ลอปติมัมได้มีโอกาสสั้นๆ ในการเข้าฟังการสัมภาษณ์กลุ่มของเฉินหลง และสแตนลีย์ ตง นักแสดงและผู้กำกับภาพยนตร์ Kung Fu Yoga – โยคะสู้ฟัด แม้ว่าเราจะไม่ได้บทสัมภาษณ์เอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะของเล่มเรา แต่ในงานแถลงข่าวนั้น มีเรื่องราวของเขาที่ล้วนแล้วแต่ ‘ดีต่อใจ’ ของเราที่เราอดไม่ได้ที่จะนำมาเล่าต่อกันฟังจริงๆ
สารภาพว่าเราไม่ได้เป็นแฟนพันธู์แท้ของเฉินหลง หรือภาพยนตร์ของเขา แต่เราก็รู้ว่าเขาคือใคร รู้ว่าเขาทำภาพยนตร์แบบไหน และรู้ว่าเขายิ่งใหญ่แค่ไหนในวงการ แต่สิ่งที่เราไม่รู้ และไม่คาดคิดว่าจะได้รับจากการมาเจอเขาครั้งนี้คือ ความอบอุ่นใจหลังจากได้รับฟังเรื่องราวของเขาผ่านการสัมภาษณ์โปรโมทภาพยนตร์แอ็กชั่นคอมเมดี้เรื่องนี้
เฉินหลงเคยมาอยู่ที่แถวเยาวราชตอนเขาอายุเก้าขวบ และเขาก็ได้มีโอกาสไปๆ มาๆ ในประเทศไทยเพราะหน้าที่การงานอยู่หลายครั้ง เขาชอบทานมะพร้าว ชาดำเย็น ข้าวผัด และต้มยำไก่ (รวมไปถึงทุเรียนด้วย) เขาบอกว่าเขาเคยได้เรียนภาษาไทย และเรียนมวยไทย มาจนถึงวันนี้ แม้เขาจะพูดภาษาไทยไม่ได้แล้ว แต่มวยไทยที่เขาเคยฝึกฝนไปนั้นไปเป็นส่วนหนึ่งในอาชีพการงานและตัวตนของเขาในปัจจุบัน
เมื่อนักข่าวถามถึงเรื่องรางวัลออสการ์เกียรติยศที่เขาได้รับ และออสการ์ตัวนั้นก็กลายเป็นความภาคภูมิใจของคนเอเชียทั้งทวีป เราแอบคิดว่าเขาคงจะตัวพองด้วยความภาคภูมิใจ แต่คำตอบที่ได้ฟังนั้นกลับทำให้เราประหลาดใจยิ่งกว่าเจ้าตัวเสียอีก “ผมประหลาดใจมากครับ คือ เมื่อก่อน เราเป็นแค่คนทำภาพยนตร์แอ็กชั่นราคาถูก เป็นแค่ดาราแอ็กชั่นคอมเมดี้ คุณไม่เคยคิดหรอกว่าคุณจะได้รับรางวัลอะไรได้เลย โดยเฉพาะรางวัลแบบนี้ ตอนที่ผมได้รับโทรศัพท์ ผมประหลาดใจมาก พอไปรับรางวัลก็ตื่นเต้นนะครับ แต่พอกลับมาที่ห้อง เอารางวัลมาวางไว้ที่พื้น หลับไป ตื่นมาก็ลืมหมดแล้วครับ สำหรับผม ก็เหมือนกับการพลิกหน้ากระดาษอีกหนึ่งหน้า จบไปอีกบทหนึ่งเท่านั้น ผมกลับมาที่เอเชีย ทำหนังของตัวเองต่อไป ทำเหมือนเดิม ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปเลยครับ”
นี่เป็นจุดเริ่มต้นการสัมภาษณ์ที่เอาเราอยู่หม้ดจริงๆ ทัศนคติสั้นๆ ของเขาที่มีต่อเปลือกนอกอย่างรางวัลนั้นทำให้เราที่เคยมองเขาในฐานะคนทำหนังตลกเอาฮาเปลี่ยนไปเป็นคนที่น่าสนใจขึ้นอีกมาก เราตั้งใจฟังเขาสัมภาษณ์มากขึ้น และเราก็ได้เรียนรู้ว่า คุณสมบัติด้านบวกแบบ ‘เอเชียๆ’ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานหนัก ความกตัญญู ความอ่อนน้อมถ่อมตน และความอดทนขยันขันแข็งนั้นล้วนแล้วแต่ปรากฏอยู่ในตัวดาราผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ ก็ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดเขาถึงอยู่ยงคงกระพันมาในวงการได้นานขนาดนี้
“สิ่งที่ทำให้ผมมีความสุขคือ ผมทำหนังมาตลอด 56 ปี ผมเชื่อว่าทุกคนในที่นี้โตมากับภาพยนตร์ของผมกันทั้งนั้น ผมจำได้ว่า เมื่อนานมาแล้ว ตอนที่ผมอยู่ฮอลลีวูดใหม่ๆ เพิ่งจะเริ่มทำภาพยนตร์ ไม่มีใครฟังผมเลย ตอนที่ผมนำเสนองานแอ็กชั่นแบบผม ไม่มีใครซื้อเลย เพราะผมแอ็กชั่นแบบเจ็บจริง ฮอลลีวูดบอกว่า นี่ไม่ใช่ภาพลักษณ์ของฮีโร่ ถามผมว่าทำไมผมเลือกทำคอมเมดี้ ไม่มีใครฟังผมเลย เห็นว่าผมเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง และยืนยันจะให้ผมทำตามขนบฮอลลีวูด คือ ชกเสร็จแล้วต้องทำท่าไม่เจ็บ ต้องกร่าง แต่นั่นก็ไม่ใช่ตัวผมเลย แต่ตอนนี้สามสิบปีต่อมา ทุกคนยอมรับแอ็กชั่นแบบผม ใช่ไหม สิ่งที่ผมทำมาตลอด วันหนึ่งต้องประสบความสำเร็จเข้าจนได้ นั่นคือสิ่งที่ผมพยายามบอกกับผู้ชมและแฟนๆ ทุกคนว่า เขาให้ออสการ์กับผม ไม่ใช่เพราะสิ่งที่ผมทำในวันนี้ ไม่ใช่เมื่อปีที่แล้ว แต่เป็นเพราะผลงานตลอดชีวิตของผม แล้วผมก็รู้ว่าทุกคนเคารพในสิ่งที่ผมทำมาโดยตลอด นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ผมได้รับรางวัลออสการ์ในครั้งนี้ ผมทำสิ่งที่ตัวเองเชื่อมั่นอย่างต่อเนื่อง แล้วโลกก็จะเห็นเอง” เมื่อเขาพูดจบ สื่อมวลชนทุกคนในห้องพร้อมกันปรบมือโดยไม่ได้นัดหมาย และเมื่อล่ามแปลคำพูดของเขาจบลง เขาก็ชมล่าม พร้อมทั้งย้ำกับทุกคนอีกครั้งว่า “ผมหมายความตามที่ผมพูดจริงๆ นะครับ วันหนึ่งคุณจะกลายเป็นคนสำคัญไปเอง ผมจำได้ว่าอาทิตย์ที่แล้ว ผมได้ไปสัมภาษณ์ที่หนึ่ง มีกล้องวางอยู่เยอะแยะเลย ระหว่างที่ให้สัมภาษณ์ ผมก็มองไปรอบห้อง ผมเห็นตากล้องคนหนึ่งเอากล้องวาง แล้วก็นั่งเล่นโทรศัพท์ ตลอดการสัมภาษณ์ ผมก็คิดในใจว่า ตากล้องคนนี้ไม่มีวันเป็นอะไรไปได้นอกจากตากล้องราคาถูก เพราะเขาไม่มีวันที่จะปรับปรุงตัวเอง ไม่ว่าคุณจะทำอาชีพอะไร เป็นสื่อ เป็นนักแปล เป็นตากล้อง กรุณาตั้งใจทำงานทุกวัน เพราะทุกวันที่ผ่านไปคุณจะได้เรียนรู้อะไรสักอย่าง และวันหนึ่ง คุณก็จะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนั้นๆ ไปเอง ถ้าคุณเพียงแต่ทำไปวันๆ ทั้งชีวิตคุณก็ไม่มีอะไรดีขึ้นหรอก”
นั่นถึงขั้นทำให้เราและตากล้องของเราอมยิ้ม พวกเราไม่ได้เล่นมือถือ แต่พวกเรากำลังตั้งใจฟังเขาพูดทุกคำ และกำลังรู้สึกดีเป็นอย่างมากที่มาได้ยินคำพูดของเขาด้วยตัวเองในวันนี้ หลังจากนั้นการสัมภาษณ์ก็โยงเข้าสู่เรื่องภาพยนตร์ Kung Fu Yoga – โยคะสู้ฟัด ที่เข้าฉายไปเมื่อวันที่ 26 มกราคมต้อนรับตรุษจีนไปแล้ว ซึ่งจากบทสัมภาษณ์ของเขาและสแตนลีย์ผู้กำกับ ทำให้เรารู้ว่า ถึงแม้ว่าภาพยนตร์ของเขาจะดูเป็นภาพยนตร์ตลกเบาสมอง แต่กระบวนการสร้างนั้นไม่ได้เบาตามไปเลย เฉินหลงและสแตนลีย์คิดพล็อตใหม่ เรื่องราวใหม่ คิวบู๊ใหม่ตลอดเวลา เพื่อให้ผู้ชมได้มีอะไรใหม่ๆ ในการรับชมภาพยนตร์ของเขา และแต่ละฉากที่เขาถ่ายทำนั้น ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหน หรือมีอุปสรรคเสี่ยงตายเพียงไร ทั้งคู่ก็ยืนยันที่จะถ่ายทำให้ประสบความสำเร็จจนได้ ยิ่งทำให้เราคิดเลยว่า นอกเหนือไปจากความเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองทำแล้ว การมีทีมงานที่เข้าขากันและสามารถถ่ายทอดความคิดออกมาได้นั้นก็ถือเป็นเรื่องที่ดีต่อใจเป็นอย่างมาก “ทุกปี ผมพยายามทำภาพยนตร์ใหม่ๆ เปลี่ยนคาแร็กเตอร์ใหม่ๆ แต่แอ็กชั่นคอมเมดี้แบบนี้ที่สามารถดูได้ทั้งครอบครัวแบบไม่มีพิษไม่มีภัยนั้นไม่ค่อยมีในตลาดมากนัก หนังแอ็กชั่นเลือดสาดมีอยู่มากมาย หรือคอมเมดี้แบบสกปรกๆ ก็มีเยอะ แต่หนังแบบไร้ความรุนแรงแบบนี้ก็เป็นแนวภาพยนตร์ที่ผมถนัดมากที่สุด” เฉินหลงปิดท้าย
ภาพยนตร์เรื่อง Kung Fu Yoga – โยคะสู้ฟัดเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ตั้งแต่วันที่ 26 มกราคมเป็นต้นไป