“หากพวกเขาเกิดในประเทศอเมริกา พวกเขาจะกลายเป็นวงดนตรีที่สำคัญที่สุดบนโลกใบนี้” คือคำประกาศกร้าวของ Gene Simmons แห่งวง KISS เมื่อเขารู้จัก X Japan วงดนตรีเฮฟวี่เมทัลผู้เปลี่ยนแปลงเส้นขอบฟ้าของวงการดนตรีญี่ปุ่น (และวงการดนตรีทั่วโลก) ไปตลอดกาล
เราขออนุญาตข้ามไปไม่เล่าเรื่องความสำคัญของ X Japan ต่อวงการดนตรี วัฒนธรรม และสังคมของญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นการให้กำเนิดกระแสใหม่ Visual Kei การเป็นผู้นำในเรื่องแฟชั่น การเป็นไอดอลให้นักดนตรีรุ่นใหม่ๆ ของญี่ปุ่นให้ได้ก็อปปี้ รวมไปถึงการเป็นต้นแบบของวงดนตรีที่ใส่ใจแฟนแบบที่ดนตรีฝั่งอเมริกาหรือยุโรปแทบจะไม่เคยมีอยู่ในหัว (นี่ขนาดข้ามแล้วนะ) ไปพูดเรื่อง ‘อารมณ์’ ที่เกิดขึ้นยามชมสารคดีเรื่องนี้เลย
ออกตัวนะว่า (1) เราไม่ได้รับเงินจากค่ายหนัง (2) เราไม่ได้เป็น ‘ติ่ง’ X Japan จนถึงขั้นจะฆ่าตัวตายตามฮิเดะในตอนนั้น และ (3) เรารู้จักวงนี้ไม่มากไปกว่าสโลแกน We Are X (และท่าแอ็กชั่นอันเป็นเอกลักษณ์) เพลง Endless Rain และเพลง You Say Anything ที่ทำนองไปคล้ายกับเพลงไทยเพลงหนึ่งของค่ายเพลงใหญ่ในประเทศเราอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น เราจึงเข้าไปดูภาพยนตร์เรื่องนี้แบบหัวโล่งๆ ไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่าการเข้าไปชมภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่เล่าถึงวงดนตรีที่โด่งดังในยุคที่เรายังหัวโปก โลกใส และเชื่อมั่นในความฝัน
แต่เมื่อเราได้เข้าไปนั่งรับรู้เรื่องราวที่เล่าผ่านสายตาของโยชิกิ มือกลอง มือเปียโน และนักแต่งเพลงหลักของวง ได้สัมผัสถึงอารมณ์ ความเศร้า ความคับแค้นใจ ความสับสน ความเจ็บปวดที่เขาต้องเผชิญตั้งแต่วัยเยาว์ และมีเพียงดนตรีเท่านั้นที่จะสามารถเยียวยาความเจ็บปวดของเขา เพื่อให้เขาก้าวข้ามผ่านมันไป และใช้ชีวิตต่อไปได้ เราได้เข้าใจถึง ‘ความเจ็บปวด’ ทางร่างกายจากข้อจำกัดของเขา เมื่อเขาต้องขึ้นแสดงบนเวที ทุกครั้ง เขาจะต้องทนกับความเจ็บปวดทรมานทั่วสรรพางค์กาย แต่นั่นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย เมื่อเทียบกับว่า แท้จริงแล้ว ความเจ็บปวดทางร่างกายนั้นคือ ‘เครื่องมือ’ ที่เขาใช้ต่อสู้กับความเจ็บปวดทางจิตใจที่ถาโถมเข้ามาหาเขา “บางครั้งผมสงสัยว่าผมมาทำอะไรที่นี่ ผมรู้สึกราวกับว่าผมกำลังหาเหตุผลที่จะ … ไม่ตาย” คือคำพูดสุดกินใจที่สะท้อนก้องอยู่ในหูเราหลังจากที่เราออกจากโรงมาแล้ว
โยชิกิคือคนที่แบกรับความเศร้า ความเจ็บปวดไว้อย่างมากมายมหาศาล เขาถ่ายทอดความเจ็บปวดเหล่านั้นออกมาผ่านเสียงเพลง ท่วงทำนอง และการแสดงบนเวที ซึ่งแฟนเพลงข้างล่างนั้นสามารถจับได้ถึงอารมณ์เหล่านั้น บวกกับการดิ้นรนของโยชิกิที่จะมีชีวิตอยู่ “เพราะผมเชื่อว่าการฆ่าตัวตายเป็นการกระทำที่เห็นแก่ตัวมาก” เขาเคยพูดไว้ นั่นทำให้บทเพลงของเขากลายเป็น ‘สรณะ’ ให้กับแฟนๆ หลักล้านคนทั่วโลก และตัวเขาเองก็ได้กลายเป็น ‘ศาสดา’ หรือที่พึ่งพิงของเหล่าจิตวิญญาณอันบอบช้ำ เพราะบทเพลงของ X Japan นั้นพร่ำบอกกับทุกคนว่า แม้ว่าจะต้องมีชีวิตผ่านความเจ็บปวด แต่เราก็ต้องมีชีวิตต่อไปให้ได้
และทันทีที่ออกมาจากโรงภาพยนตร์เรื่องนี้ … มุมมองต่อชีวิตและปัญหาของเราก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง และเราก็หวังว่ามุมมองของคุณจะเปลี่ยนไปเช่นกัน
We Are X เข้าฉายในโรงภาพยนตร์เครือ SF แบบจำกัดโรงแล้วตั้งแต่วันนี้
ตรวจสอบรอบฉายได้ที่ FB: Documentary Club และ www.sfcinemacity.com