ประเทศญี่ปุ่นเองก็เสพวัฒนธรรมอเมริกันตั้งแต่การเข้ามาของของร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดชื่อดังและไก่ทอดผู้พันในช่วงยุค ’70s ที่มีเพียงไม่กี่แห่งในโตเกียว เรื่อยมาจนกระทั้งกาแฟนางเงือกและโดนัท แต่เมื่อร้านเหล่านี้ขยายสาขาไปทั่วเมือง ทำให้คนในประเทศเริ่มเบื่อกับประสบการณ์เดิมๆ และพยายามมองหาอะไรที่แปลกใหม่ให้กับตัวเองบ้าง
แต่จะทำอย่างไรได้ เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงที่ญี่ปุ่นกำลังก่อร่างสร้างประเทศ จึงไม่แปลกใจที่คนญี่ปุ่นในยุคนั้น (และยุคนี้) เป็นคนทำงานหนักจนไม่ไมีเวลาใช้ชีวิต และมีอัตราความเครียดที่สูงมาก
วัยรุ่นยุคใหม่ของญี่ปุ่นจึงเกิดความคิดที่ว่า “ฉันไม่ต้องมีเงินเยอะก็ได้ แต่ขอให้ฉันได้ใช้ชีวิตของฉันบ้าง” ซึ่งประโยคนี้ คือประโยคที่มาจากเทรนด์ในการใช้ชีวิตของคนในย่านบรุ๊คคลินในนิวยอร์ก คือการเข้าไปในพื้นที่ที่สะท้อนรสนิยมของตัวเอง โชว์อิสระทางด้านเวลา ทำของแฮนเมดขายได้เงินเล็กๆ น้อยๆ ใส่เสื้อผ้ามือสอง (ง่ายๆ ก็ฮิปสเตอร์นั่นแหละ) เทรนด์พวกนี้ได้เข้ามาในญี่ปุ่น จนผู้ใหญ่ในประเทศเริ่มกังวลว่าในอนาคตประเทศจะเป็นเช่นไร หากวัยรุ่นยุคใหม่หันไปเปิดร้านกาแฟกันหมด
เมื่อค่าครองชีพในญี่ปุ่นสูงขึ้นและเทรนด์ที่ไม่เซ็ตตัวเสียที การหารายได้เล็กๆ น้อยๆ หรือประสบการณ์เดิมๆ อาจไม่เพียงพอต่อความต้องการอีกต่อไปแล้ว การมองอเมริกาเป็นจุดหมายใหม่จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้าย่านบรุ๊คคลินในนิวยอร์กยังแพงอยู่ละก็ … พอร์ตแลนด์ไงจะใครล่ะ
แล้วทำไมต้องเป็นพอร์ตแลนด์? พอร์ตแลนด์เดิมทีก็เป็นเมืองอุตสาหกรรมเก่า แต่เมื่อโรงงานอุตสาหกรรมนั้นย้ายฐานการผลิตหรือปิดตัวลง พื้นที่เหล่านั้นก็ถูกแปรสภาพเป็นคาเฟ่หรือร้านอาหารที่มีส่วนประกอบจากปูนเปลือย คอนกรีต โครงเหล็ก เป็นความสวยงามที่ดูไม่พยายาม เพราะองค์ประกอบทุกอย่างดูสมเหตุสมผล จึงไม่แปลกใจที่จะเห็นสิ่งก่อสร้างและการตกแต่งที่สวยงามของเมืองกระจายอยู่ตามพินเทอเรสและทัมเบลอร์ แต่หากใครที่ออกค่าเครื่องบินไม่ไหว ให้ลองมองหาร้านที่ตกแต่งแบบพอร์ตแลนด์ในโตเกียวก็ได้
พอร์ตแลนจึงเป็นที่ๆ คนญี่ปุ่นยุคใหม่อยากไปเที่ยวและใช้ชีวิต เพราะค่อนข้างตอบโจทย์ต่อไลฟ์สไตล์ของเขาเหล่านี้ เป็นเมืองที่อยากทำอะไรตอนไหนก็ทำ เลนจักรยานครอบคลุมทั้งเมือง บาร์และร้านกาแฟมากมาย ถึงขนาดที่มีสายการบินบางแห่งเปิดเส้นทางตรง โตเกียว-พอร์ตแลนด์ มีผู้ใช้งานประมาณ 115,000 คน/เดือน ซึ่งคนญี่ปุ่นได้สร้างเงินหมุนเวียนในพอร์ตแลนด์อย่างมหาศาล
การที่คนญี่ปุ่นชื่นชอบพอร์ตแลนด์นั้น คงเหมือนเป็นการหมุนเข็มนาฬิกาของตัวเองให้ช้าลงจากความวุ่นวายในเมืองใหญ่ ได้มีชีวิตจริงๆ กับเขาบ้าง ปั่นจักรยานพลางจิบกาแฟในยามเช้า ขายของแฮนด์เมดตอนกลางวัน นั่งคุยเล่นกับเพื่อนในบาร์ตอนกลางคืน ทุกอย่างมีค่าใช้จ่ายที่ไม่สูงจนเกินไป และที่สำคัญคือไม่เครียด
สุดท้ายแล้ว หากเราได้ทำในสิ่งที่เรารัก ไม่ว่าอะไรก็ตาม ทุกๆ วันก็คงเป็นเหมือนวันหยุด จริงไหมครับ?