหลงใหลในด้านนี้ครับ ไม่ถือว่าเหนื่อยเลย” เขาบอก เรื่องความสัมพันธ์กับเพื่อนๆ
ไม่กระทบเลยครับ เพราะคนรอบตัวผมนอนดึกกันหมด แต่ออกตัวก่อนนะครับว่าผมเป็นคนนอนเยอะครับ วันละแปดชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ ถ้าผมนอนไม่พอ ผมจะไม่สดชื่น คิดงานไม่ออกครับ ดังนั้น ถึงผมจะทำงานกลางคืน แต่ผมก็ไม่ได้อดนอนนะครับ เวลานอนปกติจริงๆ”
www.mayaseven.com
Panupong Wannaruk
ช่างตัดต่อรายการโทรทัศน์
อีกหนึ่งอาชีพที่นั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ตลอดเวลาคือช่างตัดต่อรายการโทรทัศน์ ป๊อปเคยทำงานประจำที่บริษัทใหญ่ในฐานะช่างตัดต่ออยู่นาน ตอนนี้เขาออกมาทำอาชีพเดิมในฐานะฟรีแลนซ์ ไร้สังกัด แต่พฤติกรรมการทำงานของเขาก็ยังคงเดิมไม่เปลี่ยนไป ผมทำงานกลางคืนเป็นส่วนใหญ่ครับ เพราะเงียบ สงบ ไม่ร้อน คิดงานได้มากกว่าทำงานกลางวันครับ ถ้าเป็นงานตัดต่อนะ” ป๊อปตอบคำถามเราแบบสงวนคำพูด ผมทำงานคนเดียวตอนกลางคืน ทำเสร็จเอาไปให้ทีมดูในตอนเช้า แต่ถ้าต้องมีติดต่อกับลูกค้าหรือคนอื่นที่ต้องทำกลางวัน ก็ต้อง ทำกลางวันล่ะครับ แต่ส่วนใหญ่ถ้าปรึกษาหรือคุยงานกับคนในทีม ผมเลือกทำกลางคืนครับ”
วงจรชีวิตของป๊อปคือเข้านอนประมาณตีห้า ตื่นเที่ยง สมัยทำงานประจำ เขาเข้างานเที่ยง ทำงานถึง ห้าโมงเย็น พักกินข้าว สังสรรค์ กับเพื่อนฝูง เตะบอลตามอัธยาศัย จนล่วงถึงสี่ทุ่ม ได้เวลากลับเข้ามาทำงานต่อจนถึงตีสาม พอออกมาเป็นฟรีแลนซ์ เขาตื่นเที่ยงเช่นเคย ทำธุระติดต่องานกับคนอื่น ก่อนจะเก็บตัวทำงานหน้าจอคอมพ์ตั้งแต่ทุ่มไปจนถึงตีห้าซึ่งเป็นเวลานอน ผมใช้ชีวิตแบบนี้มาตั้งแต่เริ่มทำงานครับ ผมเคยลองพยายามทำงานกลางวัน แต่ไม่สำเร็จ เพราะง่วงและร้อน ถึงจะนอนพอ ผมก็ง่วง คิดงานไม่ออก นั่งเสียเวลาไปเฉยๆ พอทำงานกลางคืน ใส่หูฟัง อยู่กับตัวเอง คนเดียว นี่งานไหลเลยครับ”
ป๊อปบอกว่าเขาเคยคิดอยากจะปรับตัวกลับมาใช้ชีวิตกลางวันเหมือนคนอื่นดูบ้าง แต่ไม่เห็นผล เขาคิดงานตอนกลางวันไม่ออกจริงๆ ดังนั้นเขาจึงเลือกใช้ชีวิตกลางคืนอย่างเต็มใจ ความสัมพันธ์กับครอบครัวไม่กระทบเลยครับ ผมว่าไม่เกี่ยวกันเลยนะครับ ในส่วนของความสัมพันธ์กับแฟน เขาทำงานคล้ายกับผม ชอบทำงานกลางคืนเหมือนกัน ใช้ชีวิตแบบนี้มาได้แปดปีแล้วครับ คงเปลี่ยนลำบากแล้วล่ะ”