Timeless Design
ก่อนที่จะไปเริ่มต้นกับ Tudor Heritage Black Bay รุ่นใหม่ล่าสุดนั้น มารู้จักกับแบรนด์ Tudor (ทิวดอร์) สักเล็กน้อยว่าแรกๆ นั้นคอลเลกชั่นนาฬิกาที่มีให้เลือกก็ไม่หลากหลายเหมือนทุกวันนี้ ต้นตำรับสุดคลาสสิกของแบรนด์คือรุ่น Date-Day, Heritage Chronos และ Submariner ซึ่งในปัจจุบันยังคงมีมูลค่าสูง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะ Tudor แบรนด์น้องชายร่วมสายเลือดของ Rolex (โรเล็กซ์) ในอดีตชิ้นส่วนบางชิ้นของ Tudor เช่น ตัวเรือน ฝาหลัง เม็ดมะยม และบานพับสาย ก็เป็นฝีมือการผลิตของ Rolex ทำให้ในปัจจุบันคนที่สะสม Rolex ก็ไม่พลาดที่จะเก็บ Tudor ควบคู่ไปด้วยเพราะบางรุ่นของ Tudor นั้นผลิตออกมาน้อยกว่า Rolex เสียอีก และ Tudor Submariner แต่ละรุ่นก็มีเอกลักษณ์อันโดดเด่นเช่นเดียวกับ Rolex Submariner ยิ่งถ้าเรือนไหนมีหน้าปัดเป็น Gilt Dial’ หรือที่ภาษาบ้านๆ เรียกกันว่า ตัวอักษรบนหน้าเป็นสีทองอมเหลืองแล้วล่ะก็ ความหายากของนาฬิกาเรือนนั้นจะสูงเกินบรรยายเลยล่ะ
ก็รู้จักความขลังและเรื่องราวส่วนหนึ่งของแบรนด์ Tudor ไปเรียบร้อยแล้ว ถึงเวลาพบกับ Tudor Heritage Black Bay ตัวเรือนขนาด 41 มิลลิเมตร มีวัสดุตัวเรือนให้เลือก 2 แบบคือ สเตนเลสสตีล และสเตนเลสสตีลเคลือบ PVD สีดำ ขอบตัวเรือนสามารถหมุนได้ มีสเกลบอกหลักนาทีอยู่บนขอบตัวเรือน หน้าปัดจะมีพื้นเป็นสีดำทุกรุ่น ส่วนตัวอักษรที่เป็นแบบ Gilt นั้นจะมีเฉพาะรุ่นสเตนเลสสตีลชอบฟิล์มสีดำและแดงเท่านั้น ปกป้องหน้าปัดด้วยกระจกแซฟไฟร์ทรงโดมที่เป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ของรุ่นนี้ ทุกรุ่นจะขับเคลื่อนด้วยเครื่องกลไกอัตโนมัติ MT 5602 จากโรงงาน Tudor เอง โดยคุณสามารถวางใจกับเครื่องรุ่นนี้ได้อย่างเต็มที่ เพราะได้รับ การการันตีว่าผ่านมาตรฐานระดับโครโนมีเตอร์จากสถาบัน COSC มาแล้ว สามารถสำรองพลังงานได้นานสูงสุดถึง 70 ชั่วโมง และดำน้ำได้ลึดสูงสุดที่ 200 เมตร สามารถเลือกสวมใส่ได้ทั้งสายสเตนเลสสตีลพร้อมบานพับหรือสายหนังที่ผ่านการฟอกมาให้เข้ากับตัวเรือน แต่ถ้าคุณอยากจะลองสวมใส่ให้วินเทจ ในกล่องจะมีสายผ้าแถมมาให้ก็ทดลองดูว่าจะเหมาะกับข้อมือคุณเพียงใด
[av_slideshow size=’no scaling’ animation=’slide’ autoplay=’false’ interval=’5′ control_layout=’av-control-default’ av_uid=’av-1ow6bm3′]
[av_slide id=’13263′ av_uid=’av-18blzgr’][/av_slide]
[av_slide id=’13262′ av_uid=’av-37t3e3′][/av_slide]
[/av_slideshow]
และน้องชายที่ตามออกมาท้ายสุดของตระกูล Heritage Black Bay นั้นก็คือรุ่นที่ตัวเรือนผลิตจากวัสดุบรอนซ์ ตัวเรือนจะมีขนาด 43 มิลลิเมตร ซึ่งก็นับได้ว่า Tudor เป็นหนึ่งในแบรนด์นาฬิกา ชั้นนำจากสวิสแบรนด์แรกๆ ที่ใช้วัสดุบรอนซ์เช่นกัน ขอบตัวเรือนสามารถหมุนได้ ผลิตจากวัสดุบรอนซ์พร้อมสเกลบอกนาทีบนขอบ ปกป้องหน้าปัดด้วยกระจกแซฟไฟร์ทรงโดม หน้าปัดสีน้ำตาลตัวอักษรแบบ ‘Gilt’ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องกลไกอัตโนมัติ MT5601 จากโรงงาน Tudor และได้รับการรับรองความแม่นยำจากสถาบัน COSC เช่นเดียวกับเครื่องรุ่น MT 5602 สามารถสำรองพลังงานได้นานสูงสุด 70 ชั่วโมง ดำน้ำได้ลึกสูงสุด 200 เมตร ส่วนฝาหลังนั้นมองผ่านๆ คุณอาจจะคิดว่าเป็นวัสดุบรอนซ์แต่จริงๆ แล้วคือสเตนเลสสตีลเคลือบ PVD สีบรอนซ์ สามารถเลือกสวมใส่ได้ทั้งสายหนังที่ผ่านการฟอกแบบวินเทจพร้อมบานพับวัสดุบรอนซ์ หรือสายผ้าสีน้ำตาลวินเทจที่เตรียมไว้ ให้ในกล่องก็เท่ไปอีกแบบ และหากถามว่าวัสดุบรอนซ์พิเศษตรงไหน คุณลองนึกถึงกางเกงยีนส์ผ้าดิบที่ไม่ผ่านการฟอก แล้วคุณก็ใส่ไปสักระยะหนึ่งอาจจะ 6 เดือน หรือ 1 ปี เฟดของกางเกงยีนส์ที่ขึ้นนั้นก็จะไม่ซ้ำกับใครเป็นหนึ่งในสเน่ห์ของยีนส์ผ้าดิบ วัสดุบรอนซ์ก็เช่นกันสีของตัวเรือนนั้นจะเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ที่คุณเจออาจจะเข้มขึ้นหรืออาจจะเป็นดวงๆ ก็แล้วแต่ว่าคุณจะลุยขนาดไหน แล้วคนที่เห็นจะคุณสวมนาฬิกาเรือนนี้ก็จะเข้าใจได้เลยว่า “นายมันขาลุยของจริงนี่นา”
และแน่นอนว่าหลายคนต้องสงสัยถึง ที่มาที่ไปของเข็มทรงแปลกประหลาดที่มีชื่อเรียกว่า Snowflake และเม็ดมะยมขนาดใหญ่ที่ตีตรา ดอกกุหลาบไว้อย่างสวยงามว่ามาจากไหนแน่ๆ วันนี้เรามาพร้อมกับคำตอบสั้นๆ ง่ายๆ และเข้าใจแน่นอน เข็ม Snowflake นั้นคือดีเอ็นเอที่ถูก ส่งตรงมาจากนาฬิการุ่นพิเศษที่ Tudor ผลิตให้กองทัพเรือฝรั่งเศสใช้ในช่วงปี ’70s ทำให้นาฬิกา Tudor วินเทจรุ่นนั้นเป็นหนึ่งในของสะสมชิ้นโปรดของคอลเลกเตอร์ทั่วโลก ส่วนเม็ดมะยมขนาดใหญ่นั้นก็ถ่ายทอดมาจากรุ่นพิมพ์นิยมรหัสตัวถัง 7924 ที่ผลิตออกมาเมื่อปีค.ศ. 1958 ซึ่งตอนนี้ ก็เป็นหนึ่งในรุ่นยอดฮิตเช่นกัน