No Shave November
คุณอาจเคยได้ยินวลีนี้ หรือเห็นผ่านๆ ตาในโลกออนไลน์ แวบแรกที่เห็นก็เข้าใจว่า คงเป็นการนึกสนุกของผู้ชายที่ชวนกันไม่โกนหนวดตลอดเดือนพฤศจิกายน แต่มองลึกลงไปอีกนิดก็คุณมีคำถามเดียวกับเราว่า ทำไมต้องพฤศจิฯ? ทำไมต้องหนวด? แล้วหนวดกับเดือนนี้มันเกี่ยวกันตรงไหน? มันน่าจะมีเหตุผลมากกว่านั้น แค่นึกก็สนุกแล้ว นั่นน่ะสิ ลอปติมัมก็คิดเช่นนั้น
เราใช้เวลาในเดือนตุลาคมที่เพิ่งผ่านไป ค้นคว้าหาข้อมูลมาแจกแจง ตีแผ่ และชี้แนะ ให้คุณไว้หนวดตลอดเดือนอย่างเข้าใจ หนวดกลับกลายเป็นมากกว่าความโดดเด่นของใบหน้า แต่เชื่อมโยงก้ับประวัติศาสตร์และเศรษฐกิจ!
Beard is Back
ไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราเห็นนายแบบบนรันเวย์ปรากฏตัวพร้อมกับหนวดยาวเฟิ้ม กอปรกับกระแสฮิปสเตอร์ที่สาวๆ หลงใหลผู้ชายไว้หนวดเพราะดูอบอุ่นดูเป็นธรรมชาติ ปราศจากการปรุงแต่ง เว็บไซต์รวมความบันเทิงของฝั่งตะวันตกอย่าง www.9gag.com มีการโพสต์รูปรณรงค์เรื่อง No Shave November เชิญชวนให้ผู้ชายละเว้นจากการโกนหนวดตลอดเดือนพฤศจิกายน ซึ่งตรงกับฤดูหนาว ฟังเผินๆ เหมือนเป็นความเกรียนเฉพาะกลุ่ม แต่เมื่อดูอีกทีกลับพบว่า มีเรื่องราวปูมหลังที่น่าสนใจยิ่งนัก
Movember
เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 1999 ชายหนุ่มกลุ่มหนึ่งในออสเตรเลีย เกิดปิ๊งไอเดียขณะอยู่ในผับ (อาจจะเมา) ว่าเขาต้องไว้หนวดตลอดเดือนพฤศจิกายนเพื่อการกุศล โดยตั้งใจจะระดมทุนเพื่อบริจาคให้องค์กรช่วยเหลือสัตว์ที่ถูกทารุณกรรม ชายหนุ่ม กลุ่มนี้เองยังได้คิดค้นคำว่า Movember ขึ้น โดย ตัว M นั้นมาจาก Moustache ที่แปลว่าหนวด นำมาสมาสกับคำว่า November ที่แปลว่า เดือนพฤศจิกายน เรื่องราวครั้งนั้นออกอากาศในโทรทัศน์ไปทั่วประเทศ
ห้าปีต่อมา เหตุเกิดที่ออสเตรเลียอีกเช่นเคย มีคนกลุ่มหนึ่งจัดงานโดยให้ชายหนุ่ม 30 คนมาไว้หนวดตลอดเดือนพฤศจิกายน เพื่อระดมทุนและสร้างความเข้าใจต่อโรคมะเร็งต่อมลูกหมากที่พบเฉพาะในเพศชาย พ่วงด้วยความเข้าใจเรื่องโรคซึมเศร้าที่สมัยนั้น ยังไม่แพร่หลายนัก ปรากฏว่าคราวนี้กลับประสบความสำเร็จเสียจนกลายเป็นต้นแบบให้องค์กรเพื่อผู้ชายในประเทศอื่นๆ หันมา ทำตามใช้วิธีนี้มาระดมทุนเพื่อการกุศล
But Why Beard?
แต่ทำไมต้องใช้หนวดล่ะ ก่อนจะตอบคำถามนี้เห็นทีเราจะต้อง
ย้อนกลับไปถามถึงเหตุผลที่หนวดกลายเป็นสัญลักษณ์
ของเพศชายแม้ผู้ชายส่วนใหญ่สมัยนี้ไม่ไว้หนวด Charles Darwin (ชาร์ลส์ ดาร์วิน) นักธรรมชาติวิทยาเจ้าของทฤษฎีวิวัฒนาการสมัยใหม่อันโด่งดังตั้งข้อสังเกตว่า หนวดซึ่งจะงอกเมื่อชายถึงวัยเจริญพันธุ์ อาจเป็นตัวบ่งชี้ถึงสภาพร่างกายของชายที่ร่างกายพร้อมสมบูรณ์สืบพันธุ์ เป็นการแสดงให้ เพศหญิงเห็นว่าร่างกายเขาแข็งแรงพอ ในแหล่งอารยธรรมโบราณนั้นให้ความหมายแก่หนวดแตกต่างกันไป
[av_slideshow size=’no scaling’ animation=’slide’ autoplay=’false’ interval=’5′ control_layout=’av-control-default’ av_uid=’av-1on6opt’]
[av_slide id=’13705′ av_uid=’av-10i8jb5′][/av_slide]
[av_slide id=’13707′ av_uid=’av-rf2ue9′][/av_slide]
[/av_slideshow]
ในวัฒนธรรมอินเดียโบราณผู้ชายนิยมไว้หนวดยาวเฟิ้มเพราะเชื่อว่า เป็นสัญลักษณ์ของความสง่างามและสติปัญญา หากผู้ใดกระทำผิดเรื่องชู้สาว บทลงโทษคือการตัดหนวดต่อหน้าสาธารณะชน หนวดนั้นศักดิ์สิทธ์เสียจนหากใครติดหนี้ ก็สามารถตัดหนวดไปไถ่ได้ ในขณะที่ลัทธิขงจื้อเชื่อว่า คนไม่ควรตัดแต่งหรือปรับเปลี่ยนร่างกายที่ธรรมชาติให้มา การไว้หนวด เล็บ และผมยาวจึงถือเป็นการเคารพธรรมชาติ ส่วนทางฝั่งตะวันตก หนวดในวัฒนธรรมกรีกโบราณแสดงถึงความแข็งแกร่งของผู้ชาย ชาวสปาร์ตันนั้นลงโทษนักรบที่ขี้ขลาดด้วยการโกนหนวดเขาทิ้ง ชาวกรีกจะโกนหนวดโดยสมัครใจก็ต่อเพื่ออาลัยแก่คนตายเท่านั้น
ในปัจจุบันการไว้หนวดดูจะเป็นเรื่องของกระแสนิยม แต่บางศาสนา เช่น ศาสนาซิกข์ยังให้สาวกไว้หนวดเพราะเชื่อว่าเป็นการปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้าที่ประทานหนวดมาให้พร้อมกับส่วนอื่นของร่างกาย
Beard as an Indicator
บทวิจัยชิ้นหนึ่งตีพิมพ์ในวารสารของราชสมาคมแห่งชีววิทยา สหราชอาณาจักรนำเสนอทฤษฎีการไว้หนวดสั้นยาวของผู้ชายนั้นเกี่ยวพันกับทฤษฎีวิวัฒนาการของชาร์ลส์ ดาร์วิน นักวิจัย ตั้งข้อสังเกตว่า กระแสการไว้หนวดนั้นมีรูปแบบซ้ำๆ เสมอคือ เมื่อคนนิยมไว้หนวดมีจำนวนมากและเป็นส่วนใหญ่ในสังคม กระแสความชอบผู้ชายที่โกนหนวดจะเป็นใหญ่ และเมื่อผู้ชายโกนหนวดมีจำนวนมากและกลายเป็นส่วนใหญ่ กระแสชอบผู้ชายไว้หนวดจะกลับมาเป็นใหญ่ สลับกันไปเช่นนี้เสมอ กล่าวคือ ผู้ชายที่ไว้หรือโกนหนวดจะมีเสน่ห์ดึงดูดก็ต่อเมื่อเขานั้นเป็นส่วนน้อย เพราะแสดงให้เห็นว่า เขามีลักษณะพิเศษที่โดดเด่นกว่าสมาชิกอื่นในเผ่าพันธุ์ พ้องกับข้อสันนิษฐานว่า สิ่งมีชีวิตต้องวิวัฒนาการเพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ตน
อีกมุมมองหนึ่งที่น่าสนใจคือการใช้หนวดเป็นตัวบ่งชี้สภาพเศรษฐกิจในเวลานั้น ช่วงใดที่เศรษฐกิจตกต่ำ อย่างเช่นในตอนนี้ ยอดขายมีดโกนและครีมโกนหนวดกลับลดลงอย่างน่าตกใจ หนึ่งในเหตุผลคือ ชายผู้ตกงานไม่จำเป็นต้องโกนหนวด! อีกด้านหนึ่ง การไว้หนวดยังแสดงให้เห็นถึงอิสรภาพและความมั่งคั่งเป็นนายตนของผู้ไว้ เพราะเมื่อใดที่เขาต้องเข้าบริษัทเพื่อรับใช้ทุนนิยม เมื่อนั้นเขาต้องโกนหนวดให้เกลี้ยงเกลาตามกฎบริษัท ยิ่งไว้หนวดเฟิ้มยิ่งแสดงให้เห็นถึงเสรีภาพในการใช้ชีวิตของเจ้าของหนวด นี่อาจเป็นเหตุผลที่เหล่าฮิปเสตอร์ผู้ใช้ชีวิตอย่างละเมียดละไมนิยมไว้หนวด
ทั้งหมดนี้แค่ส่วนเล็กๆ จากเรื่องราวของหนวดที่ชวนให้คิดและฉงนสงสัยไปไม่รู้จบ เอาเป็นว่า หลังจากอ่านแล้วคุณคงจะพอเห็นภาพความสำคัญของหนวดบ้าง แต่เราคงบอกคุณไม่ได้หรอกว่า คุณควรไว้หนวดหรือเปล่า ทางที่ดีที่สุดลองหันไปถามคนข้างกายคุณดูแล้วกันว่าเขาชอบแบบไหน
Beard Styles
-Bandholz
ทรงหนวดแบบตะวันตกที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะเซอร์ฯ แต่ก็เป็นระเบียบเรียบร้อย ใช้เวลาไว้ประมาณ 2 เดือนขึ้นอยู่กับแต่ละคน ดูแลโดยใช้กรรไกรเล็ม
-Stubble
ทรงนี้ดูจะได้รับความนิยมมากในหมู่ดาราฮอลลีวูด เพราะนอกจากจะใช้เวลาไว้ไม่นานแล้ว ยังช่วยเสริมสันกรามให้คมชัด เหมาะกับทั้งผมสั้นและผมยาว
-Goatee
แปลภาษาไทยว่า เคราแพะ ได้รับความนิยมไม่แพ้กันเพราะไว้ง่าย เหมาะสำหรับชายหนุ่มที่ไม่เคยไว้หนวดแต่อยากลองเปลี่ยนลุค ตัดแต่งด้วยมีดโกนและกรรไกร
-Anchor
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ Tony Stark ในภาพยนตร์สุดฮิตเรื่อง The Iron Man พระเอกสุดหล่อไว้หนวดทรงนี้ ช่วยเพิ่มความเจ้าชู้กรุ้มกริ่มได้มากทีเดียว
-Verdi
ชื่อมาจากนามสกุลของนักแต่งเพลงชาวอิตาเลียนที่ไว้หนวดทรงนี้เป็นคนแรกเมื่อ 200 ปีก่อน ทรงนี้จึงสะท้อนถึงความเท่แบบอิตาเลียนไปโดยปริยาย
-full Beard
ทรงหนวดโบราณที่กลับมานิยมอีกครั้งในศตวรรษนี้ ฟูลเบียร์ดแบบดั้งเดิมจะไว้หนวดเชื่อมกับจอนเหมาะสำหรับชายที่มีหนวด หนาจริงๆ มิฉะนั้นจะตลกน่าดู